ครืด…! ครืด…!
เฮือก!!
ดวงตาเบิกกว้าง ดีดตัวขึ้นตั้งตรงราวกับสปริง หัวใจกระหน่ำเต้นโครมครามไม่หยุด เม็ดเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้า หายใจหอบจนตัวโยน ลำคอแห้งผาก กำปั้นเล็กถูกยกขึ้นทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก
“ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย อึดอัดชะมัด”
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจริงๆ ลมหายใจถูกพ่นออกยาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดปกติ หลังจากรวบรวมสติสัมปชัญญะกลับมาได้เกือบเต็มร้อย ก็เอื้อมมือไปหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่นำทางฉันกลับมาสู่โลกปัจจุบันได้ทันเวลาพอดี
[FAVORITE]
อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหน้าจอโชว์สายเรียกเข้าจากเฮียไวน์ เหตุการณ์ในความฝันก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยใบหน้าและน้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทันที ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากันแน่น เริ่มมีความคิดที่ว่าการมีเขาอยู่มันดีกว่าจริงๆ
ปลายนิ้วเลื่อนสไลด์ ก่อนจะเอาเข้าแนบหูและทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มนิ่มอีกครั้ง
[ลุกจากที่นอนได้แล้ว ไปหาอะไรกินกัน] ประโยคแรกก็ทักเหมือนตาเห็นซะแล้ว
“เรายังไม่ตื่น” ฉันตอบกลับปลายสายแกล้งทำเสียงงัวเงีย เพราะยังไม่อยากออกไปไหนตอนนี้ เปลือกตาปิดลงแล้วหลายส่วน
[แล้วเจ้าหมาที่ไหนรับสายเฮีย]
“หมาบ้า”
[ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็โทรไปชวนทิชาด้วยนะ เฮียนัดพลอยใสไว้ตอนเที่ยงครึ่ง]
“ไปกันสองคนเลยค่ะ เราอยากนอน” รู้สึกเหมือนยังนอนไปเต็มอิ่ม ทั้งที่ตอนนี้ก็สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
[แต่วันนี้มีนิทรรศการหนังสือ ที่น้องเคยบอกว่าอยากมาด้วยนะ]
ฉันลืมตาขึ้นพร้อมประกายระยิบระยับตั้งแต่ที่ได้ยิน ‘นิทรรศการหนังสือ’ แล้ว
“โอเคค่ะ เที่ยงครึ่งนะ” ตกปากรับคำเสร็จสับ ฉันก็กดวางสายจากเฮียไวน์ และโทรออกไปยังเพื่อนรักที่อยู่ข้างห้อง พลางตวัดผ้านวมออกจากร่างกาย ก้าวลงจากเตียง เตรียมตัวไปอาบน้ำระหว่างรออีทิรับสาย
ตื้ด…ตื้ด…
ดูทรงแล้วน่าจะยังไม่ตื่นแน่ๆ เพราะมันปล่อยให้ฉันรออยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีเสียงครางตอบกลับมา
[อื้อ…]
“มึง ลุกไปอาบน้ำ ไปเดินเล่นที่ห้างกัน”
[แต่กูปวดหัว] อาการเดียวกับฉันในตอนแรกเป๊ะเลย
“มึงไม่อยากไปกินของอร่อยรึไง ลุกเดี๋ยวนี้!”
[เออๆ]
จบการสนทนากับเพื่อนสนิท มือถือถูกวางทิ้งไว้ข้างอ่างล้างหน้า โดยที่ฉันยังเอาแต่เพ่งมองตัวเองในกระจก เรื่องราวในความฝันมันเคยเกิดขึ้นจริงหรือฉันแค่เครียดกับโครงการลับนี่มากเกินไปจนเก็บเอามาฝัน
มีเหตุผลอะไรที่ทำพ่อแม่ตัดใจทิ้งลูกได้อย่างไม่ไยดีขนาดนี้...
@ห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองหลวง
13:10 น.
