INTRODUCTION
“รางวัลสุดยอดองค์กรด้านนวัตกรรมแห่งชาติและสิ่งแวดล้อมของปีนี้ได้แก่...บริษัท ทีทีเอสกรุ๊ป จำกัด!! ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ สุดยอดสมชื่อรางวัลจริง ๆ ปีนี้ทีทีเอสกรุ๊ปกวาดรางวัลไปได้สามรางวัลแล้วนะคะ ขอเสียงปรบมือหน่อยค่า!!”
ภายในงานประกาศรางวัลที่รวบรวมเหล่าเจ้าของธุรกิจเอาไว้มากมาย ท่ามกลางเสียงปรบมือจากผู้คนก็มีชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปรับรางวัล ใบหน้าของเขาฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันไปค้อมตัวรอบทิศทางเพื่อขอบคุณเสียงปรบมือที่กึกก้อง
ส่วนมากก็จะเป็นคนรู้จักหรือกลุ่มเพื่อนของเขาเท่านั้นที่แสดงความยินดีจนออกนอกหน้า และยังมีคนที่นั่งนิ่งอีกเกือบครึ่งฮอลล์ที่ไม่ได้รู้สึกยินดีกับเขาเลยสักนิด
ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าคงจะเกิดความอิจฉาริษยากันขึ้น เพราะบริษัทเขาได้รับรางวัลทุกปี เป็นองค์กรอันดับหนึ่งในด้านธุรกิจปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติที่มักจะได้รับรางวัลเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ
‘ฐากูร เธียรทวีทรัพย์’ หรือ ‘ฐา’ อัลฟ่าหน้าหล่อมากความสามารถวัยยี่สิบเจ็ดปี ทายาทตระกูลใหญ่อย่างเธียรทวีทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคิงของอุตสาหกรรมค้าปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติมาตลอดสามสิบปี
“ขอบคุณสำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้นะครับ ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมากที่ทีทีเอสกรุ๊ปเป็นองค์กรที่อยู่ในใจของทุกคนมาตลอด เราสัญญาว่าจะพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตอบแทนความไว้ใจที่ได้รับ จะพัฒนาให้สมกับที่เป็นองค์กรอันดับหนึ่งมาตลอด ขอบคุณครับ”
ฐากูรกล่าวขอบคุณบนเวทีจบเขาก็ค้อมตัวทำความเคารพผู้คนด้านล่างเวทีอีกครั้ง ในมือถือถ้วยรางวัลไว้แน่น จากนั้นก็เดินลงจากเวทีแล้วกลับมานั่งที่เดิมเพื่อฟังพิธีกรประกาศรางวัลอื่นต่อ ซึ่งรางวัลจะเป็นรางวัลที่เล็กลงมาอีกหน่อย
“รางวัลต่อไปคือรางวัลองค์กรยอดเยี่ยมด้านพัฒนาพลังงานสีเขียว ได้แก่...บริษัท พีซีเคปิโตรเลียม จำกัด! ขอเชิญตัวแทนขึ้นมารับรางวัลได้เลยค่ะ ยินดีด้วยนะค้า”
บริษัท พีซีเคปิโตรเลียม จำกัด ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาหลายสิบปี เพราะทำธุรกิจประเภทเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่มักจะเป็นรองอยู่ตลอด เดินตามหลังหนึ่งก้าวเสมอ แต่ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งที่มากความสามารถจึงถูกขนานนามว่าเป็นควีนที่ตีคู่มากับคิงอย่าง บริษัท ทีทีเอสกรุ๊ป จำกัด
หลายคนก็เรียกบริษัทคิงกับบริษัทควีนจนติดปากแล้ว เพราะสององค์กรนี้มักจะเทียบเคียงกันได้ในทุกเรื่อง แต่พีซีเคปิโตรเลียมก็ยังเร่งฝีเท้าแซงทีทีเอสกรุ๊ปขึ้นเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้สักที
