“ขอบคุณนะคะ” ณนนท์ยิ้มให้คนที่ทำท่าหลับตาพริ้มลงด้วยอาการคล้ายเหนื่อย ก่อนจะลุกขึ้นไปยังหน้าต่าง รูดม่านเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวกแล้วเดินกลับมาที่เก่า เพียงครู่สาวใช้ก็นำข้าวต้มมาเสิร์ฟ
“ขอบคุณครับ พี่วรรณไปเถอะทางนี้ผมจัดการเอง” วรรณรับคำแล้วออกจากห้อง ชายหนุ่มหันมาเขย่าหญิงสาวเบาๆ จนอีกฝ่ายลืมตา
“กินข้าวก่อนนะ” คนป่วยไม่นึกอยากอาหารแต่เมื่อสบตาเป็นห่วงเป็นใยก็อดที่จะซาบซึ้งเสียมิได้ จึงฝืนใจลุกขึ้นอิงกับหมอนที่ชายหนุ่มจับตั้งกับพนักเตียง กระทั่งอีกฝ่ายเลื่อนจานข้าวต้มมาตรงหน้าคนป่วยก็แสดงอาการแปลกๆ
“เหม็นอะไรคะ คุณนนท์ได้กลิ่นหรือเปล่า?” ไม่พูดเปล่าแต่หญิงสาวยังยกมือขึ้นปิดจมูก ทำท่าผะอืดผะอมชัดเจน
“ไม่นี่ ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย มีแต่ข้าวต้มที่มิ้นชอบ หอมออก มากินข้าวต้มก่อนนะ แล้วค่อยพักผ่อนต่อ” บอกพลางตักข้าวต้มขึ้นเป่าเบาๆ ให้แล้วทำท่าจ่อให้หญิงสาวอ้าปากรับ หากแต่วินาทีต่อมาก็ต้องตกใจ เมื่อหญิงสาวผลักมือเขาออกห่างแล้วหันหน้าหนีทั้งยังทำท่าขย้อน
“ฮืม... อุ๊ป! คุณนนท์ เหม็นจังไม่เอาค่ะ เอาออกไป เหม็นจะอ้วกอยู่แล้ว!” ไม่พูดเปล่า แต่คราวนี้ร่างเล็กปัดผ้าห่มพ้นตัวแล้ววิ่งลงจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว จนลืมไปว่าก่อนหน้านี้แค่ยืนเฉยๆ ก็แทบไม่ไหว ชายหนุ่มได้สติก็วิ่งตามหญิงสาวไปติดๆ เสียงอาเจียนโอ้กอ้ากทำให้ณนนท์ต้องเข้าไปลูบหลังไหล่ให้ นึกเป็นห่วงและคิดไปต่างๆ นานา ว่าหญิงสาวเกิดป่วยร้ายแรงอะไรหรือไม่
“มิ้น...” ณนนท์ประคองหญิงสาวหลังจากลูบหน้าลูบตา ก่อนจะช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอกกว้างเมื่อหญิงสาวทำท่าจะซีดหนัก
“คุณนนท์... มิ้นเดินเองได้”
“อย่าดื้อน่า แค่ยืนยังจะยืนไม่ไหว” คนตัวโตหน้าเข้มเอ็ดเบาๆ ขณะพาคนตัวเบาราวปุยนุ่นไปยังเตียงของเจ้าหล่อน ชายหนุ่มบรรจงวางหญิงสาวอย่างทะนุถนอมอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ส่วนหญิงสาวก็แอบสุขใจลึกๆ ที่มีเขาดูแลเอาใจใส่
“ขอบคุณคุณนนท์มากนะคะ ที่ดูแลมิ้น” กล่าวเสียงแผ่วเมื่อชายหนุ่มหันไปเลื่อนเก้าอี้มานั่งหน้าเตียงคนที่พูดจ๋อยๆ ทั้งที่ป่วย บอกให้นอนก็ยังพูดอยู่นั่น
“หลับได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณพี่มากนักหรอก อย่าลืมสิ ว่าเราเป็นพี่น้องกัน...” คำว่า ‘พี่น้องกัน’ กระทบใจคนฟังเต็มแรง ใบหน้าซีดเผือดยิ่งเผือดสีทำให้คนมองต้องขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรไป หน้าซีดอีกแล้ว แล้วดูเถอะ ข้าวก็กินไม่ได้ ไหนบอกพี่มาสิว่าจะกินอะไร พี่จะได้ให้แม่ครัวทำให้” เขาบอกพลางคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อที่ซึมขึ้นตามไรผมเบาๆ คนหน้าจ๋อยเหลือบตามองการกระทำอันอ่อนโยนแล้วให้ยอกแสยงใจนัก อยู่ใกล้ก็เหมือนกับไกลคนละโลก หล่อนไม่อยากให้เขามาสนใจหรือดูแลแบบนี้เลย เพราะมันยิ่งจะทำให้หัวใจอันเจ็บช้ำดวงนี้ร้าวรานไปอีก ร้าวรานเพราะรู้ว่าไม่มีวันได้เป็นเจ้าของครอบครองมือคู่นี้ที่กำลังดูแลหล่อนอยู่...
