ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เข้ามา”
เมื่อสถานการณ์มันบังคับกันอย่างช่วยไม่ได้
โบว์จึงต้องมาพบผู้จัดการหื่นในยามที่เขาเรียกตัว แต่ทว่าพอมาถึงก็มีอีกคนรอนั่งรออยู่ด้วยแล้ว
“สวัสดีค่ะ,สวัสดีค่ะ” คนอายุน้อยสุดยกมือไหว้ทำความเคารพทั้งสองบุคคล จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้นั่งตามมืออ้วนๆ นั้นเชื้อเชิญ
“นี้แหละครับ คุณเบญฤดี”
“ผมจำเธอได้ครับ”
ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับหญิงสาว อาจจะแก่กว่าสักปีสองปีกำลังยกยิ้มอ่อนๆ ทัก
ชายหนุ่มภายใต้สูทสีกรมท่าขยับแว่นตาหนาเตอะให้เข้าที่ก่อนจะส่งเอกสารชุดหนึ่งให้โบว์อ่านรายละเอียดในนั้น
ทางด้านผู้จัดการหัวโล้นพุงโรมีสีหน้าไม่พอใจนักแต่ก็มิอาจขัดอะไรได้
“อะไรรึคะ”
“ลองอ่านดูสิครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำตาม
หัวกระดาษมีรูปลักษณะอะไรสักอย่างที่รู้สึกคุ้นเคยมากๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคือตราของอะไร เนื้อความในหน้ากระดาษเอสี่นั้นช่างสั้น กระชับ ได้ใจความว่าให้เจ้าตัวรีบส่งต่องานและความรับผิดชอบที่คั่งค้างให้เสร็จภายในสามวัน
“โบว์ถูกไล่ออกหรือคะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นครับ”
“ก็ในนี้มันบอกให้โบว์ส่งต่องานให้คนอื่น”
“ครับ! ถูกต้อง”
หัวคิ้วคนฟังขมวดเข้าหากันทันที เธอไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกยึดตำแหน่งงานของตน มั่นใจว่าอุทิศความสามารถให้อย่างที่สุดแล้วเช่นกัน
“กรุณาเซ็นรับทราบด้านล่างครับ”
“เดี๋ยว! โบว์ทำอะไรผิดคะผู้จัดการ” หญิงสาวโวยขึ้น ใบหน้าหื่นกาม สายตาแพรวพราวมองเธอเป็นดั่งเครื่องบรรณาการทางเพศตลอดเวลาคือที่พึ่งพาในยามนี้
“มันไม่เกี่ยวว่าผิดหรือถูก คุณแค่เซ็นยอมรับ” ผู้จัดการพุงกลมเอาแต่เม้มปากสนิท คนข้างๆ จึงเอ่ยพูดขึ้น
“ถ้าจะให้โบว์ออก โบว์ต้องได้เงินชดเชยสามเดือน” หญิงสาวตัดสินใจพูดความต้องการตนออกไป เพราะถ้าจะเอาเหตุผลที่เธอไม่สามารถทำโอทีร่วมกับทีมมาไล่ออก เธอก็ต้องได้รับเงินชดเชย
“คุณเบญฤดีครับ คุณจะไม่ได้รับเงินชดเชย แต่คุณจะได้เงินเดือนเพิ่มหนึ่งเท่าและตำแหน่งงานที่สูงกว่าเดิม”
“หนึ่งเท่าเหรอคะ” หญิงสาวปากสั่นพะงาบที่ได้ยิน เบญฤดีหันไปสบตาชายหนุ่มสูทสีกรมด้วยความแปลกใจเต็มขั้น
“ครับ!”
ผู้จัดการหัวโล้นนั่งกำหมัดขัดใจ
เบญฤดีเป็นหนึ่งในพนักงานสาวอายุน้อย หน้าตาสะสวย หุ่นอ้อนแอ้นอรชนที่ตนหมายตาอยากจะเชยชมสักครั้งแต่เจ้าหล่อนก็รอดเนื้อมือไปได้ทุกที
SIKHARIN CO., LTD.
ตึกสูงตระหง่านตั้งอยู่กลางเกาะแม่น้ำใจกลางเมือง บรรยากาศรายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มที่ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว การเดินทางเข้าออกมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงไว้ให้บริการสำหรับพนักงาน และถนนส่วนบุคคลที่จะมีเพียงคณะผู้บริหารเท่านั้นใช้สัญจรแบบส่วนตัว
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ศิขรินคอมพานี เชิญทางนี้ครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ! เมื่อลงทะเบียนแล้วเชิญนั่งประจำที่ได้เลย”
หญิงสาวกล่าวทักทายประชาสัมพันธ์หนุ่มหล่อด้านหน้าทางเข้าห้องประชุม จากนั้นก็ยกมือถือรุ่นเก่าไม่ค่อยทันสมัยขึ้นมาสแกนคิวอาร์โค้ดตามแบบคนอื่นๆ แล้วหน้าจอก็ปรากฏข้อมูลตัวเองพร้อมรูปถ่าย ตามมาด้วยเลขที่นั่ง C5
“คุณเบญฤดี สุขวัฒนา ตำแหน่ง Area Manager ถึงแม้อันดับของคุณอยู่ท้ายสุด แต่ยังไงก็สู้ๆ นะครับ”
“อา...ขอบคุณค่ะ” คนฟังมีสีหน้างุนงง
อันดับท้ายสุดคงจะหมายถึงที่นั่ง เพราะเมื่อมายังห้องประชุมก็มีเพียงแค่ตำแหน่ง C5 ที่ยังว่าง
ทุกคนต่างนั่งก้มมองเล่นมือถือคู่ใจ บ้างก็ยกขึ้นถ่ายรูปเพื่อโพสต์ลงโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ไม่มีใครคิดจะทักทายกัน
เบญฤดีนั่งลงในตำแหน่งท้ายสุดของแถวซีและเตรียมสมุดปากกาขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับจดบันทึกใจความ
บริษัทศิขรินเป็นบริษัทจิวเวอร์รี่น้องใหม่ที่กำลังมาแรงมาก ภายในเวลาสามปีเท่านั้นก็สามารถเบียดแบรนด์เก่าแก่ให้ตกอันดับได้อย่างรวดเร็ว
“ช่วงบ่ายหลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วจะมีเจ้าหน้าที่พาทุกท่านไปพบกับหัวหน้างานที่รับผิดชอบและห้องทำงานของตัวเองนะคะ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ครอบครัวศิขรินค่ะ” ผู้ดำเนินรายการยืนสง่างามอยู่กลางเวที
จะว่าไปแล้วเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของบริษัทศิขรินแห่งนี้ลักษณะดีและดูมากความสามารถทุกคน
อายุแต่ละคนไม่น่าเกินสามสิบห้า ไม่มีใครอ้วนลงพุง หัวโล้น หรือแม้แต่เตี้ย ป้อม ดำ แก่ สักรายรวมไปถึงแม่บ้านและรปภ.
เวลาพัก
“ของพี่เกรด A4 นี้หน่า หนูชื่อปิ่นนะคะ”
“ค่ะ”
“หนูเกรด B2 ค่ะ”
“พี่เห็นแล้วค่ะ”
หญิงสาวเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตำแหน่งที่นั่งเก้าอี้นั้นไม่ได้เรียงตามอันดับการมาก่อนหลัง
มันคือเกรดของเรานั่นเอง ว่าแต่ใครเป็นผู้คัดกรองจัดสรรให้กันนะ
“หูย...โคตรหยิ่ง!”
คนนั่งแอบฟังเงียบๆ กลืนข้าวแทบไม่ลง
เบญฤดีไม่คิดว่าการพูดถึงคนอื่นลับหลังเป็นสิ่งที่ดี
“สวัสดี! เราชื่อปิ่นนะ”
“สวัสดี ชื่อโบว์ค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ
เพื่อนใหม่ยกป้ายคล้องคอโบกไปมาราวกับว่านั่นคือนามสกุลของเธอ โบว์ได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้
“เขาว่ากันว่าพวกเกรดเอเนี้ยระดับพระเจ้าเลยนะ พวกนั้นถึงได้ไม่ลดตัวลงมาคุยกับชั้นบีชั้นซี แต่ยัยนั่นแค่เอสี่เองนะ ถ้าระดับเอหนึ่งสองสามแล้วหยิ่งขนาดนั้นน่ะฉันจะไม่ว่าเลย”
“...”
เบญฤดีได้แต่ยิ้มเจื่อน เธอไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ตอนนี้คนชื่อปิ่นทำให้ตนประหม่า
“ตรงนี้ว่างค่ะ”
“อ๋อ! ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”
“อ๋อ! ค่ะ!” อีกครั้งที่คนช่างพูดพยายามสร้างมิตรภาพกับผู้อื่น เบญฤดีแอบมองป้ายที่ห้อยอยู่ก็เห็นเกรดเอสามก็เข้าใจได้
“พวกนั้นไม่นั่งกับเราหรอก”
“แกคิดเหมือนเราใช่ไหมบีหนึ่ง”
ฮาๆๆ
ยิ่งมีเพื่อนสมาชิกร่วมโต๊ะหัวเราะเสียงดัง เบญฤดีก็ยิ่งตัวหดเล็กลงไปอีก เธอมาที่นี่โดยไม่รู้อะไรสักอย่าง เห็นแต่เม็ดเงินค่าจ้างที่มากกว่าและเบื่อหน่ายกับผู้จัดการหัวโล้นที่จ้องแต่จะเรียกให้เข้าไปหาในห้องทำงานเก็บเสียงและกระจกดำทึบ
ด้วยความที่ปิ่นบีสองกับจัสบีหนึ่งเป็นคนช่างจ้อพูดเก่งซะจนน้ำไหลไฟดับโบว์จึงค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาได้ไม่ยาก และข้อมูลอีกหนึ่งอย่างที่เธอเพิ่งกระจ่างถึงที่มาของพนักงานในบริษัท
“ถูกซื้อตัวมาเหรอ”
“เอ้านางคนนี้ ตอนเซ็นสัญญาไม่อ่านเหรอ” จัส หนุ่มเจ้าสำอาง ผิวขาวจัด หน้าสวยกว่าผู้หญิงแท้ๆ หลายคน กลิ่นกายหอมฟุ้งจนโบว์แอบสูดดมทุกคราวที่อยู่ใกล้ๆ พูดขึ้น
“ก็คร่าวๆ”
“คร่าวๆ ที่ว่าเนี้ยเกินหนึ่งหน้ากระดาษไหม”
“ก็...”
“ไม่ต้องสืบ ยัยโบว์เนี้ยพอเห็นตัวเลขแล้วฉันว่ามือไม้สั่นตาลายลมแทบจับเลยมั้ง”
“จัสแกก็เว่อร์” ปิ่นช่วยแก้ต่าง
“เราเซ็นแบบไม่อ่านอะไรเลย โธ่! จากเงินเดือนสองหมื่นสองเป็นสี่หมื่นห้า...อุ๊ย!!” ปิ่นรีบกระโดดมาปิดปากแล้วดุเข้าให้
“แกร๊!! พวกฉันรู้แล้วว่าแกไม่ได้อ่านสัญญาเลย แต่แกจำไว้นะว่าที่นี่ห้ามเปิดเผยฐานเงินเดือนของตัวเองให้คนอื่นรู้”
“ห้ะ! มีกฎอย่างนั้นด้วยเหรอ”
“โอ๊ย! นางคนอ่านหนังสือไม่เกินสี่บรรทัด”
คนฟังยอมรับว่าเธอต้องปรับตัวอีกเยอะเลยสำหรับที่นี่ อย่างน้อยก็ควรเริ่มจากเสื้อผ้าหน้าผมเสียใหม่
แม้จะไม่มีปัญญาประโคมแบรนด์เนมทั้งตัวเหมือนคนอื่น แต่ถ้าจะใช้ของตลาดก็ต้องเลือกที่มันเริดดูดีกว่านี้ ให้เหมาะกับมือถือราคาค่อนแสน
สวัสดิการแรกเริ่มจากการก้าวขาเข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของศิขรินคอมพานี