EPISODE 01.01 ทำความรู้จัก

2575 Words
EPISODE 01.01 ทำความรู้จัก เมื่อกลุ่มเพื่อนของฐากูรเดินเข้าไปในฮอลล์งานเลี้ยงพร้อมกับทยากรก็เป็นที่จับตามองของคนอื่นไม่น้อย สิ่งที่น่าสนใจคือการเห็นทายาทสองตระกูลคู่แข่งเดินเคียงข้างกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันนี้ทั้งในโลกของนักธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปใครก็รู้กันทั่ว จริงอยู่ว่าถ้าพูดถึงเรื่องการผลิตผลงานก็มักจะมีผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจที่คล้ายกันตีคู่กันมาเสมอ ยกเว้นชีวิตจริงที่สองตระกูลจะไม่มีทางเฉียดเข้ามาใกล้กันเลย งานประกาศรางวัลกี่ปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยเข้ามาคุยกันแบบนี้เลยสักครั้ง “คนมองจนกูทำตัวไม่ถูกเลยว่ะ” “มองไอ้ฐากับไอ้ทอยน่ะสิ ภาพแปลกตามั้ง” คินตะกับเติร์ดคุยกันพลางหันไปมองชายสองคนที่เดินคู่กันอยู่ด้านหลัง ดูเหมือนจะรู้ตัวกันแล้วว่าถูกจับตามอง “ถ้าคุณฐาไม่สบายใจก็อยู่ห่างผมไว้ได้นะ” “ทำไมผมต้องไม่สบายใจ?” “ก็ตระกูลเราไม่ถูกกัน คือคนอื่นคงมองแล้วเอาไปพูดต่อ ถ้าคุณฐารู้สึกไม่ดี ผมก็เข้าใจ” ฐากูรก้าวเท้าเพื่อขยับมาใกล้ทยากรอีกหน่อย เรียกได้ว่าเดินเบียดกันเลยก็ได้ นาทีนี้ตัวเขาไม่มีความคิดจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทยากรเลย ใจอยากจะทำความรู้จัก อยากซักไซ้ถามเรื่องที่มันโยงไปถึงภาพในหัวที่เขาเห็นเมื่อหลายนาทีก่อนให้ได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะถูกจับตามองแค่ไหนก็สำคัญไม่เท่าสิ่งที่ทำให้เขาร้อนใจไม่หาย นั่นคือการได้เห็นภาพทยากรครอบครองแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบซึ่งเป็นสิ่งที่ตระกูลปรีชาโชติวรกุลเป็นรองตระกูลเขามาตลอด อยากถามออกไปตรง ๆ ด้วยซ้ำว่ามีแผนจะวางหุ้นเพิ่มหรือยื่นขอส่วนแบ่งสัมปทานอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าถามตรงเกินไปเกรงว่าจะไม่ได้ข้อมูลใดกลับมาเลย ดังนั้นจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป อีกอย่างฐากูรก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร ภาพที่ฉายเข้ามาแวบหนึ่งแล้วหายไปคือจินตนาการหรือลางบอกเหตุกันแน่ การจะหาคำตอบนี้ได้คงต้องตีสนิทกันให้มากหน่อย “ผู้ใหญ่ไม่ถูกกันแล้วเราต้องเกลียดกันด้วยหรือไง เราไม่ได้ทะเลาะกันนี่ หรือทอยไม่ชอบขี้หน้าผม?” “เปล่า ผมไม่ได้อคติอะไรกับคุณฐาเลย แค่กลัวว่าคุณจะแคร์สายตาคนอื่นน่ะ” “ผมเชื่อในความรู้สึกตัวเองว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” ทยากรฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ทั้งที่ในใจเขาค่อนข้างอึดอัดกับการได้อยู่ใกล้ชิดกับฐากูรโดยไม่ตั้งตัว หากเขาไม่เห็นภาพในหัวว่าอีกฝ่ายได้เซ็นสัญญากับเจ้าของการค้าปิโตรเลียมยักษ์ใหญ่ในยุโรป เชื่อได้เลยว่าตัวเขาไม่มีทางจะพาตัวเองเดินเข้างานเลี้ยงนี้พร้อมกับอัลฟ่าคนนี้แน่ ที่ยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะต้องการพูดคุยและหลอกถามฐากูรเรื่องธุรกิจเช่นกัน พยายามคิดในแง่ดีว่าเป็นมิตรกันก็ดีกว่าเป็นศัตรู อย่างน้อยถ้าสนิทใจกันมากขึ้นอีกหน่อยก็อาจจะได้ข้อมูลเด็ด ๆ มาก็ได้ ถึงแม้ในใจจะมีสิ่งที่สงสัยอยู่มากมายเกี่ยวกับภาพในหัวที่จู่ ๆ ก็แวบเข้ามา ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทยากรเห็นด้วยคือความคิดของฐากูรที่ว่า ‘ผู้ใหญ่ทะเลาะกันแล้วพวกเขาต้องเกลียดกันด้วยหรือ’ คำตอบคือไม่ ทยากรไม่ได้มีความรู้สึกใดกับอีกฝ่ายเลย ไม่ได้ชอบ ไม่ได้เกลียด หรือไม่ก็คงเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทำตัวให้เขาเกลียด ทั้งคู่เดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่หยุดยืนอยู่หน้าซุ้มขนมหวาน เติร์ดเข้าไปเลือกขนมก่อนคนแรก ตามมาด้วยฐากูร แล้วชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเองก็เกิดบทสนทนาสั้น ๆ ขึ้นกับพวกเขาทั้งคู่ “มึงทำตัวแปลก ๆ นะไอ้ฐา” “ทอยชอบขนมอะไร มึงรู้ไหม?” “ฮะ? เอ่อ อันนี้มั้ง ทอยมันชอบกินผลไม้” ฐากูรหยิบถ้วยพุดดิงไวต์ช็อกโกแลตที่ด้านบนมีสตรอว์เบอร์รีวางอยู่หนึ่งลูก เขาถือมาสองถ้วยก่อนจะเดินออกมายื่นให้ทยากรถ้วยหนึ่ง คาดหวังจังหวะที่อีกฝ่ายรับถ้วยไปจากมือเขาให้ปลายนิ้วได้สัมผัสกันบ้าง อยากรู้ว่ามันจะเห็นภาพแปลก ๆ อย่างเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกไหม ‘เอ๊ะ ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า แล้วภาพที่เห็นคืออะไรวะ?’ ไม่ใช่แค่ฐากูรที่สงสัย ทยากรเองก็ขมวดคิ้วพลางคิดตามเหมือนกัน ที่เขารับถ้วยมาแล้วตั้งใจใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับอีกฝ่ายก็เพราะอยากรู้ในสิ่งเดียวกัน ซึ่งคำตอบที่ทั้งคู่ได้รับคือความว่างเปล่า ไม่มีใครเห็นภาพอะไรเลย “งานเลี้ยงค็อกเทลแบบนี้ก็ดีว่ะ เดินกินง่ายดี ขี้เกียจไปนั่งรวมกับผู้ใหญ่” “จริงมึง ต่างคนต่างยืน เดินไปเดินมาไม่เป็นจุดเด่น แบบนี้หนีกลับง่ายมาก กูชอบ” เรื่องการหนีกลับนี่ถือเป็นเรื่องปกติของพวกเขา เว้นเสียแต่ว่าจะมากับครอบครัวที่ผู้ใหญ่มักจะเดินวนรอบงานเพื่อแนะนำลูกหลานให้คนอื่นรู้จัก แบบนั้นเลี่ยงได้ยาก เมื่อได้ยินเพื่อนพูดถึงการหนีกลับ ฐากูรก็ได้แต่เงียบ เขาพยายามกวาดตามองหาวายุผู้เป็นเลขาจนเจอว่ายืนคุยอยู่กับคู่ค้าทางธุรกิจกลุ่มหนึ่ง วายุเป็นเลขาคนเก่าของพ่อเขา แน่นอนว่าย่อมรู้จักคนมาก จะทักทายคนอื่นไปทั่วก็ไม่แปลก น่าแปลกใจที่ฐากูรมีเลขามาคอยช่วยเหลือตลอดงานแต่ทยากรกลับไม่มีเลย ทั้งที่ปีก่อนทางตระกูลปรีชาโชติวรกุลก็ส่งคนมารับรางวัลและมีเลขาคอยติดตามแท้ ๆ “อืม...