EP.02 คิดถึงพี่จ๋า

2761 Words
EP.02 คิดถึงพี่จ๋า ใครจะไปคิดเลยว่าชายหนุ่มอายุสิบเก้าปีจะเคร่งครัดต่อคำสัญญาที่มีให้เด็กป.2 ขนาดนี้... ‘วันจันทร์เดี๋ยวพี่ทำแซนด์วิชมาให้กินเอาไหม พี่ทำอร่อยนะ’ ไทม์เคยลั่นวาจาเอาไว้อย่างนั้นเมื่อวันศุกร์ แล้วเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาให้วันเสาร์และอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้ถึงวันจันทร์ตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ ทั้งที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดกับน้องน้ำตาลก็ได้ ในเมื่อไม่เคยรู้จักหรือสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน ความสัมพันธ์ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วมกันแค่บังเอิญสบตากันผ่านกระจกรถเมล์เท่านั้น แต่เปล่าเลย ไทม์รักษาสัญญา เช้าวันจันทร์เขาจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เช้ากว่าปกติจนคนในครอบครัวตกใจ จากเด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่กลับมาบ้านบ่นว่าเหนื่อยจากการรับน้องทุกวัน เช้าก่อนไปเรียนบ่นออดแอดว่าขี้เกียจมาทั้งสัปดาห์ จู่ ๆ กลับตื่นเช้ามายืนทำแซนด์วิชยู่ในครัว ซึ่งปกติเขาจะไม่เสียเวลานอนไปกับอะไรแบบนี้แน่ นอกเสียจากว่าจะมีภารกิจสำคัญ ขนมปังโฮลวีตถูกผักสลัดสีเขียวอ่อนวางทับหนึ่งแผ่น ตามด้วยเนื้อทูน่าสำเร็จรูปที่คลุกเคล้ากับซอสมายองเนสแล้วโปะลงบนผักจนพูน ใช้ผักสลัดทาบลงอีกชั้นหนึ่ง ปิดท้ายด้วยขนมปังอีกแผ่น ไทม์บรรจงตัดแซนด์วิชทูน่านี้ในแนวทแยงให้เป็นสามเหลี่ยมขนาดเท่ากัน จากนั้นนำไปใส่กล่องบรรจุอาหาร เขาทำไปทั้งหมดสี่ชิ้น คาดการณ์ไว้ว่าน้องคงกินไม่มากไปกว่านี้ ไทม์นำกล่องบรรจุอาหารใส่ถุงผ้าสีขาว สะพายมันขึ้นไหล่แล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย ซึ่งคือต้นสายของรถเมล์สายดังกล่าวที่เขาจะต้องนั่งไปยังมหาวิทยาลัย และแน่นอนว่าเขาต้องอดทนฝ่ามรสุมการจราจรในยามเช้าไปอีกเช่นเคย ทว่าวันนี้กลับไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด ชายหนุ่มร่างสูงเผยยิ้มเปื้อนใบหน้า นั่งตัวตรงกอดกระเป๋าผ้าที่มีกล่องแซนด์วิชอยู่ด้านในด้วยท่าทางอารมณ์ดี ภาวนาในใจให้ถึงป้ายรถเมล์ก่อนแยกไฟแดงใหญ่ที่น้องน้ำตาลมักจะมารอรถอยู่เป็นประจำนั้นเร็ว ๆ เสียที เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่ใช้วิธีนี้สร้างสัมพันธ์กับเด็กป.2 ที่เขารู้สึกถูกชะตาด้วยเพียงเพราะได้มองเจ้าตัวเล็กผ่านกระจกรถเมล์ทุกวันจนรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เวลาผ่านไปกระทั่งใกล้ถึงที่หมาย... ไทม์เตรียมตัวลุกจากที่นั่งเพื่อเดินมากดกริ่งตรงประตู มือหนึ่งจับเสาด้านข้างเพื่อช่วยพยุงตัวเองเมื่อรถกำลังเบี่ยงเข้าจอดที่ป้าย อีกมือหนึ่งกระชับถุงผ้าที่คล้องไหล่อยู่แน่นราวกับเป็นของรักของหวง เมื่อประตูรถเปิดออกไทม์จึงก้าวลงไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อกวาดตามองไปยังที่นั่งรอของป้ายรถเมล์กลับไม่เจอเด็กน้อยที่เขาอยากจะเจอนั่งรออยู่อย่างเช่นทุกวัน เขายกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมามองนาฬิกาก่อนพู่ลมหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าตัวเองรีบร้อนมาก่อนเวลาที่เคยมาประจำประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้ ร่างสูงจึงตัดสินใจทิ้งตัวนั่งรอน้องทั้งที่ไม่รู้เลยว่าวันนี้จะได้เจอกันจริง ๆ หรือไม่ น้องจะลืมที่นัดกันไว้หรือเปล่า เขาใช้เวลาที่นั่งรอชะเง้อคอมองทางซ้ายที ทางขวาที กระทั่งเห็นเด็กน้อยเดินสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากซอยใกล้ ๆ น้องน้ำตาลเดินสับขาสั้น ๆ ตรงเข้ามา โดยใบหน้ากลมหันมองพุ่มดอกไม้ริมฟุตบาท มืออวบยื่นไปสัมผัสดอกไม้นั่นอย่างทนุถนอมก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปดมแล้วทำหน้าเหยเกเพราะดอกไม้ที่ดมมันไม่หอมอย่างที่คิด ซึ่งการกระทำน่ารักไร้เดียงสาเหล่านี้อยู่ในสายตาของไทม์ทั้งหมด เขาเห็นแบบนี้ก็ยิ่งนึกเอ็นดูจนเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว “โอ๊ะ พี่จ๋านี่” เด็กน้อยเอ่ยทักทันทีที่เห็นไทม์นั่งรอ น้ำตาลขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังนึกอะไรอยู่พลางมองหน้าไทม์ไปด้วย “ลืมชื่อพี่แล้วเหรอ?” “พี่จ๋าชื่ออะไรนะครับ น้ำตาลลืม” “แล้วลืมด้วยหรือเปล่าว่าเรานัดกัน วันนี้พี่ทำแซนด์วิชมาให้น้องชิมด้วยนะ ยังไม่ได้กินข้าวเช้ามาสิท่า” “น้ำตาลจำได้ พี่จ๋าให้เงินน้ำตาลไว้ตอนวันศุกร์ พี่จ๋าวิ่งเข้ามาหาตอนพี่สองคนนั้นมาค้นตัว แล้วก็บอกจะทำแซนด์วิชให้กิน แต่น้ำตาลไม่กล้ากินหรอก...ยังไงพี่จ๋าก็เป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี” ไทม์ถอนหายใจ คงเป็นเขาที่รู้สึกคุ้นเคยอยู่ฝ่ายเดียวล่ะมั้งเพราะน้องยังดูไม่สนิทใจกับเขาเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่า เพิ่งเคยคุยกันครั้งเดียวเอง ไทม์ถอนหายใจก่อนจะเปิดกล่องแซนด์วิชออกและหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น “หนูเชื่อใจพี่นะครับ พี่ไม่คิดร้ายกับหนูหรอก” เขาพูดเสียงอ่อนหวานที่สุดกับเจ้าตัวเล็ก และจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างจริงใจ เพียงชั่วอึดใจแซนวิชก็ถูกกัดกินไปจนหมดอัน ไทม์ทำหน้าอิ่มเอมพลางเอ่ยชมว่าแซนวิชที่ตัวเองทำอร่อยนักหนาต่อหน้าน้อง เพื่อให้น้องน้ำตาลสบายใจได้ว่าสิ่งที่เขาตั้งใจทำมานั้นมันไม่เป็นอันตรายแน่นอน “อร่อยมากเลยเหรอครับ น้ำตาลอยากกินบ้าง กินได้ใช่ไหม จะไม่ปวดท้องจนตายใช่ไหมครับ น้ำตาลกลัวไม่ได้กลับมาเจอหน้าแม่อีก” “ไม่เป็นอะไรแน่นอน” หลังจากยืนยันเสร็จสรรพ ไม่นานกล่องแซนด์วิชก็ถูกเจ้าตัวเล็กแย่งไป น้ำตาลนำมันวางไว้บนตักแล้วหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน เจ้าตัวเล็กทำตาโตตั้งแต่ได้ลิ้มรสคำแรก ชมเปราะไม่หยุดว่าแซนด์วิชพี่จ๋าอร่อย แค่คำชมคำแรกก็ทำให้คนพี่ยิ้มจนแก้มเป็นก้อนแล้ว ไทม์ได้ใช้เวลาที่น้องกำลังกินนี้ชวนน้องคุยได้หลายเรื่องเพื่อกระชับสัมพันธ์ ทั้งเล่าเรื่องตลกเอย แอบสอนน้องเอยว่านอกจากเขาแล้วห้ามกินของจากคนอื่นอีก พยายามจะเน้นย้ำให้น้องเชื่อว่าตัวเขานั้นไว้ใจได้ แล้วเด็กน้อยที่มีของกินมาล่อก็เชื่อโดยสนิทใจ ที่เขาว่ากันว่าเด็ก ๆ น่ะหลอกง่าย ก็คงจะจริงตามที่เขาว่ากัน เพราะมันไม่ได้ยากเกินความสามารถของไทม์เลยสักนิด เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ได้สนทนากันสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสำหรับเจ้าตัวเล็กมากมาย นี่ล่ะน้าข้อดีของคนรักเด็ก เขารู้ว่าควรเข้าหาเด็กยังไง แต่สำหรับไทม์ไม่มีการหลอกลวง มีแต่ความจริงใจ วันนี้ก่อนได้จากลากันเมื่อรถโรงเรียนของน้องมาถึง เขาก็ได้ลั่นวาจาเอาไว้อีกว่าพรุ่งนี้จะทำมาให้กินอีก แต่หลอกล่อให้ดูน่าสนใจกว่าเดิมด้วยเมนูแซนด์วิชแฮมชีส แถมด้วยไส้กรอกทอดแท่งใหญ่อีกหนึ่งชิ้น พอน้ำตาลได้ยินก็ดีใจ บอกจะตั้งหน้าตั้งตารอกินเมนูที่ไทม์เสนอ หารู้ไม่ว่าไทม์ชื่นใจมากแค่ไหนที่เจ้าตัวเล็กดูสนิทใจกับเขามากกว่าเดิม จากเด็กที่ลังเลว่าจะรับของกินจากคนแปลกหน้าคนนี้ดีหรือไม่ ตอนนี้กลับรอกินเมนูใหม่ ๆ ฝีมือเขา ถ้าวันไหนติดใจฝีมือพี่ไทม์ขึ้นมาคงดีไม่น้อยเลย หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หลังจากไทม์ต้องตื่นเช้าคอยทำอาหารไปให้น้องมาทั้งสัปดาห์ เขาได้ใจน้องไปเต็ม ๆ แถมได้พบเจอกับแม่ของน้องเข้าให้แล้ว ในหนึ่งสัปดาห์แม่น้องจะมีวันหยุดสองวันจึงออกมาส่งน้องได้เพียงสองวันเท่านั้น ทำให้ได้เจอกับไทม์ แต่ก็ไม่โดนระแวงอะไรมากเมื่อเขาแสดงความจริงใจพร้อมเน้นย้ำว่าเขาเอ็นดูน้องน้ำตาลมากจริง ๆ ถูกชะตาเหมือนเป็นหลานตัวเอง ในวันนั้นที่ไทม์ทำข้าวผัดอเมริกันไปให้ แม่ของน้องก็นั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำตัวคุกคามหรือมีพิรุธอะไรให้ผู้ใหญ่ต้องเป็นกังวล ตัวเขานั้นมั่นใจมากว่าความจริงใจจะชนะทุกสิ่ง แต่ยังไงคนเป็นแม่ย่อมไม่ไว้ใจไทม์เท่าไหร่อยู่แล้ว ไม่ว่าไทม์จะพูดคุยอะไรกับน้องก็จะมีสายตาของแม่คอยจ้องมองอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา ไทม์ยังไม่ได้รับสัญญาณเตือนอะไรที่บ่งบอกว่าตัวเองทำตัวไม่เหมาะสมกับน้ำตาลจากแม่เลย ทุกวันไทม์ตั้งใจทำมื้อเช้าไปให้น้ำตาล เขารู้สึกสนุกที่ได้เจอน้องทุกเช้า แม้จะต้องปรับเปลี่ยนเวลาตื่นนอนของตัวเองก็ตาม แน่นอนว่ามันต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยและเพลีย แล้วอาการแผ่วปลายก็บังเกิด อาการนี้ก็คือการทำอะไรที่ไม่สม่ำเสมออย่างที่เคยเป็น เริ่มต้นได้ดีแต่ก็ค่อย ๆ ดีแตกในตอนท้าย เหมือนกับไทม์ตอนนี้ที่ไม่ได้เจอน้องมาสี่วันแล้ว สัปดาห์ก่อนหน้านี้ทำอาหารไปให้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ แต่เมื่อผ่านพ้นวันเสาร์และอาทิตย์ก่อนเข้าต้นสัปดาห์ใหม่มานี้เขาไม่ได้ทำอาหารไปให้น้องเลย เพราะความเหนื่อยล้าสะสมที่ต้องตื่นเช้าทุกวัน ประกอบกับกิจกรรมรับน้องในตอนเช้าลดน้อยลงแล้วแต่กลับมีตอนเย็นแทน