ไม่ใช่แค่คนนอกที่คอยจับตามองว่าบริษัทรองจะขึ้นมาเป็นที่หนึ่งได้หรือไม่ แม้แต่คนในเองก็พยายามที่จะถีบตัวเองขึ้นไปเป็นที่หนึ่งอย่างสุดความสามารถและพยายามทำมาตลอดสามสิบปีเช่นกัน
‘ทยากร ปรีชาโชติวรกุล’ หรือ ‘ทอย’ โอเมก้าหน้านิ่งอายุยี่สิบห้าปีเดินขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล นี่คือครั้งแรกที่ทยากรได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนของบริษัท เขาเพิ่งกลับมาอยู่ที่ไทยได้ไม่นานและไม่เคยร่วมงานสังคมใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แน่นอนว่าย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“เอ่อ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณสำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ พีซีเคปิโตรเลียมของเราจะพัฒนาองค์กรให้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขอบคุณครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงฮือฮาเพราะทุกคนเพิ่งเคยเห็นทยากรครั้งแรก ทายาทตระกูลปรีชาโชติวรกุลที่เขาเล่าลือกันว่าเป็นผู้ชายที่หน้าสวยหวาน ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็เหมือนถูกมนตร์สะกดจนละสายตาไปไหนไม่ได้ ซึ่งก็เป็นจริงสมคำอวดอ้างนั้นเพราะทยากรมีรูปลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์เหลือเกิน
ขนาดว่าเขาเป็นคนหน้านิ่ง ยิ้มไม่เก่ง ไม่ค่อยคุยกับใคร ออกจะเป็นคนแข็งกระด้างด้วยซ้ำ แต่บุคลิกภายนอกที่งดงามของเขาดันกลบเรื่องพวกนี้ไปจนมิด ใครมองมาคงไม่สนใจหรอกว่าทยากรจะมีนิสัยใจคออย่างไร คนเขาสนใจแค่ใบหน้าและรูปร่างที่สะดุดตาเท่านั้นเอง
ไม่เว้นแม้แต่ฐากูรเองที่เพิ่งเคยเห็นทยากรครั้งแรก ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายน่าสนใจจนเขาก็หยุดมองไม่ได้เช่นกัน
“คุณฐาสนใจเหรอครับ ระวังคุณท่านทราบแล้วจะไม่พอใจนะ ยังไงเขาก็อยู่ในตระกูลนั้น”
‘วายุ’ เลขาของฐากูรรีบทักท้วงเมื่อเห็นว่าเจ้านายชะเง้อคอมองทยากรเดินลงจากเวทีแถมยังปรบมือให้ไม่หยุด จริงอยู่ว่าฐากูรเป็นคนเข้ากับคนง่าย อัธยาศัยดี เขาชอบทำความรู้จักกับคนอื่นเพื่อต่อยอดธุรกิจ แต่ครั้งนี้มันเห็นชัดเกินไปว่าเขาน่ะสนใจอีกฝ่ายจนตาเป็นประกายเลยทีเดียว
“ก็ไม่ได้สนใจเขาแบบนั้น ผมแค่ตกใจที่บ้านนั้นมีทายาทหน้าตาดีขนาดนี้ด้วย ใครจะคิดเกินเลยกับตระกูลคู่แข่งกันล่ะ ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก เป็นได้มากสุดก็เพื่อนแหละมั้ง เราเป็นทั้งคู่แข่ง แถมเรื่องบาดหมางในอดีตก็...”
“เป็นเพื่อนกันยังยากเลยครับ ต่อให้ทางเราจะไม่ได้เกลียดอะไรตระกูลนั้น แต่เขาเกลียดฝั่งเราแน่นอน”
“เรื่องในอดีตก็แค่เรื่องเล่าน่า ผมเกิดไม่ทัน ไม่เห็นกับตา ผมจะเชื่อแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ”
ฐากูรพูดจบก็เบือนหน้าหนีจากเลขาเพื่อฟังการประกาศรางวัลต่อไป ทว่าขณะที่เขามองไปเบื้องหน้าแต่ความสนใจกลับไม่ใช่บนเวที ในหัวของเขายังคงนึกถึงเรื่องอดีตที่ครอบครัวเล่าให้ฟัง