จะว่าไปทอยก็เก่งนะครับ มาออกงานคนเดียวเลย ปกติออกงานบ่อยไหม แปลกจังที่เราไม่เคยเจอกัน” ทยากรตกใจเล็กน้อยที่ถูกถาม แต่เขาก็มีสติมากพอที่จะไม่เผยพิรุธใดออกมา เจ้าตัวอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางถ้วยเปล่าที่กินเสร็จแล้วลงบนถาดที่พนักงานเดินมาเก็บ จากนั้นก็หันมาตอบฐากูรอย่างใจเย็น “ผมเพิ่งกลับจากอังกฤษครับ นี่ก็งานแรกของผม เราไม่เคยเจอกันก็ไม่แปลกหรอก การที่ผมไม่มีเลขาตามติดก็ไม่แปลกอีกเช่นกันครับ พอดีเลขาป๊าผมลางาน ผมเลยส่งเลขาตัวเองให้ไปช่วยงานแทน เห็นว่าวันนี้มีรับรางวัลระดับเอเชียอะไรสักอย่างครับ ผมก็จำไม่ได้ เลยให้เลขาของผมไปช่วยป๊าดีกว่า” “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ยินดีกับรางวัลด้วยนะครับ” “ขอบคุณครับ” พูดจบฐากูรก็เดินไปหยิบขนมถ้วยใหม่มาให้ทยากรอีกตามเคย อันไหนมีผลไม้เขาก็หยิบอันนั้น ในทุกขณะก็แทบจะกลั้นรอยยิ้มขำขันไว้แทบไม่ไหว การคุยกันเมื่อครู่เหมือนจะฟาดฟันกันเล็กน้อยตรงที่ว่าทยากรรู้ว่าฐากูรถามอ้อมค้อมถึงเลขาว่าทำไมถึงไม่มาด้วย ส่วนนี้ทยากรรู้ทันจึงชิงตอบก่อนที่จะถูกถามตรง ๆ ทำให้ฐากูรรู้ได้เลยว่าทยากรเป็นคนฉลาด หัวไว มีไหวพริบ จุดนี้เขาเสียรู้จนถูกจับได้เสียอย่างนั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้ทยากรเผยนิสัยส่วนที่อยากเอาชนะก็มีเหมือนกัน โดยการอ้างว่าวันนี้มีการประกาศรางวัลระดับเอเชียเลยให้เลขาไปช่วยงานโน้นแทน เรื่องนี้คิดว่าฐากูรไม่รู้หรือไงว่าโกหก วันนี้ไม่มีงานประกาศรางวัลอะไรนอกจากที่นี่ทั้งนั้น ตัวเขารับหน้าที่เดินสายรับรางวัลทุกงานที่องค์กรได้ มีตารางงานแบบครบถ้วนตลอดปี ถ้างานไหนที่พีซีเคปิโตรเลียมได้รางวัลมีหรือที่ทีทีเอสกรุ๊ปของเขาจะไม่ได้ด้วย ไม่มีทาง ส่วนนี้อย่างไรทยากรก็สร้างเรื่องขึ้นมาโกหกเพื่อจะข่มเขาก็เท่านั้น ‘ถึงจะข่มก็เข้าใจได้ ก็เป็นรองบริษัทเรามาตลอดนี่เนอะ หึ!’ ฐากูรคิดในใจโดยที่ยังคงแสดงความอ่อนโยนกับอีกฝ่ายเสมอ เขาดูแลทยากรดีเป็นพิเศษแบบออกนอกหน้าด้วย ทั้งคอยหยิบอาหารให้ บางครั้งก็รับถ้วยเล็กที่กินเสร็จแล้วมาเก็บให้ จุดนี้ใครก็รู้สึกแปลกทั้งนั้นโดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของเขา ทั้งคินตะ จินตะ และเติร์ด ต่างก็ประหลาดใจที่ฐากูรทำแบบนี้ ทยากรเองก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติแต่เขาก็พยายามตั้งรับทุกอย่างให้ทัน เขาไม่อยากเสียรู้ให้อีกฝ่ายจับจุดอ่อนได้ว่ากำลังอึดอัดและกังวล อยากให้ฐากูรรู้สึกว่าเขาเป็นคู่แข่งที่เข้มแข็ง แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าถ้าใกล้ชิดกันหรือเกิดการสัมผัสกันขึ้นอีกจะได้เห็นภาพแปลกนั่นอีกไหม “ว่าแต่คุณทอยกลับมาอยู่ไทยถาวรเลยไหมครับ หรือว่าต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีก?” “ไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อปริญญาเอกไหม แต่คิดว่าไม่ครับ จบโทก็พอแล้ว กลับมาครั้งนี้คงอยู่ยาว พอดีที่บริษัทมีงานให้ทำเยอะเลยครับ” ทยากรอดที่จะโอ้อวดเรื่องบริษัทไม่ได้ สมองเขาเอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ดูเหนือกว่าฐากูรได้บ้าง ปมในใจที่ว่าตระกูลเขาเป็นรองตระกูลอีกฝ่ายมาตลอดมันทำให้อยากเอาชนะ จนลืมคิดไปเลยว่าถ้าจะอวดกันตามจริงแล้ว ฐากูรชนะเขาขาดลอยเลยด้วยซ้ำ “โอ้ ดีจังนะครับ ผู้ใหญ่คงดีใจแย่เลยที่มีคนรุ่นใหม่มาช่วยพัฒนา บางทีอะไรที่มันล้าหลังก็จำเป็นต้องอาศัยอะไรใหม่ ๆ มาขัดเกลาให้มันดีขึ้น” น้ำเสียงนุ่มฟังรื่นหูนี้เต็มไปด้วยคำเหน็บแนม ฐากูรกำลังเปรียบเปรยให้เห็นภาพว่าพีซีเคปิโตรเลียมของตระกูลปรีชาโชติวรกุลนั้นล้าหลังคร่ำครึใช่หรือไม่ เพราะมีแต่คนรุ่นเก่าบริหารจึงไม่พัฒนาอย่างนั้นหรือ? ‘ไอ้คุณฐาเวรนี่ จิกกัดเก่งเหมือนกันนะ’ ดวงตากลมโตเผลอหลุบมองต่ำพลางนึกหาบทสนทนาตอบกลับให้เจ็บแสบไม่แพ้กัน เพียงอึดใจเดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นตอบกลับได้แล้ว “ทีทีเอสกรุ๊ปของคุณฐานี่คงพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเลยสินะครับ กินรวบจนธุรกิจคนตัวเล็กจมดินไปเลย เก่งมากเลยครับ ผมชื่นชมจากใจ เป็นแนวคิดบริหารแบบก้าวกระโดดจริง ๆ” “ฮ่า ๆ ได้ข่าวว่าทางพีซีเคปิโตรเลียมเองก็เพิ่งประมูลหุ้นร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันเป็นของตัวเองได้นี่ครับ แบบนี้รวยแย่เลย ที่เอามาเปิดในปั๊มทั้งหมด ทั้งร้านค้าปลีก ร้านค้ารอบนอกทั่วไปคงร้อน ๆ หนาว ๆ เสี่ยงปิดตัวแย่เลยครับ ฮ่า ๆ” ริมฝีปากบางกระตุก ทยากรประเมินชายตรงหน้าต่ำไปหน่อย ทีแรกคิดว่าฐากูรคงเป็นอัลฟ่าที่อ่อนน้อมถ่อมตน ดูใจดี หัวอ่อน หลอกง่าย แต่พอคุยเรื่องงานกลับไม่มีท่าทีโอนอ่อนเลยแม้แต่น้อย ต่อปากต่อคำเก่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก “สองคนนี้คุยกันน่าขนลุกชะมัด เลิกคุยเรื่องงานเถอะว่ะ ทำความรู้จักกันไว้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องก็ยังดี” เติร์ดพูดแทรกขึ้นมาเพื่อยุติบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ เขาเป็นคนกลางที่รู้จักนิสัยของทั้งสองคนดี รู้เลยว่าถ้าเป็นเรื่องนี้จะไม่มีใครยอมลงให้ใครแน่ ต่างฝ่ายก็รักศักดิ์ศรีของตระกูลตัวเองยิ่งกว่าอะไร “ไหน ๆ ก็ได้มาเจอกันแล้ว ผมขอไอจีหน่อยได้ไหมครับ แลกฟอลกันเถอะ” “นั่นสิ มาเจอกันแล้วก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนะครับ” คินตะกับจินตะเองก็เปิดเผยความต้องการพอสมควรว่าสนใจทยากรอยู่ไม่น้อย