วันไหนที่ต้องอยู่ทำกิจกรรมจนค่ำเขาจะตื่นเช้าออกมาส่งข้าวส่งน้ำให้น้องในวันต่อมาไม่ไหว วันนี้ก็วันศุกร์แล้ว เขาสะสมเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มาหาทั้งสี่วันมาเป็นพลังในการตื่นแต่เช้าเพื่อทำเมนูไข่กระทะหน้าตาน่ากินไปให้เจ้าตัวเล็ก โดยก่อนจะปิดฝากล่องบรรจุอาหารไทม์ได้ใช้ซอสมะเขือเทศสีแดงวาดรูปหน้ายิ้มแบบเดียวกับที่เขาเคยวาดผ่านกระจกรถเมล์ให้น้องด้วย หวังว่าผ่านมาสี่วันนี้น้องจะไม่ลืมเขา ไทม์นำกล่องอาหารใส่กระเป๋าผ้าใบเดิม ออกจากบ้านเพื่อไปรอรถเวลาเดิม นั่งรถเมล์สายเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือรถติดมาก เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนทำให้รถที่ติดอยู่แล้วติดมากขึ้นไปอีก เขาเริ่มกังวลใจ ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาแทบจะทุกสามนาทีเลยก็ว่าได้ ลุ้นเหลือเกินว่าจะไปทันได้เจอเจ้าตัวเล็กหรือไม่ ถ้าหากไม่เจอกันวันนี้ ไม่ใช่แค่จะไม่เจอน้องห้าวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ แต่จะไม่เจอในวันเสาร์เสาร์อาทิตย์ รวมแล้วเจ็ดวันเต็ม! คิดได้ดังนั้นจู่ ๆ ไทม์ก็กระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ... ใบหน้าหล่อมองออกไปยังนอกกระจก มองเห็นรถด้านหน้าไม่ขยับเลยทั้งที่ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงป้ายรถเมล์ที่น้องอยู่ไม่ได้ไกลมากนัก อีกแค่สองป้ายเอง ‘เชี่ยเอ๊ย รถจะติดอะไรขนาดนี้วะ’ ความหงุดหงิดก่อตัว เขามองนาฬิกาที่ข้อมืออีกพลางสบถด่าการจราจรไปด้วย เมื่อรู้ว่าอีกเพียงสิบนาทีโดยประมาณรถโรงเรียนของน้องก็จะมาถึงแล้ว ถ้าให้รออยู่บนรถแบบนี้คงไม่ทันการแน่ ไทม์ได้ตัดสินใจจะลงจากรถตรงนั้นท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่น ตอนนี้ตัวเขาหวังพึ่งพารถโดยสารไม่ได้แล้วถ้าต้องแข่งกับเวลาแบบนี้ เขาจึงต้องวิ่งจากจุดที่ลงรถเมล์เพื่อตรงดิ่งไปยังป้ายรถเมล์อีกสองป้ายข้างหน้า ดีหน่อยที่เป็นนักกีฬากรีฑาตอนมัธยมปลายพอดี เลยพอมีทักษะและร่างกายที่ยืดหยุ่นพอจะเอื้ออำนวยให้เขาไปถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็เหนื่อย ยิ่งจังหวะที่เห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ไกล ๆ ตรงนั้นสองฝีเท้าก็ยิ่งสับถี่ขึ้น รีบพาตัวเองเข้าไปหาโดยไว ตึก ตึก ตึก สุดท้ายก็มายืนหอบอยู่ตรงหน้าน้องน้ำตาล เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่ก้มมองหน้ากลมนั่นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตึก ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรืออะไรกันแน่ เจ้าตัวเล็กช้อนตามองร่างสูงตรงหน้า เห็นว่าเป็นไทม์ก็นั่งน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากเล็กเริ่มเบะ ก่อนน้ำใส ๆ จะไหลจากขอบตา “ฮือออ นึกว่าพี่จ๋าไม่มาหาน้ำตาลแล้วววว” “แฮ่ก ๆ ๆ มาสิ พี่มาหาแน่นอน หนูไม่ร้องนะครับเด็กดี วันนี้พี่ทำไข่กระ...” หมับ ขณะที่ไทม์ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ อยู่ด้านหน้าแถมยังพูดไม่จบประโยค เจ้าตัวเล็กก็โถมเข้าไปกอดร่างสูงแน่น ก่อนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจะดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ไทม์รีบลูบหลังปลอบประโลมน้องในทันที เขาปรับลมหายใจและควบคุมโทนเสียงในการปลอบโยนให้อบอุ่นที่สุด จนน้องหยุดร้องไห้แล้วยืนตรงมองหน้าเขา “น้ำตาลคิดถึงพี่จ๋า น้ำตาลหิวข้าว” “ฮ่า ๆ น่าจะหิวข้าวมากกว่า ตัวแค่นี้รู้จักคำว่าคิดถึงแล้วเหรอเราน่ะ” ฝ่ามืออุ่นวางทาบบนกลุ่มผมนุ่มของเจ้าตัวเล็กอย่างเบามือ ไทม์มองหน้าน้องด้วยรอยยิ้มใจดี เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่แก้มยุ้ย ๆ นั่นจนหมด และทุกขณะสายตากลมโตจ้องมองพี่จ๋าตลอดเวลา ราวกับว่าเขาเข้าใจคำว่าคิดถึงแล้วจริง ๆ “ตอนพี่จ๋าไม่มา น้ำตาลเจ็บตรงนี้” นิ้วป้อมชี้เข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเองอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าดูละครมากไปหรือรู้สึกเจ็บปวดหัวใจด้วยความคิดถึงจริง ๆ กันแน่ ทว่ากลับสร้างความตกตะลึงให้ไทม์จนเขาพูดอะไรไม่ออก “...” “น้ำตาลเจ็บตรงนี้จริง ๆ แบบนี้คือคิดถึงหรือเปล่าครับ” ไทม์รวบรวมสติไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เด็กตัวแค่นี้อาจมีความรู้สึกอ่อนไหวได้ง่าย รู้สึกอยู่กับใครแล้วสนุกก็ติดคนนั้น อยากจะเจอ อยากจะเล่นแต่กับคนนั้นซ้ำ ๆ แล้วกับคนที่โตกว่าอย่างไทม์ล่ะ ทำไมปล่อยให้คำพูดของเด็กไม่กี่คำมาทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวตามไปด้วยได้? “ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าคิดถึงพี่จริง ๆ หรือรอกินข้าวกันแน่” “ไม่กินก็ได้ อยากเจอมากกว่า” เจอคำพูดไร้เดียงสาที่พาให้คิดไกลอีกประโยคก็ทำให้ไทม์ถึงกับแอบอมยิ้ม ก่อนตาคมจะเหลือบเห็นว่ารถโรงเรียนของน้องกำลังเบี่ยงเข้ามารับ ฉะนั้นวันนี้คงหมดเวลาที่จะได้พูดคุยกันแล้วล่ะ “พี่ทำอาหารมาให้ หนูเอาไปกินที่โรงเรียนนะครับ ไว้วันจันทร์ค่อยเอากล่องมาคืนพี่” “พี่จ๋าจะมาหาน้ำตาลอีกใช่ไหมครับ” “อยากเจอพี่ขนาดนั้นเลย?” เด็กตัวเล็กรับถุงผ้ามากอดไว้ เขาครุ่นคิดถึงคำตอบที่ไทม์ถาม อยากเจอพี่จ๋าขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? และแล้วคำตอบคือการยิ้มหวานแล้วพยักหน้าให้ “อยากเจอครับ” “ติดใจพี่หรือติดใจอาหารกันแน่น้า...” “พี่จ๋าพูดอะไรนะครับ?” “ทีหลังเรียกพี่ไทม์นะ พี่อยากให้หนูเรียกชื่อพี่มากกว่า ไปได้แล้วตัวเล็ก ตั้งใจเรียนนะครับเด็กดี” ร่างสูงเดินไปส่งน้องถึงประตูรถโรงเรียน แถมยังโบกมือร่ำลากันอีกสักเล็กน้อยก่อนประตูรถจะปิดลง รถที่น้องนั่งเคลื่อนตัวออกไปแต่ร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไทม์ยืนลูบอกที่รู้สึกวูบไหวประหลาดด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ ในหัวมีแค่คำว่า ’คิดถึงพี่จ๋า’ วนอยู่ซ้ำ ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD