[Part of Narnia]
“นาเนียร์ไปเก็บผักกระเฉดให้แม่หน่อย”
“ค่า”
“ตอนนี้เลยนะ”
“ค่า”
ฉันชื่อ นาเนียร์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแม่ได้ชื่อนี้มาจากไหน แม่เล่าว่าตอนนั้นแม่ชอบดูหนังเรื่องนี้มาก พอแม่ท้องฉันก็เลยได้ชื่อนี้มาตามความชอบของแม่ ฉันว่าก็ยังดีนะที่แม่มีฉันเป็นลูกคนเดียวไม่อย่างนั้นน้องที่เกิดมาต้องชื่ออัสลานแน่ๆ แม่ยังชอบพูดเรื่องนี้ให้ฟังบ่อย
“นาเนียร์ นาเนียร์!! เนียร์!!!”
เมื่อไม่เห็นฉันขยับตามคำสั่งแม่ก็ตะโกนเรียกฉันอีกครั้งแถมครั้งนี้น้ำเสียงยังดูมีน้ำโหอีกด้วย
“ค่า...จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ฉันทิ้งหนังสือที่อยู่ตรงหน้ารีบไปหยิบหมวกปีกกว้างกับตะกร้าเก็บผักที่อยู่ตรงบันไดบ้าน รีบวิ่งออกไปที่ท่าน้ำทันที ขืนไปช้ากว่านี้มีหวังโดนบ่นหูชา
พอวิ่งมาถึงท่าน้ำก็เจอกับเรือไม้ลำเล็กจอดรออยู่ ฉันหัดพายมันตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องว่ายน้ำละก็เรียกได้ว่าเป็นที่ 1 ของโรงเรียนเลยล่ะ อย่าให้พูดมากกว่านี้จะหาว่าโม้
“อย่าพายไปไกลละ!!! เอาใกล้ๆพอ”
เสียงเดิมแว่วมาแต่ไกลพอให้ฉันได้ยินไม่ชัดนักแต่ก็คงความหมายเดิมเฉกเช่นทุกครั้งคืออย่าไปไกล
ฉันพายเรือไปใกล้กอผักกระเฉดที่ขึ้นเยอะจนจะกลายเป็นเกาะผักลอยน้ำ เห็นตัวอะไรเป็นขนนอนอยู่บนกอนั้น
“ตูบ!!! ฉันบอกแกแล้วไงว่าอย่ามานอนที่นี่”
สุนัขพันทางไทยผสมที่ฉันเลี้ยงไว้ มันมักจะชอบกระโดดลงน้ำมานอนบนกอผักเสมอ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มันคงจะนอนเพลินไปหน่อย ลอยไปไกลอีกหมู่บ้านกว่าจะตามหามันเจอน้ำตาไหลร้องไห้ไปตั้งหลายวัน
“หงิกๆ”
พอฉันบ่นมัน มันไม่มีทีท่าที่จะขยับออกจากกอผักเลย แต่มันกลับร้องเสียงแปลกๆ
“อย่ามาแกล้งกันนะ ขาแกไม่ได้ติดอะไรหรอกใช่ไหม”
ใช่แล้ว....ตูบมันชอบเล่นขาติดกอผักแล้วให้ฉันกระโดดลงไปช่วยมันเสมอ...ช่วงแรกๆตกใจแทบตายแต่ตอนนี้ชินกับมันแล้วล่ะ
“อย่ามาหลอกกันเลยตูบ ลงมาเร็วๆ เดี๋ยวก็ลอยไปไกลอีก คราวนี้ไม่ตามหาแกจริงด้วย”
“หงิกๆๆ โฮ่ง!”
“ไม่!!วันนี้ฉันไม่อยากเปียก”
“โฮ่งๆ”
“เอะ!...ตูบ....ไม่!”
ฉันปฏิเสธเสียงแข็ง พอหันไปมองมันอีกครั้ง ก็เห็นมันกำลังใช้ปากดึงอะไรบางอย่างอยู่
“เฮ้ย!!ตูบ นั่นแกไปคาบคนมาจากไหนเนี่ย...โอ๊ย!! ตายยังเนี่ย!”
ฉันรีบกระโดดลงไปช่วยมัน โดยที่ไม่ลืมเอานิ้วรองใต้จมูกเขา พอรู้สึกได้ว่าเขามีลมหายใจอยู่ฉันเลยรีบดึงขึ้นฝั่ง โดยมีตูบว่ายน้ำตามหลังมาติดๆ
“หนักเป็นบ้าเลย!! ฮึบ!!”
“โฮ่งๆๆ”
“เฮ้ยเรือ!! แม่ฆ่าฉันแน่”
เรือลำเล็กที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็กมันลอยตามน้ำไปแล้ว ฉันรีบละสายตาจากเรือแล้วหันมามองผู้ชายตัวโตแทน ดูแล้วเขากำลังบาดเจ็บ ต้นแขนยังมีเลือดไหลออกมาอยู่เลย ฉันรีบตบหน้าเรียกเขาเบาๆ
แปะ แปะ แปะ
“พี่ๆ พี่ชาย....ตูบไปเรียกแม่มาเร็ว”
พอฉันตบหน้าเขาได้สักพัก เขาก็เริ่มขยับตัว ฉันเลยสั่งตูบวิ่งไปเรียกแม่ให้มาดู
เขาลืมตามองหน้าฉันได้แป๊บเดียวก็หลับไปอีก ฉันก็เลยรีบเอามือรองใต้จมูกอีกครั้งเขายังหายใจอยู่ ไม่นานแม่ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาดู แล้วช่วยกันพาเขาเข้าไปนอนใต้ถุนบ้าน
แม่รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นบนของเขาก่อนกลัวเขาเป็นปอดบวม ส่วนข้างล่างฉันกับแม่ไม่กล้า แต่พอเปลี่ยนเสื้อเท่านั้นแหละ ฉันกับแม่ก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ มองดูต้นแขนของเขาที่มันมีรูโบ๋อยู่ตรงกลางดูน่ากลัว
“แม่ พี่เขาถูกยิง”
ฉันพูดเสียงดังด้วยความตกใจ พอรู้ตัวก็รีบหันซ้ายขวา ยังดีที่บ้านเราอยู่กลางสวนไม่ค่อยมีคนหรือเพื่อนบ้านที่ติดกัน
“น้ำ...ขะขอน้ำหน่อย”
เพราะเสียงที่ดังแปดหลอดของฉันหรือเปล่าที่ทำให้เขาได้สติ พี่เขาร้องขอน้ำแต่ก็ยังไม่ได้ลืมตา
“รีบไปเอาน้ำมาก่อนเร็ว วิ่งไปตามลุงกลับมาด้วย”
“แต่แม่อยู่คนเดียว”
“ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ เจ็บขนาดนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก”
พอแม่พูดแบบนั้น ฉันก็ตัดสินใจรีบวิ่งไปหาลุงที่สวน ถ้าขืนตัดสินใจช้ากว่านี้หากเขาตื่นขึ้นมาแม่อาจจะมีอันตราย
ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านไปทางสวนใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึง ทิ้งตูบอยู่กับแม่ ถ้ามีอะไรขึ้นมาจริงๆ คงได้ยินเสียงมันเห่าเตือน
“ลุง!! ลุงอยู่ในสวนไหม”
ฉันมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีเงาของลุงอยู่เลย สงสัยแอบไปบ่อนไก่เหมือนเดิมแน่ๆ รีบกลับบ้านก่อนดีกว่า
“ขอบคุณมากครับที่ช่วยผม”
“น้าไม่ได้ช่วยอะไรมาก ลูกสาวน้าต่างหากที่ดึงพ่อหนุ่มขึ้นมาจากน้ำ..แล้วนี่จะไปหาหมอไหม”
เสียงคุยกันดังมาแว่วๆ สงสัยเขาคงฟื้นแล้ว ตูบก็ยังนั่งเฝ้าแม่ไม่ห่าง แต่ฉันว่าก็ยังอันตรายอยู่ดี
“ไม่ครับ เดี๋ยวผมทำแผลเอง”
พอเขาบอกแม่แบบนั้นฉันก็เห็นแม่ถือถาดน้ำเดินออกมา มาเจอกับฉันที่ยืนอยู่ตรงเสาใต้ถุนบ้านพอดี
“แม่เขาอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้นะ โรงพยาบาลยังไม่ไปเลย”
“เราก็อย่าไปใกล้เขา”
แม่พูดแค่นั้นแล้วลากฉันออกมาจากที่ตรงนั้น ทิ้งให้พี่เขาอยู่กับตูบ
แกร๊ก!
เสียงดังจากข้างหลังฉันกับแม่ที่กำลังนั่งทำกับข้าวในครัว ฉันหันหลังไปดูกลับเจอผู้ชายหน้าโหดคนหนึ่งกำลังเล็งกระบอกปืนมาทางพวกเรา
"ว้าย!!"
แม่ร้องตกใจแล้วทิ้งตะหลิวคว้าฉันไปกอดอย่างแน่น
“เก็บปืนซะ พวกเธอช่วยชีวิตฉันไว้”
พี่ชายที่ฉันลากขึ้นจากน้ำสั่งคนที่ถือปืนจ่อฉันกับแม่ เขาแค่พูดประโยคเดียวผู้ชายหน้าโหดก็ลดปืนลงแล้วเก็บมันเข้าไปในกางเกง แล้วพวกเขาสองคนก็เดินตามกันออกไป ทิ้งฉันกับแม่ไว้ในครัวโดยไม่อธิบายอะไรให้แม่กับฉันสักคำ
“เฮ้อ!/เฮ้อ!”
พวกเราถอนหายใจออกพร้อมกัน เหตุการณ์ที่เผชิญเมื่อครู่ทำเอาขวัญฉันหายใจเต้นตุบตับไปหมด
“ลุงแกไปไหน ไม่อยู่สวนเหรอ”
“ไม่เจอแม้แต่เงา สงสัยอยู่บ่อนนู่นแหละ อีกสองวันคงกลับ”
“ยกกับข้าวไปให้พี่เค้าไป”
“แม่!! พวกเขาอาจเป็นโจร”
“ถ้าเป็นโจรจริงฉันกับแกตายกันตั้งแต่พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้เหนี่ยวไกแล้ว”
“เอางั้นเหรอแม่”
ฉันถามย้ำแม่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ คนหนึ่งก็หน้าโคตรโหด..อีกคนก็หน้าเคราดกหนายังกะหัวหน้าโจร พอเห็นหน้าแม่จริงจังขนาดนั้นแล้วก็คงต้องยกไปตามคำสั่ง
“ไปๆ รีบไปแล้วกลับมากินข้าวด้วยกัน ตูบไปกับเจ้านายแกด้วย”
"โฮ่ง!"
แม่เร่งฉันแล้วหันไปบอกตูบที่แกว่งหางอยู่ตรงประตูห้องครัว แล้วเมื่อกี้ตอนพี่หน้าโหดนั่นเข้ามามันไปอยู่ไหนนะ
ที่ถึงเวลากินข้าวเสนอหน้ามาเชียวไอ่หมาตะกละเอ๊ย!
แกรง!
เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นตอนที่ฉันถือถาดอาหารเข้ามาพอดี พี่หน้าโหดกำลังดึงกระสุนที่อยู่ต้นแขนของพี่ชายเคราดกที่ฉันเพิ่งช่วยเขาขึ้นมาจากน้ำออกพอดี เห็นแล้วเจ็บแทน มันสยองจนมือฉันอ่อนเกือบทำถาดกับข้าวหลุดมือ
“นี่คือเด็กที่ช่วยนายหรือครับ”
“อืม”
ฉันเพิ่งสังเกตว่าคนที่ฉันช่วยชีวิตไว้ชัดๆก็ตอนนี้แหละ หนวดเครารุงรังกับสายตานิ่งๆนั่นมันดุดันจนฉันกลัว ฉันก็เลยรีบเอาข้าววางให้ ก้มหน้าไม่กล้ามองเขา ค่อยๆเดินถอยหลังออกจากที่ตรงนั้นช้าๆ โดยไม่ลืมบอกเขาเรื่องถาดข้าวที่แม่ให้เอามาให้
“แม่ให้เอากับข้าวมาให้ค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
พี่หน้าโหดตอบส่วนพี่เคราดกนั้นแค่พยักหน้ารับรู้
ฉันได้ยินแค่นั้นเพราะรีบวิ่งออกมากับตูบซะก่อน....ขนลุก! น่ากลัวเป็นบ้าเลย