ตอนที่ 6 การกลับมา
นับตั้งแต่วันที่เลิกรากันในวันนั้น กว่า 4 ปีที่พายุไม่ยอมกลับมาเมืองไทย แม้จะเรียนจบหลักสูตรไปสักพัก แต่ทว่าเขายังคงหาข้ออ้างที่จะอยู่ต่อที่นั่น ด้วยการเทรดหุ้นและลงทุนในต่างประเทศ
หากไม่ใช่เพราะในครั้งนี้บิดาของเขาป่วยหนัก ทำให้เขาต้องจำใจกลับมาเพื่อดูแลกิจการทั้งหมดแทน
มิฉะนั้นแล้วเขาก็คงตัดสินใจไม่กลับมาที่นี่อีก
พายุ ในตอนนี้ เขาคือนักธุรกิจเต็มตัว แต่ทว่าเขากลับเป็นคนที่เงียบขรึมและเย็นชา เขาไม่เคยสนใจในเรื่องความรักอีกเลย นับตั้งแต่วันที่ต้องเลิกรากับอิงฟ้า หากแต่ในวันนี้เขาทุ่มเทเรื่องทั้งหมดไปกับงานและการทำธุรกิจ
ยิ่งธุรกิจที่ลงทุนไว้ในต่างประเทศประสบผลสำเร็จทำให้เขามีรายได้ต่อปีมหาศาล ต่อให้เขาไม่กลับมาที่นี่เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรแม้แต่น้อย
การกลับมาเมืองไทยในครั้งนี้ มันทำให้เขาอดคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่สร้างความเจ็บปวดอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลเป็นตรงข้อมือที่ถูกกระเบื้องบาดตอนที่เธอผลักเขา บัดนี้กลับกลายเป็นรอยแผลทางยาว ตอกย้ำภาพความทรงจำที่เธอบอกเลิกเขาในวันนั้นอย่างชัดเจน
แม้ภาพเก่าๆ ยังชัดเจน
แต่ทว่าตอนนี้ เขาไม่ใช่ พายุ คนเดิมคนนั้นของใครอีกต่อไป
———————————
“ท่านประธานไล่เลขาออกอีกแล้ว!!”
เสียงซุบซิบ ของเหล่าบรรดาพนักงานหญิง พากันจับกลุ่มกันพูดคุย ถึงประธานหนุ่มของเขา
ตั้งแต่เขา มาดูแลแทนผู้เป็นพ่อ เกือบครึ่งปี เขาไม่เคยพอใจการทำงานของเลขาคนไหนเลย แค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือนไล่ออกไปแล้วถึง 5 คน แต่ละคนสามารถทำงานกับเขาได้เพียงแค่ครึ่งเดือนหรือเดือนเดียวเท่านั้น
เขาเป็นคนละเอียด และเนี๊ยบมาก เขาไม่ชอบเลขาที่ไม่รู้หน้าที่ โดยเฉพาะเรื่องเวลาเขาให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด และหากจะร่วมงานกับเขาต่อให้เขาพูดหรือสั่งอะไรต้องทำและจำได้ทันที และที่สำคัญ เลขาที่เข้ามาแสดงทีท่าจะยั่วยวนเขา เป็นสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุด และแน่นอนหากพบว่าใครมีพฤติกรรมแบบนั้นเขาพร้อมจะไล่ออกได้ทันที
“หรือว่าท่านประธานเป็นเกย์!!” เสียงพนักงานคนหนึ่งยังไม่เลิกคาดเดา
“แกว่าผิดปกติไหมล่ะ อายุตั้ง 28 ยังโสด ความจริงต้องแต่งงานและมีครอบครัวไปแล้วแกว่าไหม”
“จริงด้วย ขนาดเลขาคนล่าสุดสวยยังกะนางแบบ ยังโดนไล่ตะเพิด ออกจากห้อง”
“ถ้าเป็นเกย์จริงๆ ก็เสียดายเขาหล่อมาก”
พนักงานยังไม่เลิกจับกลุ่มกันวิจารณ์
คุณต่าย HR วัย 47 เดินผ่านมาพอดี เธอได้ยินกลุ่มพนักงานที่นั่งล้อมวงคุยกันอย่างสนุกสนานจนเธอต้องเอ็ดเสียงดัง
“จับกลุ่มนินทาเจ้านายกันอีกแล้วนะพวกเธอ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกกันยกชุด ไป ไปทำงานได้แล้ว”
เธอมีฉายาว่าเจ้าแม่ระเบียบ เรื่องกฎระเบียบและวินัยของบริษัท เธอเป๊ะเป็นที่หนึ่ง
ทุกคนถึงกับวงแตก หน้าจ๋อย ต่างก็เลื่อนเก้าอี้กลับไปเข้าที่ทำท่าตั้งใจทำงานของตัวเอง
คุณต่ายHR วันนี้เธอรู้สึกเครียด จึงเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปซะหมด เมื่อครู่นี้เธอเพิ่งได้รับคำสั่งด่วนจากเบื้องบน ให้หาเลขาคนใหม่ให้ท่านประธาน แถมยังจะให้เริ่มงานทันทีในวันพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องสัมภาษณ์ แล้วป่านนี้เธอจะไปเรียกใครมาทำงาน
สี่เดือนที่ผ่านมา เธอเรียกสัมภาษณ์พนักงานในตำแหน่งเลขานุการไปห้ารอบ แต่ละรอบไม่เคยต่ำกว่าสิบคน อุตส่าห์คัดคนที่ดู performance ดีที่สุด พอมาทำงานจริงๆ กลับไม่ถูกใจท่านประธานเลยสักคน ใบสมัครกองอยู่เป็นตั้งๆ เรียกมาสัมภาษณ์นับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติตรงใจเขาเอาซะเลย
อยู่ๆ มาวันนี้กลับมาบอกว่าให้เอาคนจบเลขานุการที่ไหนก็ได้มาทำงาน มันจะง่ายขนาดนั้นหรือ เกิดคุณสมบัติไม่ตรงใจ เผลอๆ เธออาจจะต้องตกงานไปอีกคน
คุณต่ายHR ถึงกับกุมขมับ เธอมองดูนาฬิกาตอนนี้บ่ายสี่โมงแล้วมันไม่ได้ง่ายสำหรับเธอเลย ที่จะหาใครฉุกเฉินมาได้ทัน
พลันเธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เธอควรหาใครสักคนมาทำงานแก้ขัดไปก่อน จนกว่าเธอจะหาเลขาที่มีคุณสมบัติพร้อมมาได้ใหม่ อย่างน้อยคนๆ นี้ก็ต้องรับสภาพให้ได้ว่า อาจจะทำงานได้สัก 10–15 วันเดี๋ยวก็คงถูกไล่ออก!
แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ….
—————————-
“ฮัลโหลพี่ตาล ฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพี่หน่อย” คุณต่ายHR รีบโทรหาพี่สาววัย60ของเธอที่เปิดร้านกาแฟอยู่ชานเมือง
จำได้ว่า พี่สาวตัวเองที่เพิ่งย้ายมาจากเชียงใหม่เมื่อสี่ปีที่แล้ว มีลูกสาวอยู่สองคน คนโตจบเลขานุการ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้ทำงานบริษัท เธอเปิดร้านกาแฟกับตาลพี่สาวเธอ และยังเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยน่ารักวัยสามขวบเศษ ส่วนลูกสาวคนเล็กเพิ่งเรียนจบตอนนี้เป็นนักข่าวสายธุรกิจ
“ว่ามาเลยต่าย จะให้พี่ช่วยอะไร”
“อิงฟ้า อยู่ไหมพี่ ฉันอยากจะให้หลานช่วย” เนื่องจากมันกะทันหันเกินไป การขอร้องคนใกล้ตัวจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“เลิกงานฉันขับรถไปหาพี่นะ ค่อยคุยกัน”
ทันที ที่เลิกงาน เธอจึงรีบขับรถไปบ้านพี่สาวเพื่อขอความช่วยเหลือจากหลานสาว
“แค่ 10-15 วันเองนะฟ้า ประธานคนใหม่ของน้าเคี่ยวมาก นี่น้ารับสมัครมาสี่ห้ารอบแล้ว โดนไล่ออกรัวๆ เลย ใบสมัครก็โดน reject จนหมดจนไม่รู้จะเรียกใคร หนูเองก็จบด้านเลขานุการมาไม่ใช่เหรอ คิดว่าช่วยน้าสักครั้งเถอะ น้ารับสมัครหรือหาใครไม่ทันจริงๆ เลยตอนนี้”
“แล้วท่านประธานของพี่เขาไม่สัมภาษณ์เองหรือคะ ปกติทุกที่กว่าจะผ่านได้ต้องสัมภาษณ์ 3-4 คนกว่าจะไปถึงตัวท่านประธานได้” อิงฟ้ายังอดคลางแคลงใจไม่ได้
“ใช่จ้ะ สำหรับเคสปกติ เราก็ทำแบบนั้น แต่นี่เคสไม่ปกติ ท่านเพิ่งไล่เลขาคนใหม่ออกไปเมื่อเช้านี้ เหมือนท่านจะโมโหและหงุดหงิดมาก สั่งให้หาคนใหม่มาเริ่มทำงานแทนได้เลยในวันพรุ่งนี้ น้าโทรหาคนที่ได้ตัวสำรองก็ได้งานกันไปหมดแล้ว มันกะทันหันมากจริงๆ” คุณต่าย HR พยายามขอร้องหลานสาว
“ตอนแรกน้าคิดจะไปดึงคนจากแผนกอื่นมา แต่ ใครจะมายอมมาล่ะฟ้า เกิดมาทำไม่กี่วันแล้วโดนท่านไล่ออกก็ตกงานอีก ฟ้าแค่แกล้งๆ ทำไปก่อน ช่วยยืดเวลาให้น้า ระหว่างนี้น้าจะได้มีโอกาสหาเลขาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาทำงานให้กับท่าน”
“แล้วใครจะดู สายฟ้าล่ะคะ” เธออดห่วงลูกชายวัยอนุบาลหนึ่งของเธอไม่ได้
“แม่ช่วยดูก็ได้ลูก แค่10 กว่าวัน แปปเดียวเอง คิดว่าช่วยน้าเขาหน่อย”
โดนทั้งแม่ทั้งน้าขอร้องมาแบบนี้ อิงฟ้าจำต้องใจอ่อน ตอบตกลง
คงจะทำงานไม่กี่วัน เดี๋ยวประธานเรื่องมากคนนั้นก็คงให้เธอออกอยู่ดี อีกอย่างเธอก็มีร้านกาแฟของเธอและแม่อยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร กับการต้องทำงานบริษัท
“ได้ค่ะ ฟ้าตกลง”
“โอ้ยดีใจมาก น้าคิดว่าน้าจะแย่ซะแล้ว น้าไม่รู้จะขอบใจหนูยังไงดี ถ้าฟ้าไม่ช่วยน้า พรุ่งนี้เช้าน้าต้องแย่แน่ๆ” น้าสาวจับสองมืออิงฟ้าเพื่อขอบคุณ
อิงฟ้าพยักหน้ายิ้ม
นึกย้อนไปตอนนั้น ในเทอมสุดท้ายของปีสี่ เธอเคยได้มีโอกาสฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการในช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง พอจบแล้วเธอก็ไม่ได้กลับไปทำงานอีก
ตอนนั้น เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือน
หลังจากที่อิงดาวสอบติดมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ทั้งหมดจึงพากันย้ายมาเปิดร้านกาแฟของตัวเองอยู่ที่นี่
อิงฟ้ากรอกใบสมัครส่งให้น้าสาว อย่างน้อยก็ทำเพื่อช่วยน้าสาวของเธอ
ใครเลยจะรู้ว่า
ในวันพรุ่งนี้ เธอจะพบกับเขาคนนั้น อีกครั้ง
——————————