๕
ดึกแล้ว แต่ณนนท์ยังไม่กลับ มินตราจึงเถลไถลนั่งเล่นไม่ยอมกลับห้องนอน ทีวีเปิดไว้ไม่มีจิตใจจะดูมัน เพราะเฝ้าแต่เป็นห่วงคนไม่ยอมกลับบ้าน…
คุณนัดดาเพิ่งเดินออกมาจากห้องสมุดชะลอฝีเท้า เมื่อหันมาเห็นว่ามินตรายังไม่ยอมกลับขึ้นห้อง ท่านจึงเดินเลี้ยวมายังสาวน้อยแทนที่จะเข้านอนตามตั้งใจ
“ไงจ๊ะมิ้น ทำไมยังไม่ยอมนอกอีกล่ะลูก”
น้ำเสียงเอื้ออาทรจากคุณนัดดา ทำให้มินตราต้องหันไปยิ้มให้ท่าน แล้วขยับตัวเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ
“มิ้นรอคุณนนท์ค่ะ ดึกแล้วไม่เห็นกลับ”
คุณนัดดาอมยิ้มเอ็นดู ไม่มีบุตรสาวจึงรักใคร่คนตัวบางตรงหน้าไม่ต่างไปจากบุตรในไส้
“ตานนท์คงกลับดึกจ้ะ เห็นบอกว่าที่ทำงานมีเลี้ยงกันนิดหน่อย” คำตอบนั้นทำให้สีหน้าของหญิงสาวหม่นลง “แม่ว่าหนูขึ้นไปนอนเถอะนะจ๊ะ อย่ารอพี่เขาเลย คงไม่กลับมาง่ายๆ หรอก อีกอย่างวันนี้ก็สุดสัปดาห์ด้วย”
มินตราก้มหน้ามองมือ แล้วเงยขึ้นยิ้มให้อีกฝ่าย พลางรับคำแผ่วเบา…
“ค่ะ…”
“ดีแล้วจ้ะ ถ้าอย่างนั้นแม่ขึ้นนอนก่อนนะจ๊ะ” คุณนัดดากล่าวพลางยิ้มให้ มินตรามองท่านเดินห่างไปแล้วถอนใจยาว มองออกไปนอกบ้านด้วยนัยน์ตาหม่นเศร้า…
ภายในร้านเหล้า ยิ่งดึกก็ยิ่งแน่นขนัด ณนนท์พูดน้อยแต่ดื่มหนักจนตรีภพต้องคอยมองอย่างเป็นห่วง ต่างจากพรรคพวกดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย ถ้านายอยากกลับก็กลับได้นะเว้ยนนท์ นี่มันก็ดึกแล้วคุณลดาคงไม่ว่าอะไรหรอก” ตรีภพกระซิบบอกเพื่อน ณนนท์หลุบตามองแก้วเหล้าในมือ ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไร ขณะเดียวกันลดาวรรณ สาวสวยหลานสาวเจ้าของบริษัทฟูลเฮาส์ บริษัทรับออกแบบบ้านทั้งภายนอกและภายในแบบครบวงจรก็ลอบชำเลืองมองณนนท์เป็นระยะ ยอมรับกับตนเองว่าสนใจเขาแต่แรกพบ ชายหนุ่มที่ออกจะจริงจังกับการทำงาน พูดน้อยจนหล่อนไม่กล้าที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนสักเท่าใด จึงคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้รู้จักเขามากขึ้น กระทั่งวันนี้ ทุกคนเลี้ยงต้อนรับหล่อนที่เข้ามาเป็นพนักงานใหม่ แม้จะเป็นหลานสาวเจ้าของ แต่หล่อนก็ต้องเริ่มต้นเหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน
“ว่าไง จะกลับหรืออยู่ต่อ แต่ถ้าอยู่ต่อก็เพลาๆ ซะมั่ง เห็นนายดื่มแล้วหวาดเสียว” ตรีภพเอ่ยเมื่ออีกฝ่ายดื่มเหล้าเป็นน้ำ ไม่พูดไม่จา แถมต้องขับรถกลับคนเดียวไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง
“เดี๋ยวกลับ” เขาบอกห้วนๆ ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ประตูทางเข้า ซึ่งตรีภพนั่งหันหน้าไปทางนั้นพอดีก็ต้องนิ่งอึ้ง ณนนท์ซึ่งนั่งหันหลังให้ขมวดคิ้ว เมื่อจู่ๆ เพื่อนก็นิ่งเงียบและมองไปยังด้านหลังของเขา “เป็นไร?”
ไม่ถามเปล่าแต่ยังหันกลับไปมองด้านหลัง พลันร่างกายของเขาก็ชะงักนิ่ง เลือดในกายทุกหยาดหยดเหมือนจะเหือดแห้ง หัวใจคล้ายหยุดเต้น…
เจ้าของร่างระหงที่คุ้นตาทำให้ตรีภพกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น เขาหันมองเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง ยิ่งญาณีใกล้เข้ามาเท่าใด เขายิ่งหวั่นใจมากเท่านั้น โดยเฉพาะเวลานี้หล่อนไม่ได้มาเพียงลำพัง ทว่าหล่อนมากับคนรักใหม่ หยามหน้าเพื่อนเขาอย่างไม่สมควรเลยสักนิด
“อย่าไปมองนนท์ อย่าไปสนใจ!” เขากระชากไหล่เพื่อนให้หันกลับมา นั่นเอง สติของณนนท์จึงกลับมาที่เดิม เขาหันกลับมายังโต๊ะ มองอาหาร มองแก้วเหล้า กวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพื่อนๆ กำลังสนุกสนาน และสุดท้ายมองไปยังลดาวรรณที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วเช่นกันชายหนุ่มหลุบตาลง ข่มกลั้นความอับอาย แต่ยังไม่ทันได้ลุกออกจากโต๊ะอย่างที่คิด เสียงหวานคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อุ๊ยตายคุณภพ ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่นะคะ” เอ่ยทัก ทว่าสายตาชำเลืองมองไปยังคนที่นั่งเป็นหิน ไม่หันมองมายังหล่อนด้วยสายตายิ้มๆ “จะไม่ทักทายกันหน่อยหรือคะนนท์”
มือเรียวใหญ่กำแน่น ก่อนจะหันมาตามเสียงแล้วสบตาคู่สวยร้อนแรงที่เขาเคยหลงรัก
“สวัสดีแยม”
ญาณีเลิกคิ้วโก่งงามของหล่อนแล้วไหวไหล่ เมื่อสบตาที่เย็นชาพอๆ กับน้ำเสียงของอดีตคนรัก ก่อนหันไปยังคนที่หล่อนยืนกอดแขนเขาไว้พลางเอ่ยแนะนำ
“เอ่อ นี่คุณแอ๊ด อาคมค่ะ แอ๊ดคะ นี่นนท์และนี่ก็คุณภพเพื่อนเก่าของแยมเองค่ะ”
ณนนท์สะอึกพอๆ กับที่ตรีภพสะดุ้งในใจหันมองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง เมื่อถูกจัดให้กลายเป็นเพื่อนเก่าในเวลาเพียงไม่นาน
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณทั้งสองคนนะครับ ยังไงผมกับแยมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ”
“ไปก่อนนะคะคุณภพ นนท์…”
ณนนท์ไม่มองคนเอ่ยลา เขานั่งนิ่ง ไม่สนใจไยดีว่าหล่อนจะไปกับใคร ทางไหน และเมื่อนั่งเงียบได้เพียงอึดใจเดียว ร่างสูงของณนนท์ก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ทำให้ตรีภพต้องลุกตามอย่างเป็นห่วงเช่นกันกับลดาวรรณที่ขยับตาม
“เดี๋ยวนนท์!”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” เขาบอกเพื่อนเสียงเบา ก่อนหันไปยังลดาวรรณ “ยินดีต้อนรับนะครับคุณลดา ดีใจที่คุณมาเป็นส่วนหนึ่งของฟูลเฮาส์ แต่วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน”
เขาบอกพลางหันไปยังเพื่อนรักปล่อยให้ลดาวรรณพยักหน้าอย่างอึ้งๆ
“ให้ฉันไปส่งไหม?” ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้” เขาตอบพลางหันหลังกลับ ปล่อยให้ตรีภพและลดาวรรณมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง…
ชายหนุ่มก้าวออกมาจากร้านเหล้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น นึกเกลียดผู้หญิงที่เคยรักสุดหัวใจ หล่อนช่างทำกันได้ลงคอ เลิกราไปแล้วไม่พอยังพาคนรักใหม่มาเย้ยถึงนี่