“มิ้นไม่อยากกินอะไรเลย ไม่หิว” คนฟังสั่นหน้าไม่เห็นด้วย
“ไม่ได้ มิ้นต้องกินอะไรบ้าง ยิ่งไม่สบายก็ยิ่งต้องฝืน ไม่อย่างงั้นร่างกายก็จะยิ่งแย่ถ้าไม่มีสารอาหารไปเลี้ยง”
คนตัวโตดูเหมือนจะสวมวิญญาณแพทย์ชั่วขณะเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง หน้าตาก็เคร่งขรึมไปด้วย ทำให้หญิงสาวเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งหลับตาลงเสียดื้อๆ คนมองอยู่แล้วก็ถอนหายใจเฮือก นึกโมโหคนหัวอ่อนที่ดื้อเงียบตรงหน้านัก สุดท้ายก็ยอมหล่อนตามเคย
“เอาละ ไม่กินก็ไม่กิน แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น พี่จะพาเราไปหาหมอ”
คนถูกขู่ไม่กลัวยังคงนอนหลับตาพริ้ม ในใจอ่อนล้าจนไม่อยากต่อปากต่อคำ ณนนท์มองคนที่เขาคิดอย่างน้องสาวด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขารอจนหล่อนหลับใหลจึงโทรลงไปด้านล่างแล้วสั่งให้สาวใช้นำแล็บท็อปมาส่งที่ห้องของมินตรา ขณะที่เขากำลังนั่งทำงานอยู่นั่นเองเสียงขยับตัวจากคนบนเตียงก็ดังขึ้น ร่างสูงวางงานในมือทันทีรีบเดินไปยังหญิงสาว กวาดตามองใบหน้างามแล้วขมวดคิ้วมุ่น
“หน้ายังซีดอยู่เลย พี่ว่าเราต้องไปหาหมอแล้วล่ะ”
“ไม่ไป มิ้นไม่ไปหรอกค่ะ” อะไรอย่างหนึ่งทำให้มินตราบอกออกไปเช่นนั้น ก่อนหลับหญิงสาวนึกใคร่ครวญถึงอาการของตน พลันก็ตกใจจนอยากร้องไห้เมื่อคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาการแบบนี้จะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงยังไม่มีสามีกลัว...
คนตัวโตยืนตรงยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างไม่พอใจนัก
“ยังจะดื้อ ลุกขึ้นมาส่องกระจกดูหน้าตัวเองหน่อยเป็นไง ซีดยิ่งกว่าไก่ต้มแบบนี้ เกิดเป็นอะไรไปจะทำยังไง ไม่รู้ล่ะ ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่จะพาไปหาหมอ”
ไม่ใช่แค่พูดแต่เขายังรั้งร่างเล็กที่นอนนิ่งไม่ยอมกระดุกกระดิกให้ลุกขึ้นนั่ง แต่หญิงสาวก็ใช้วิธีดื้อเงียบเหมือนอย่างที่เคยใช้ได้ผลอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ผิดคาดเพราะณนนท์ไม่ยอมตามใจหล่อน เมื่อเห็นว่าคนตัวบางดื้อรั้นเกินกว่าจะยอมให้ได้เขาจึงยื่นคำขาดจนคนฟังแก้มแดงเรื่อทันตา
“ตกลงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเองหรือให้พี่เปลี่ยนให้ ถ้ายังดื้อไม่ทำตามพี่จะจับแก้ผ้าแล้วแต่งตัวให้เหมือนเด็กๆ เลยคอยดูสิ!”
มินตราสะดุ้งโหยงเมื่อชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเครียด นานครั้งเขาจะบังคับหล่อนและทุกครั้งที่บังคับเขามักมีเหตุผลที่ไม่อาจโต้แย้งได้เสียทุกครั้งเช่นกัน
“ว่าไง!? จะแต่งตัวเองหรือจะให้พี่แต่งตัวให้?”
ร่างบางขยับหนีทันทีที่อีกฝ่ายดึงหล่อนให้ลุกขึ้น
“แต่งเองค่ะ! แต่งเอง มิ้นแต่งเอง...”
คนตัวบางเสียเปรียบรัวเสียงบอก พวงแก้มซีดเมื่อครู่เป็นสีเรื่อชวนมองทำให้ชายหนุ่มค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะไม่เช่นนั้นอาจมีรายการวุ่นวายเกิดขึ้นเป็นแน่ ก็ดูเอาเถิด หล่อนใช่เด็กตัวน้อยเหมือนเมื่อก่อนเสียเมื่อไร ทรวดทรงองค์เอวใช่เด็กสามขวบหรือก็ไม่ แต่ที่เห็นหล่อนคือหญิงสาวงดงามมีทุกอย่างที่ผู้ชายทุกคนปรารถนา ถ้าเขาขืนทำแบบนั้นคงได้อัดใจตาย!
คนคิดหนักสะดุ้งกับความคิดของตน ก่อนมองตามร่างเล็กทรงตัวตรงไปยังตู้เสื้อผ้า ร่างสูงรีบสาวเท้าตามไปเมื่อหญิงสาวทำท่าโงนเงน
“ให้พี่ช่วยดีไหม?” ทั้งที่เพิ่งโวยวายกับความคิดของตนเมื่อครู่แต่ก็อดไม่ได้เมื่อเห็นอาการของหญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ มิ้นทำเองได้” คนป่วยยื้อชุดกระโปรงแบบสวมสบายไปซ่อนไว้ด้านหลัง คนมองจึงพยักหน้าตามใจ
“ก็ได้ ก็ได้ แต่เดี๋ยวพี่พยุงเราไปส่งหน้าห้องน้ำ” หญิงสาวยอมให้อีกฝ่ายพยุงจนถึงห้องน้ำ แล้วปิดประตูลงพร้อมกับกดล็อกเรียบร้อยป้องกันอีกฝ่ายพรวดพราดเข้าไปตอนหล่อนกำลังโป๊...
ซึ่ง... ก็ตรงกับความคิดของณนนท์ เพราะเมื่อหญิงสาวหายเข้าไปชายหนุ่มก็เริ่มเป็นห่วงอีก มือหนาแต่เรียวยาวคว้าลูกบิดได้ก็หมุนหวังจะผลักเข้าไปดูคนที่อยู่ข้างในว่าล้มพับลงไปอีกหรือไม่ แต่เมื่อพบกับการปิดกั้นแน่นหนาจากคนข้างในเขาก็ต้องพ่นลมหายใจดังพรืด
“เด็กบ้า! จะอายอะไรนักหนา...” บ่นพึมพำแล้วยืนรออยู่เช่นนั้นหญิงสาวจึงเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มสำรวจคนตัวบางในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าสีน้ำตาลอ่อนแล้วดึงมือหญิงสาวเตรียมออกจากห้องแต่ถูกอีกฝ่ายขืนตัวไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณนนท์ มิ้นขอหยิบกระเป๋าก่อน”
“อยู่ตรงไหนยืนนี่แหละเดี๋ยวพี่หยิบเอง” มินตราลอบถอนใจรู้ว่าขืนดื้อดึงเขาก็เอาชนะได้อยู่ดี
“บนโต๊ะเขียนหนังสือค่ะ” เขาก้าวไปยังโต๊ะเขียนหนังสือแล้วคว้ากระเป๋าถือใบเล็กตรงมายังหญิงสาว ก่อนจะจูงมือเรียวนุ่มลงไปด้านล่าง โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเป็นกังวลของมินตราเลยแม้แต่น้อย