“น้องอยากกินอะไร” เฮียไวน์ถาม หลังจากที่พวกเราพากันมาหยุดยืนกลางโซนร้านอาหาร
“ไม่รู้อะ” มันก็มีความรู้สึกหิวนิดหน่อย แต่นึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร เพราะใจมันดันไปอยู่ที่นิทรรศการหนังสือซะแล้ว
พอไม่ได้คำตอบจากฉัน พี่พลอยใสจึงหันไปขอความคิดเห็นจากอีกคน
“ทิล่ะ”
“ราเมงไหม อยากกินอะไรร้อนๆ”
“อือ ก็ดีนะ” พี่พลอยใสว่า พร้อมออกเดินนำไปยังปลายทางที่ฉันเองก็ยังไม่ชัวร์ว่าอยู่ส่วนไหนของห้าง
ไม่นานหญิงสาวที่ชำนาญทางเป็นอย่างดีก็พาเราเลี้ยวเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง พี่พลอยใสไปจับจองที่นั่งเป็นคนแรก ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอดึงให้อีทิไปนั่งข้างๆ ฉันจึงถูกบีบให้นั่งฝั่งตรงข้ามกับเฮียไวน์ไปโดยปริยาย
“อันนี้น่ากิน มึงกินกับกูไหม กูกลัวกินไม่หมด” อีทิหันเมนูในมือที่ตัวเองสนใจมาให้ฉันดู
“อือ…เอาดิ”
“ไม่ได้ มันมีกุ้ง ไม่เห็นเหรอ” เฮียไวน์แทรกขึ้นเสียงแข็ง ขมวดคิ้วยุ่งท่าทางจริงจัง เนื่องจากฉันแพ้อาหารทะเล นั่นเลยทำให้คนชวนเบิกตาดูเมนูอีกครั้งด้วยความตกใจ
“เออว่ะ โทษทีกูไม่ได้ดู”
ฉันเอื้อมไปตีแขนเฮียไวน์หนึ่งที พลางตวัดสายตาดุ เขาทำหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิมอีกทีนี้
“เรารู้หรอกน่า” ฉันพูดกับเฮียไวน์ด้วยเสียงที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน จากนั้นจึงหันไปหาเพื่อนรัก “มึงก็สั่งมาเลย ไม่หมดก็ช่าง”
เพราะความจริงฉันเห็นแล้วว่ามันมีส่วนผสมของกุ้ง แต่เมื่อเพื่อนอยากกิน ก็เลยไม่ขัด...แค่ไม่กินกับมัน
“เอาเลย เดี๋ยวพี่ช่วยกิน” พี่พลอยเสริม
หลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อย ก็เป็นเวลาของโลกโซเชียล และหลุดยิ้มกว้างออกมาในตอนที่เลื่อนไปเจอคลิปโชว์สเต็ปแดนซ์ของหลานชายตัวน้อยในไอจีสตอรี่ของพี่เฌอ สะใภ้คนโตแห่งบ้านเหมบดินทร์
“เฮีย ดูอชิดิ” ฉันเอนตัวไปหาคนข้างๆ และจ่อหน้าจอมือถือไปให้ในระดับสายตา ด้วยความเคยชิน
คนถูกเรียกทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วหันมาสนใจสิ่งที่ฉันเอาให้ดูทันที ฝ่ามือหนาเลื่อนประคองหลังมือฉันเล็กน้อย ขณะจ้องมองคลิปของหลายชายที่ดำเนินไปเรื่อยๆ
วินาทีต่อมาไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลา น้ำเสียงหนักแน่นแทรกเข้ามาในหัวฉับพลัน
‘แต่เฮียยืนยันได้ว่ามันจะเหมือนเดิม’
ใช่...เฮียไวน์ก็ยังคงเป็นเฮียไวน์คนเดิม ที่ผ่านมา...ฉันยังเป็นผู้หญิงที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องของฉันมันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม และถ้าเลือกได้ฉันก็คงอยากมีผู้ชายแบบเขาเนี่ยแหละ ที่คอยเคียงข้างไปตลอด
“หึ…คงจะชอบแนวนี้จริงๆ” เขาหันมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เกิดการประสานสายตาชั่วขณะ ทำเอาใจฉันสั่นขึ้นมาดื้อๆ ก่อนจะหลุบมองอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง รีบดึงมันกลับและขยับร่างกายไปชิดผนังกระจกอีกฝั่งทันที
เหมือนระยะห่างระหว่างเรามันแคบลงเรื่อยๆ ยังไงก็ไม่รู้...
แต่ฉันยังรู้สึกถึงการจับจ้องจากบุคคลที่อยู่ตรงข้าม จึงปรายตามอง สองสาวสะดุ้งพร้อมกัน รีบก้มหน้าจิ้มไปที่หน้าจอมือถือของใครสักคนที่ถูกใช้เพื่อกลบเกลื่อน พลางหาเรื่องคุยไปเรื่อย แสร้งทำเป็นไม่สนใจ...และมันโคตรจะไม่เนียน