“ระยำ!” ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนสบถอย่างหมดความอดทน เขาพาร่างของตนเองตรงไปยังรถยนต์ที่จอดเยื้องออกไป และขณะที่กำลังเข้าประจำที่ เสียงเรียกของลดาวรรณก็ดังเข้ามาใกล้
“คุณนนท์คะ เดี๋ยวค่ะ”
ณนนท์หันไปมองร่างบางของลดาวรรณที่เดินมาหยุดข้างรถยนต์ เขาผ่อนลมหายใจขณะขมวดคิ้วมุ่น พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่ก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ คือ ลดาเป็นห่วงคุณนนท์ค่ะ เห็นดื่มไปเยอะ” หญิงสาวอึกอัก แต่สายตาบอกว่าเป็นห่วงเขาจริงๆ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ฝืนยิ้มให้หญิงสาวร่างบางตรงหน้าแล้วตอบไป
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมไหว ปกติก็กินกันแบบนี้ประจำ” แม้จะพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนลดาวรรณจะไม่ยอมเชื่อ เขาจึงตัดบท “เอาแบบนี้ก็แล้วกันครับ ถ้ากลับถึงบ้านแล้วผมจะโทรบอกคุณนะครับ ว่าแต่เบอร์คุณเบอร์อะไรครับ”
ลดาวรรณยิ้มให้ชายหนุ่มพร้อมกับรีบบอกเบอร์โทรให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ ผมว่าคุณกลับเข้าไปข้างในเถอะนะครับ ออกมายืนข้างนอกแบบนี้คนเดียวอันตราย” เขาบอกพลางลงจากรถทำให้หญิงสาวมึนงง “ผมจะไปส่งคุณ”
เขาบอกให้หญิงสาวหายข้องใจ แต่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายใจเต้นแรงและปลื้มปริ่มแค่ไหน
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า พลางเดินไปส่งหญิงสาวหน้าร้าน รอจนหล่อนเข้าไปจึงหันหลังกลับ ทว่าเพียงแค่มือใหญ่แตะประตูรถยนต์ เสียงหวานของใครบางคนก็ทำให้เลือดในกายแทบแข็งตัว
“จะกลับแล้วหรือคะนนท์”
กรามแกร่งบดแน่น ไม่คิดหันไปตามเสียงทว่าสัมผัสคุ้นเคยที่แตะลงมาบนท่อนแขนของเขาทำให้ชายหนุ่มต้องหันกลับไปมองอย่างโกรธขึ้ง
“นึกว่าคุณจะไม่หันมาซะแล้ว” เอ่ยพลางยิ้มหวาน แต่ณนนท์ไม่ยิ้ม เขาสบตาคู่สวยของญาณีด้วยแววตากระด้าง ไม่อ่อนโยนเหมือนเคย
“มีอะไร?” น้ำเสียงห้วนๆ ของชายหนุ่มทำให้ญาณีเม้มปากนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มยั่วแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนแทบชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง
“ก็แค่ อยากทักทาย ว่าแต่… เมื่อกี้ใครคะ แม่สาวหน้าตาเรียบๆ คนนั้นน่ะ” เอ่ยถาม หากแต่ณนนท์ไม่คิดตอบ
“พูดธุระของคุณมา ผมจะได้กลับเสียที”
ญาณีค้อนขวับ พลางยกมือที่พยายามยุ่งกับตัวเขาขึ้นกอดอก
“เย็นชาจังเลยนะคะ เราห่างกันไม่นานคุณจะลืมฉันได้เชียวหรือไงกัน”
ดวงตาคมกว้างหรี่มองคนตรงหน้าที่อยู่ในชุดแสคสีแดงเพลิง รัดรูปโชว์ทุกส่วนสัดอย่างตั้งใจด้วยสายตาเหยียดๆ ทำเอาคนที่ตั้งใจยั่วถึงกับร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
“นี่คุณ!”
“แล้วทำไมผมต้องจำคนที่ไม่ควรจำด้วยล่ะ” เขากล่าวออกไปทั้งที่รู้ดีว่าไม่อาจลืมผู้หญิงตรงหน้าได้เลย