เริ่มต้นความบาดหมางของตระกูลเธียรทวีทรัพย์กับตระกูลปรีชาโชติวรกุลคือเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นั่นเอง รุ่นคุณปู่กับคุณตาของสองตระกูลเคยคบหากันเป็นคนรัก ซึ่งเป็นคู่รักอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีลูกติดมาสามคน แต่ก็คบกันได้เหมือนคู่รักทั่วไปเพียงแต่จบกันไม่ดีเท่าไรนัก คุณปู่ของฐากูรเป็นฝ่ายทิ้งคุณตาของทยากรก่อน
ในตอนนั้นตระกูลเธียรทวีทรัพย์เริ่มทำธุรกิจค้าปิโตรเลียมแล้ว เพิ่งรวมหุ้นแท่นขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติได้จนเป็นหุ้นส่วนอันดับหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มขยายกิจการเรื่อยมา แม้แต่ตอนที่เลิกรากับคุณตาของทยากรก็ยังคงมุ่งมั่นทำธุรกิจอย่างขยันขันแข็ง
สาเหตุที่เป็นตัวจุดประกายความบาดหมางคงเพราะไม่มีเวลาให้ ธุรกิจกำลังไปได้ดีจนละความสนใจไปไม่ได้เลย ทำให้ทะเลาะกันบ่อย เกิดความไม่เข้าใจกัน คุณปู่ของฐากูรจึงให้ความสำคัญกับความรักน้อยลง เอาความสนใจมาลงที่ธุรกิจแทน
จนกระทั่งได้ไปเจอความรักแปลกใหม่ในช่วงที่ไปติดต่องานที่ต่างประเทศ คุณปู่ของฐากูรอ้างว่าได้เจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองที่นั่น ความรู้สึกลุ่มหลงครั้งนั้นเป็นสาเหตุที่ต้องกลับมาบอกเลิกคุณตาของทยากรเพื่อขอยุติความสัมพันธ์
หลังจากเลิกกันคุณตาของทยากรก็โกรธแค้นอีกฝ่ายมาก เขาจึงทำธุรกิจแข่งในทันที ทำธุรกิจแบบเดียวกับที่คุณปู่ของฐากูรทำ เข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแถมเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงเหยียบย่ำให้หายแค้นไม่ได้อยู่ดีเพราะธุรกิจของตระกูลเธียรทวีทรัพย์นั้นครอบคลุมกว่ามาก
ข้อเสียเปรียบที่เห็นได้ชัดคือตระกูลปรีชาโชติวรกุลไม่สามารถเป็นเจ้าของแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ตั้งแต่แรก ถึงมีหุ้นส่วนก็น้อยนิด มันปันกำไรหรือกระจายมาสู่กระบวนการอื่นไม่ทั่วถึง ทำให้ต้องลงทุนส่วนนี้มากขึ้น ถือว่าเสียเปรียบตั้งแต่ต้นทางเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าเป็นการต่อยอดธุรกิจปิโตรเลียมนอกเหนือจากกระบวนการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแล้วนั้นแทบจะทำเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งสองตระกูลผลิตปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ให้แก่ อากาศยาน เรือ และโรงงานอุตสาหกรรม มีการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมหลอมเหลวแก่ครัวเรือน โรงกลั่น ปั๊มน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ค้าปลีก
เรียกได้ว่าตรงไหนมีชื่อทีทีเอสกรุ๊ป ตรงนั้นก็จะมีพีซีเคปิโตรเลียมควบคู่กัน ใครก็รู้ว่าเป็นคู่แข่งกันมาตลอด แต่สิ่งที่พีซีเคปิโตรเลียมเอาชนะทีทีเอสกรุ๊ปไม่ได้สักทีคงเป็นเรื่องของความมั่นคงภายในและการขยายขอบเขตการค้าได้ไม่มากเท่าอย่างที่ทีทีเอสกรุ๊ปทำได้