ส่วนหนึ่งเพราะอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าที่มีใบหน้าและรูปร่างงดงามถูกใจ อีกส่วนหนึ่งคือทั้งคู่อยากเป็นมิตรที่ดีต่อทยากรด้วยเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นน้องที่เติร์ดสนิท ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคตอาจได้เจอกันอีกก็ได้ ทยากรเปิดหน้าอินสตาแกรมของตัวเองให้ทุกคนดู จากนั้นเพียงอึดใจก็ถูกติดตามจากชายสามคน ทั้งคินตะ จินตะ และฐากูร เมื่อเป็นแบบนี้เขาจึงกดติดตามทั้งสามคนกลับเช่นกัน ในใจคิดว่ากลับถึงบ้านจะเข้าไปส่องไลฟ์สไตล์ของฐากูรเป็นพิเศษเลย อยากรู้ว่าคนในตระกูลคู่แข่งนั้นใช้ชีวิตอย่างไร ทว่าขณะที่กลุ่มของพวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างลื่นไหลอยู่นั้น จู่ ๆ อัลฟ่าสามคนก็ทำจมูกฟุดฟิดพลางมองหน้ากันไปมา “โอเมก้าที่ไหนปล่อยฟีโรโมนวะ มาฮีทที่งานคนเยอะแบบนี้เนี่ยนะ?” สัญชาตญาณของอัลฟ่ามันอดไม่ได้ที่จะสนใจเมื่อได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าโชยมาขนาดนี้ คินตะและจินตะดูงุ่นง่านไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย ยกเว้นฐากูรที่ยังคงยืนดื่มน้ำผลไม้ราวกับไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาดูสงบจนเหมือนกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้านี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทยากรอดแปลกใจไม่ได้จึงถามออกไป เพราะถ้าอัลฟ่าสามคนตรงนี้ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะได้รีบหนี “คุณฐาไม่ได้กลิ่นเหรอ?” “ได้กลิ่นสิครับ แต่ผมควบคุมตัวเองได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยได้กลิ่นสักหน่อย” “แล้ว...ไม่รู้สึกอะไรเหรอครับ?” “ต้องรู้สึกอะไรล่ะครับ ผมเข้าใจว่าโอเมก้าคงมีเรื่องที่ต้องจัดการยุ่งยากกว่า เขาต้องคอยฉีดยาหรือกินยาต้านอาการฮีท ซึ่งบางครั้งของแบบนี้มันก็ลืมกันได้ สิ่งที่อัลฟ่าอย่างผมควรทำคือมีสติแล้วไม่รังแกพวกเขาครับ ผมไม่ได้มองว่าใครเป็นอัลฟ่า ใครเป็นโอเมก้า ผมมองว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน” ดวงหน้าหวานตื่นตระหนกเล็กน้อยที่ได้ยินคำตอบแบบนี้จากฐากูรด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทยากรไม่เคยคิดเลยว่าโลกใบนี้จะมีอัลฟ่าที่มีแนวคิดแบบนี้ด้วย สำหรับเขาแน่นอนว่าไม่อยากเชื่อ ที่ผ่านมาตลอดชีวิตก็เจอพวกดีแต่พูดมาเยอะ สุดท้ายถ้ามีโอกาสก็คอยแต่จะรังแกชนชั้นที่อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ “มนุษย์เหมือนกันก็มีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบนะ คนที่มองเรื่องแบบนี้ให้เท่าเทียมไม่มีอยู่จริงหรอกมั้งครับ ขนาดโอเมก้ายังข่มกันเองเลย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD