โปรดแค่ไหน...คุณก็ไม่รัก ตอนที่ 9
“เอ่อ...ถ้าเราต้องแต่งงานกัน งั้นตอนนี้เราสองคน...เอ่อ มีสถานะแบบไหนหรอคะ”
“คุณอยากมีสถานะแบบไหนครับ” เขาย้อนถามกลับ
“ งั้นอาภาคย์....เอ่อ...รู้สึกยังไงกับเฟย์หรอคะ” ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวตรงหน้า
“เฟย์หมายถึง ถ้าจะเราจะแต่งงานกัน มันก็ต้องคบกันก่อนใช่ไหมคะ แล้วถ้าคนเราคบกันมันก็ต้องมีความรู้สึกดีๆ ให้กันบ้าง”
“แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับผม” เขาย้อนถามกลับทันที ทำให้เอาเธอก็ถึงกับนิ่งงันไปเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบแบบไหน ต่างคนต่างอยู่ในความคิดของตนเองอยู่หลายนาที ก่อนที่นาฬิริณทร์จะเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน
“รู้สึกดีมั่งคะ”
“อืม...ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“แล้วเอ่อ...ชอบไหมคะ หมายถึงอาภาคย์ชอบเฟย์บ้างมั่ย” เสียงถามนั้นเบาหวิว ราวกับกระซิบ
หล่อนข่มความเขิน แม้จะรู้สึกกระดากใจแต่ก็ยังเอ่ยถามออกไปด้วยใจนั้นอยากรู้ ไม่อยากค้างคาใจ เธอไม่อยากคิดไปเองเมื่อรู้ตัวว่ารู้สึกอย่างไรกับเขา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอเฝ้าแต่คิดถึงช่วงเวลาที่เขาและเธอได้ห้วงเวลาที่สุดแสนจะหวานล้ำด้วยกัน มันคอยแต่คิด คอยแต่เฝ้าฝันถึง แอบส่องทุกช่องทางโซเชี่ยลที่พอจะดูได้ จนแทบจะลืมเลือนความเจ็บปวดจากรักครั้งแรกที่เธอเคยคิดว่าจะบาดเจ็บสาหัส อกหักจนยับเยิน แต่ที่ไหนได้พอมีเขาเข้ามา ทุกความคิดของเธอก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากความเศร้าหมอง เป็นเฝ้าคิดถึง คอยอยากรู้ความเป็นไป ยิ่งวันนี้เมื่อได้รู้ว่าจะได้เจอเขา หล่อนก็รู้สึกดีใจที่จะได้พบ กระวีกระวาดแต่งตัวตั้งแต่เพื่อนสนิทโทรมานัดหมาย ยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้ มันคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอกหากไม่ใช่เพราะเธอชอบเขา
มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมที่เธอจะเป็นฝ่ายถามเขาก่อนเช่นนี้ หากเธอไม่ถามเขาในคืนนี้เธอคงจะต้องนอนไม่หลับแน่ๆ
“หมายถึงชอบคุณหรือเปล่าอย่างนั้นหรอ”
“เอ่อ...งั้นมั่งค่ะ” พุฒิภาคย์จ้องมองหญิงสาวที่ตอบรับคำเขาเสียงเบา หล่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา มือของเธอจิกหากันอย่างประหม่า กังวล
“ครับ ผมน่าจะชอบคุณ” คำตอบรับว่าชอบเขา ทำให้นาฬิริณทร์เงยหน้าขึ้นสบตาเขาทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้างคาดไม่ถึงว่าเขาจะบอกชอบเธอตรงๆ แบบนี้ หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำราวกับกลองรัวชุดใหญ่
“คะ?!”
“’ งั้นคุณอยากลองคบกับผมไหม อายุของผมเป็นปัญหาของคุณหรือเปล่า” อายุที่มากกว่าสิบเจ็ดปี สำหรับหลายๆ คนอาจจะเป็นปัญหาเพราะด้วยความต่างของช่วงวัยที่ห่างกัน ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างกันมันอาจจะทำให้การคบหากันไม่ราบรื่นนัก เธออาจจะไม่ถูกใจตรงนี้ก็ได้
“ละ...ลองคบหรอคะ... มะไม่ค่ะ ไม่มีปัญหา เฟย์ไม่มีปัญหากับอายุของอาภาคย์ค่ะ” นาฬิริณทร์ตกใจอยู่ไม่น้อยจนดูลนลานที่จะรีบตอบราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้นกับท่าทางของหญิงสาว เอื้อมไปจับมือเล็กของเธอมาเกาะกุมเอาไว้
“งั้นลองคบกันนะคะ” เสียงสั่นเครือจากร่างเล็ก พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง มองสบตาเขานิ่งอย่างลุ้นระทึก หัวใจเต้นโครมคราม
“ครับ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาฬิริณทร์เมื่อได้ยินการตอบรับจากเขาก็แทบกระโดดด้วยความดีใจแต่ก็ต้องเก็บอาการของตนเองไว้ไม่พยายามแสดงออกมา เพียงแค่ยิ้มให้เขา แต่เป็นยิ้มที่แสดงออกทั้งทางสีหน้าและแววตาที่ทอประกายวิบวับราวกับลูกบอลแก้วล่อกับแสงไฟ
หญิงสาวข่มความรู้สึกเขินอายของตนเองด้วยการแสร้งเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกไปนั่งเล่นที่เฉลียงของบ้าน ชื่นชมการตกแต่งผสมผสานกับธรรมชาติไว้อย่างลงตัว ทั้งร่มรื่นและสวยงามน่ามอง หล่อนกำลังเพลิดเพลินกับการเหล่าบรรดาดอกไม้นานาพันธ์ แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อหันหลังกลับไปชนกับเจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว
“อุ้ย!!! ขอโทษค่ะอาภาคย์ ทำไมมายืนอยู่ใกล้จังคะ”
“ผมจะมาถามว่าหิวหรือยัง ใกล้เวลามื้อเย็นแล้วผมจะได้พากลับ” นาฬิริณทร์แหงนเงยขึ้นสบตากับชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนประชิดด้วยหัวใจสั่นไหว ทำไมอาภาคย์ชอบมายืนจนชิดแบบนี้ด้วยล่ะ
เหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นท่าทางและกริยาที่เก้อเขินของหญิงสาว ใบหน้าหล่อนั้นจึงโน้มลงมาใกล้เหมือนจงใจให้เธอยิ่งหวั่นไหว และแสดงอาการเขินอายออกมามากยิ่งขึ้น ปลายนิ้วโป้งของเขายื่นมาเกลี่ยบริเวณผิวแก้มเบาๆ วงแขนที่โอบรัดร่างเล็กที่กำลังสั่นสะท้านกับการถูกสัมผัสจากชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อ...อะ อาภาคย์..จะ จะทำอะไรคะ”
“ทำไมผมรู้สึกว่าวันนี้แก้มคุณแดงกว่าปกติ เพราะแสงไฟหรือเปล่าครับ” นัยน์ตาสีนิลจ้องมองสบตาของเธอนิ่งนาน ก่อนที่จะไล่สายตามองไปยังริมฝีปากอวบอิ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ลิ้มลองมัน
ไม่รู้อะไรดลใจ เมื่อสายตาที่สบประสานกันในระยะใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่าย นาฬิริณทร์กลับใจกล้าเขย่งปลายเท้า มือที่ก่อนหน้านี้ที่สัมผัสอยู่กลางแผงอกกว้าง ความตั้งใจเดิมคือต้องการผลักดันให้เขาออกห่างจากตัว ทว่าเวลานี้เธอกลับยกมือขึ้นโอบลอบคอของเขาใช้แรงเพียงนิดให้เขาโน้มลงมาใกล้ ก่อนจะจรดริมฝีปากของตนเองทาบทับกับริมฝีปากหยักหนาของเขา
ปากอิ่มประกบเน้นย้ำแช่ค้างเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ ดูดเม้ม อย่างไม่ประสามากนักหากทำไปด้วยสัญชาตญาณเมื่อปลายลิ้นเล็กพยายามสอดแทรก แม้พุฒิภาคย์จะตกใจแต่เขาก็รับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ เปิดปากรับลิ้นเล็กนั้นก่อนจะตวัดลิ้นร้อนของตนเองเกาะเกี่ยวกับปลายลิ้นของเธออย่างชำนาญ
ความรู้สึกถูกดูดเม้มบนปลายลิ้นทำให้หญิงสาวแทบหลอมละลาย ไร้เรี่ยวแรง เคลิบเคลิ้มจากการถูกชักนำของชายหนุ่ม ปลายเท้าเขย่งสูง ใบหน้าเชิดรับกับรสจูบที่ทั้งหวานทั้งละมุน เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากออก
รสจูบของเขาช่างหอมหวานอย่างที่เธอฝันถึง จนไม่อยากถอดถอน ทั้งละมุนอ่อนโยน อ่อนหวานคล้ายกับความรู้สึกที่เธอเคยโหยหาอยากจะได้รับเฉกเช่นในค่ำคืนนั้น เป็นรู้สึกที่ฝั่งแน่น ยากจะลืมเลือน ต่างกันตรงที่ความรู้สึกในวันนั้นมันเต็มไปด้วยความเร้าร้อน ไม่ละมุนใจเช่นตอนนี้
หญิงสาวอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา ลืมตาเพื่อมองสบตาคู่คม พุฒิภาคย์เพียงยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำหวานตรงมุมปากของเธอแผ่วเบา
“ไปทานข้าวกันนะครับ”