เมื่อฝ่ายหนึ่งเดินนำอยู่หนึ่งก้าวเสมอ พยายามหาช่องทางการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ไปทั่วโลก อีกฝ่ายก็ทำได้เพียงเดินตามหลังแล้วทำอย่างเดียวกันหรือทำให้ได้ดีกว่า หวังว่าสักวันหนึ่งจะแข็งแกร่งพอจะขึ้นไปแทนที่อันดับหนึ่งได้บ้าง และยังคงคำว่าคู่แข่งกันมาเสมอจากรุ่นสู่รุ่น
แต่ความคิดบางอย่างที่คนเขานินทากันก็ทำให้ฐากูรไม่ค่อยชอบในแนวคิดประเภทที่บอกว่า ตระกูลอัลฟ่าอย่างเธียรทวีทรัพย์น่ะอย่างไรก็ต้องเป็นผู้นำอยู่แล้ว พวกที่มีโอเมก้าเยอะอย่างตระกูลปรีชาโชติวรกุลจะเทียบเท่าได้อย่างไร แค่พันธุกรรมพิเศษก็แตกต่างกันแล้ว
จุดนี้ฐากูรรู้สึกแย่มาก เขาเกลียดการถูกเปรียบเทียบเรื่องพันธุกรรมพิเศษที่สุด เขาต้องการให้ผู้คนยอมรับว่าทุกคนเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่ชอบการถูกยกย่องเหนือใครเพียงเพราะแค่เขาเป็นอัลฟ่า ทำให้หลายปีที่ผ่านมานี้เขาเข้าร่วมการเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์มาเสมอ
สำหรับเขาแล้วจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า ทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน ไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร
“คุณฐาครับ งานประกาศรางวัลใกล้จบแล้วครับ เดี๋ยวไปห้องจัดเลี้ยงเพื่อพบปะคนอื่นแล้วค่อยกลับนะครับ คุณท่านกำชับว่าให้ลองหาคอนเน็กชันใหม่ ๆ ดู”
“คุณเอารางวัลไปเก็บที่รถแล้วมาเจอผมในห้องจัดเลี้ยงแล้วกัน อ้อ เตรียมนามบัตรเยอะหน่อยนะ วันนี้ผมจะแจกให้หมดเลย”
“ได้ครับคุณฐา”
เรื่องความเท่าเทียมทางพันธุกรรม ฐากูรไม่ยอมรับว่าการเป็นอัลฟ่าจะสูงส่งเหนือใคร แต่ถ้าเรื่องการทำงาน เขาก็ไม่ยอมให้องค์กรใหญ่ที่ตระกูลปลุกปั้นมากับมือต้องตกต่ำเด็ดขาด เป้าหมายเดียวในชีวิตคือการคงตำแหน่งองค์กรให้อยู่ที่หนึ่งตลอดกาลจากรุ่นสู่รุ่น
ครู่หนึ่งหลังจากการประกาศรางวัลจบลง ทุกคนลุกฮือขึ้นจากเบาะนุ่มของเก้าอี้นั่งเพื่อเดินไปยังฮอลล์จัดเลี้ยงที่อยู่ข้างกัน ฐากูรออกมายืนอยู่หน้าแถวที่นั่งพลางชะเง้อหาเพื่อนสนิทสามคนที่มาร่วมงานประกาศรางวัลนี้ด้วย แม้จะเป็นองค์กรขนาดเล็กกว่าแต่ก็ได้รับรางวัลเหมือนกัน
“เฮ้ยมึง กูอยู่นี่”
‘เติร์ด’ ชายร่างท้วมสวมสูทสีขาวเข้ากับธีมงานเดินเข้ามาหาฐากูร เขาเป็นมนุษย์ทั่วไปไม่ได้มีพันธุกรรมพิเศษอะไร เมื่อเดินเข้ามาหาแล้วจากนั้นก็พากันชะเง้อหาเพื่อนอีกสองคนต่อ
“ไอ้แฝดนั่งไหนวะ”
“โน่นไง เดินมาโน่นละ”
‘คินตะ’ ‘จินตะ’ สองคนนี้เป็นชายฝาแฝดที่คล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก และเป็นอัลฟ่าทั้งคู่ด้วย ทั้งสองคนมีรูปร่างผอม สูง ผิวสีเข้มมีเสน่ห์
สิ่งที่ทำให้แยกสองคนนี้ออกได้ทันทีว่าใครคือคินตะ ใครคือจินตะ ก็คงจะเป็นสีผมกับเครื่องประดับ คินตะจะมีเรือนผมสีดำแต่ไม่สวมเครื่องประดับอะไรเลย ส่วนจินตะทำผมสีน้ำตาลเข้มและสวมเครื่องประดับเยอะหน่อย
“มึงสองคนนี่เป็นแฝดกันไม่พอ เวลาเดินยังก้าวเท้าข้างเดียวกันอีก กูละเชื่อเลย”
คู่แฝดที่ถูกแซวเดินเข้ามาหาพร้อมก้มมองเท้าตัวเอง พบว่าใช้เท้าข้างเดียวกันเดินจริง ๆ ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ตัว ทำให้ต่างฝ่ายต่างหลุดหัวเราะออกมาทันที
หลายครั้งก็มักจะทำอะไรคล้ายกันโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันจนชินในพฤติกรรมอีกฝ่าย หรือเพราะมันคือเรื่องมหัศจรรย์ของการเป็นฝาแฝดกันแน่
“ปีนี้ไอ้ฐาแม่งได้รางวัลเยอะอีกแล้ว สามรางวัลใหญ่พร้อมกับถูกเรียกว่าคิงอีกตามเคย บ้านมึงนี่สุดยอดว่ะเพื่อน”
“กูเพิ่งมาร่วมงานนี้ปีที่สองเอง งานก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก คนที่เก่งน่ะคงเป็นรุ่นปู่ รุ่นพ่อกูโน่น”
ฐากูรไม่ได้ถ่อมตัวเมื่อถูกชม แต่เขารู้สึกว่าตัวเขายังทำงานให้ตระกูลได้ไม่มากพอ ประสบการณ์ยังน้อยเกินไปสำหรับคำชม
ทว่าสำหรับคนนอกที่มองเข้ามานั้นกลับเห็นว่าเขาเป็นคนเก่ง เก่งมาตลอด ทั้งเรียนเก่งและกวาดรางวัลต่าง ๆ ในช่วงที่เรียนได้มากมาย เรียนจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกาทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท
การทำงานก็ไม่ได้แย่ ถือว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อยเลยด้วยที่สามารถแบ่งงานจากในตระกูลมาดูแลถึงสามบริษัทย่อยในเครือ ทั้งดูแลบริษัทค้าปลีก บริษัทส่งออกก๊าซธรรมชาติ และดูแลปั๊มน้ำมันอีกหลายแห่ง แม้จะเพิ่งรับมาดูแลไม่นานแต่เขาก็ทำได้ดี
“พวกมึงดูโน่นดิ ควีนของงาน ขยับตัวไปไหนมีแต่คนเหลียวมอง รุ่นน้องกูนี่ออร่าจับว่ะ”
เติร์ดยู่ปากไปทางทยากรที่หอบถ้วยรางวัลไว้แนบอกแล้วกำลังเดินออกมาจากแถวที่นั่งที่ห่างจากตรงนี้ไปประมาณเจ็ดแถว สิ่งที่น่าตกตะลึงไม่ใช่แค่เสื้อสูทแหวกอกของทยากรมันเปิดกว้างเมื่อเขาก้มตัวลง แต่ทุกคนตกใจที่ทยากรคือรุ่นน้องของเติร์ดต่างหาก
“เป็นรุ่นน้องมึง?”
“เออ ก็จบมหาลัยเดียวกันมา คนนี้ไงที่กูเคยเล่าให้พวกมึงฟังว่ามีรุ่นน้องเป็นโอเมก้าสวย ๆ อะ”
อัลฟ่าทั้งสามคนตรงนี้หันขวับไปมองทยากรอีกครั้งพร้อมกับขบคิดถึงสิ่งที่เติร์ดเคยเล่าให้ฟังในครั้งอดีต พวกเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเลยไม่รู้ความเป็นไปของเพื่อนนอกจากฟังสิ่งที่เล่าต่อมาอีกที
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเติร์ดจะเคยบอกว่ารุ่นน้องคนนี้หน้าตาดีแต่หยิ่ง ใครมาจีบก็เมิน เคยโดนอัลฟ่าปล่อยฟีโรโมนใส่เพื่ออ่อยแต่ก็ไม่หลงกล ไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย เหมือนจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูงลิ่ว
“คงเสน่ห์แรงจริงว่ะ กูกับไอ้จินเห็นครั้งแรกตอนเขาเดินมานั่ง แล้วจากนั้นคนรอบตัวก็มองเขาไม่หยุด อัลฟ่าแฝดอย่างกูใจเต้นอยู่นะบอกตรง ๆ ว่าแต่มึงว่าไงวะไอ้ฐา คนนี้ทำมึงใจเต้นได้ไหม?”
ฐากูรยกมือขึ้นวางไว้ที่อกข้างซ้ายเพื่อสำรวจอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อนจะตอบความจริงออกไปโดยไม่ปิดบัง
“ก็นิดหนึ่งแหละ ตื่นเต้นที่ตระกูลคู่แข่งมีคนหน้าตาดีขนาดนี้เฉย ๆ อะ”
เมื่อพูดจบทุกคนก็กำลังจะก้าวเท้าออกจากตรงนี้เพื่อไปยังฮอลล์จัดเลี้ยง เว้นเสียแต่ว่าทยากรหันมามองพอดีจึงทำให้ทุกคนหยุดชะงัก มีเพียงเติร์ดคนเดียวที่ตั้งรับได้ทัน
“ทอย! มานี่ ๆ โห ไม่เจอกันนานเลยว่ะ สบายดีไหม?”
ทยากรเดินหอบถ้วยรางวัลเข้ามาหารุ่นพี่ที่สนิทกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ใบหน้าที่นิ่งขรึมสดใสขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางที่เรียบตึงฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว ดูท่าทางจะดีใจที่นานทีจะเจอคนรู้จักกับเขาบ้าง
“ผมสบายดีครับ แล้วพี่เติร์ดเป็นไงบ้าง วันนี้ได้รางวัลใหญ่ด้วยน้า ดีใจด้วยนะพี่”
“พี่ก็เรื่อย ๆ ว่ะ ฮ่า ๆ รางวัลจะสู้ทอยได้ยังไง หอบมาเต็มไม้เต็มมือเลย”
ความสนิทสนมกันทำให้ทั้งคู่พูดคุยกันต่ออีกหลายประโยค ถึงขนาดที่เติร์ดขอดูถ้วยรางวัลของอีกฝ่ายเพราะบริษัทเขายังไม่เคยได้รับรางวัลดังกล่าว ทำให้ทยากรรู้สึกตัวเบาขึ้นเมื่อไม่ต้องหอบถ้วยรางวัลไว้กับตัว เขายื่นให้รุ่นพี่คนสนิทดูทั้งหมดเลย
ชั่วขณะที่บทสนทนาสิ้นสุดลง อัลฟ่าสามคนก็ถูกกวาดตามองโดยโอเมก้าที่ในใจเกลียดพวกอัลฟ่าเข้าไส้ ต่อให้ทั้งสามคนจะไม่เผยตัวว่ามีพันธุกรรมพิเศษแต่ฟีโรโมนประจำตัวก็บ่งบอกให้รู้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ทั้งชีวิตนี้ทยากรหลีกเลี่ยงการคบหากับอัลฟ่ามาตลอด เขาไม่มีเพื่อนหรือใครที่มีพันธุกรรมพิเศษเลย ไม่ชอบเรื่องการแบ่งชนชั้นทางพันธุกรรม การที่เขาเป็นโอเมก้าก็เหมือนตอกย้ำว่าด้อยด้านความแข็งแกร่งกว่าอัลฟ่าอยู่แล้ว ทั้งที่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ ๆ
หากไม่ใช่การพบเจอกันที่งานใหญ่อย่างนี้ทยากรคงไม่แลตามองและไม่สนใจ ติดอยู่ตรงที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนของรุ่นพี่เขา และมีคนหนึ่งเป็นทายาทตระกูลคู่แข่งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
ฉะนั้นเขาจะแสดงความเกลียดชังจนเกินงามก็ไม่ดี ไม่อยากเปิดช่องโหว่อะไรก็ตามที่จะถูกอีกฝ่ายโจมตีได้ เวลานี้ดีแต่ต้องแสดงละครตบตาก็เท่านั้น
“สวัสดีทุกคน ยินดีที่ได้เจอนะครับ เมื่อกี้พี่สองคนได้รางวัลเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใช่ไหมครับ บริษัทผลิตรถยนต์ใช่ไหม ผมเห็นนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานของบริษัทพี่แล้วนะครับ สุดยอดมากเลย”
คินตะและจินตะฉีกยิ้มกว้างพลางแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ทยากรยื่นมือไปกุมเพื่อทักทายทีละคน เขาพยายามพูดคุยอย่างคนมีความรู้กว้างขวางว่าเคยเห็นผลงานของบริษัทอีกฝ่ายเพื่อเปิดวิสัยทัศน์และต่อบทสนทนาเท่านั้น
ความเป็นจริงคือทยากรเพิ่งเห็นข้อมูลจากวิดีโอประชาสัมพันธ์ที่หน้างานนี่เอง ไม่เคยติดตามนวัตกรรมรถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัทอีกฝ่ายเลย
“ทอย นี่ไอ้ฐาเพื่อนสนิทพี่ ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นใครมาจากไหนคิดว่าคงรู้ตั้งแต่ได้ยินชื่อบริษัทตอนประกาศรางวัลแล้วมั้ง”
ทยากรช้อนตาสบกับฐากูรด้วยความรู้สึกอธิบายยาก ไม่รู้ว่าต้องโกรธหรือเกลียดกันที่เป็นตระกูลคู่แข่ง หรือควรเหม็นขี้หน้าตั้งแต่แรกพบเพราะรู้ว่าเป็นอัลฟ่า เอาเข้าจริงความรู้สึกตอนนี้มันก็เฉยชาเกินกว่าจะสนใจ
“สวัสดีครับคุณทอย ผมชื่อฐา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ หวังว่าเราสองคนจะร่วมงานกันด้วยดี ผู้ใหญ่ไม่ถูกกันก็ใช่ว่าเด็กอย่างเราจะต้องทะเลาะกันซะเมื่อไหร่ จริงไหมครับ?”
ใครจะคิดว่าฐากูรจะพูดแบบนี้ออกมา ทั้งเพื่อนทั้งทยากรต่างก็ตกใจที่เขาเปิดบทสนทนาได้ตรงประเด็นแถมน่าอึดอัด ทว่าพอคิดตามแล้วมันก็จริงอย่างเขาว่า คนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกจะให้เกลียดกันเพียงเพราะต่างคนต่างเกิดในตระกูลที่ไม่ถูกกันก็ยังไงอยู่
ที่สำคัญคือฐากูรแสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ถือตัวเลย อีกทั้งยังเผยยิ้มจริงใจออกมาให้ทยากรก่อนด้วยซ้ำ ท่าทางดูอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนพวกใจดีและหัวอ่อน ดูหลอกง่าย ทยากรแปลกใจเล็กน้อยที่มีอัลฟ่าแบบนี้ด้วย
หากเทียบกับอัลฟ่าแฝดแล้วยังรู้สึกว่าคินตะกับจินตะปล่อยกระแสบางอย่างข่มโอเมก้าอย่างเขามากกว่าฐากูรเสียอีก บางทีเจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่มันเป็นธรรมชาติของพันธุกรรมที่จะข่มคนที่ด้อยกว่าอยู่เสมอ
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณฐา ผมชื่อทอยนะ หวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันนะครับ”
มือเรียวยื่นไปด้านหน้า ฐากูรก็ยื่นมือออกมาเพื่อกุมมืออีกฝ่ายไว้เช่นกัน ทว่าเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือคู่นี้สัมผัสกันกลับมีภาพบางอย่างฉายเข้ามาในหัวซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
ฐากูรเห็นภาพทยากรอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งด้วยหน้าตายิ้มแย้มมีความสุขมาก ผายมือโอ้อวดด้วยราวกับภูมิใจในการเป็นเจ้าของ ทั้งที่ในความเป็นจริงตระกูลปรีชาโชติวรกุลไม่มีหุ้นในการสำรวจขุดเจาะแหล่งน้ำมันมากพอที่จะเป็นเจ้าของได้ด้วยซ้ำ
ทยากรเองก็เห็นภาพของฐากูรเซ็นสัญญากับบริษัทปิโตรเลียมยักษ์ใหญ่แห่งยุโรป ซึ่งเป็นสิ่งที่ตระกูลของทยากรใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากขยายธุรกิจโดยการร่วมหุ้นกับบริษัทนี้ แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นฐากูรเสียอย่างนั้นที่ได้เซ็นสัญญา
เสี้ยววินาทีที่ภาพเหล่านี้แวบเข้ามา ต่างฝ่ายก็ต่างตกใจจนต้องรีบชักมือกลับ และไม่มีใครรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเห็นภาพอะไร เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับฐากูรและทยากรมาก่อน เขาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้เมื่อได้สัมผัสกับใคร นี่เป็นครั้งแรก
“เข้าฮอลล์งานเลี้ยงกันเถอะ หิวแล้วว่ะ ทอยไปกับพวกพี่นะ”
“ไม่เป็นไรพี่เติร์ด ผมเอาถ้วยรางวัลไปเก็บที่รถแล้วกลับเลยดีกว่า ถือไปด้วยคงไม่สะดวก”
ขณะที่ทยากรคว้าถ้วยรางวัลทั้งสามชิ้นมาถือ ฐากูรก็โน้มหน้าไปกระซิบเติร์ดเพื่อร้องขอให้เพื่อนกระทำบางอย่าง
“กูจ้างมึงหนึ่งแสน ยื้อทอยให้อยู่ที่นี่ต่อให้ได้”
เติร์ดตกใจจนต้องหันไปมองเพื่อน ทุกทีฐากูรจะเสียเงินไปกับการลงทุนที่สามารถต่อยอดได้เท่านั้น เขาไม่ใช่คนใช้เงินแบบนี้
“มึงเป็นเหี้ยไรเนี่ยไอ้ฐา”
“ไม่รู้แหละ กูต้องได้คุยกับทอยต่อ”
“เอาจริงดิ? ลงทุนนะมึงเนี่ย”
“กูก็หวังว่าลงทุนไปแล้วจะคุ้มค่าเหมือนกัน”
เมื่อตกลงกันเสร็จทยากรก็เงยหน้าขึ้นมาหวังจะกล่าวลาแล้วจากไป วินาทีนี้เองฐากูรเพิ่งได้สติมองรอบตัวว่าอีกฝ่ายไม่มีใครติดตามมาด้วยเลย ไม่มีแม้แต่เลขาหรือผู้ช่วยมาเก็บถ้วยรางวัลให้ ถึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่กล้าถามออกไป
สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่นคือภาพที่เห็นเมื่อตอนจับมือกันต่างหาก มันคือภาพที่คิดไปเองหรือเป็นลางบอกเหตุอะไรกันแน่
ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนที่เขาเห็นว่าทยากรมีแท่นขุดเจาะน้ำมันก็ทำให้เขารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ได้เหมือนกัน เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ตระกูลของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายมาอย่างยาวนาน และไม่คิดด้วยว่าทยากรจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทิศทางการบริหารของบริษัทแบบก้าวกระโดดจนถึงขั้นนั้นได้
คงต้องยอมรับจากใจว่าฐากูรรู้สึกกลัวขึ้นมาพอสมควร เขายอมให้องค์กรของเขาที่เป็นอันดับหนึ่งมาตลอดถูกคู่แข่งตีตื้นขึ้นมาแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ถึงจะเป็นคิงกับควีนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม แต่อันดับหนึ่งกับอันดับสองมันก็ต้องมีระยะห่างกันบ้าง
สุดท้ายแล้วเป็นเขาที่ต้องการรู้ข้อมูลของทยากรจนร้อนใจ อยากพูดคุย อยากหลอกถาม อยากรู้จักให้มากขึ้นเพื่อรู้เขารู้เรา หากจับทางถูกฐากูรจะได้ตั้งรับทัน เขาไม่ยอมให้องค์กรอันดับสองขึ้นมาแทนที่อันดับหนึ่งแน่นอน
“มึงคิดอะไรอยู่วะไอ้ฐา?”
“นั่นดิ ชอบเหรอ มองตาไม่กะพริบเลยนะมึง”
คินตะกับจินตะถามไถ่หลังจากที่เติร์ดช่วยทยากรถือถ้วยรางวัลไปเก็บที่รถแล้วจะพาเข้าไปในฮอลล์งานเลี้ยงด้วยกัน ขนาดว่าทยากรเดินห่างไปไกลจนจะถึงประตูทางออกอยู่แล้วก็ยังเห็นฐากูรมองอีกฝ่ายไม่วางตา
“มึงเคยสัมผัสโอเมก้าแล้วรู้สึกแปลก ๆ ปะ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ปะวะ สัมผัสในที่ทำงานกับที่โรงแรมก็รู้สึกต่างกัน”
“ไม่ใช่แบบนั้น ที่แปลกก็อย่างเช่น...เห็นภาพแปลก ๆ แวบเข้ามาในหัว”
“ไม่เคยว่ะ หรือเมื่อกี้มึงเห็นอะไร?”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันก็ยากจะอธิบายออกไป ฐากูรจึงถอนหายใจและส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากนี้คงต้องหาความจริงมายืนยันว่าภาพที่เขาเห็นนั้นคือสิ่งที่คิดไปเอง หรือเป็นภาพที่ต้องการบอกอะไรกันแน่
ตัวเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมตอนจับมือกับโอเมก้าคนนี้ถึงเกิดภาพในหัวแบบนั้นได้ ทั้งที่ไม่ใช่โอเมก้าคนแรกที่เขาเคยสัมผัส แต่กลับเป็นคนแรกที่ฐากูรรู้สึกสงสัยและสนใจมากขนาดนี้
คงต้องใช้เวลาสืบหาความจริงต่ออีกสักหน่อยว่าภาพที่เห็นเมื่อครู่มันมีโอกาสจะเกิดขึ้นจริงมากน้อยแค่ไหน เขาจะได้ตัดไฟแต่ต้นลมได้ถูกทิศทาง