หลายเดือนก่อน
‘ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วนะลูก…ช่วยพ่อหน่อยนะ’
เพราะน้ำเสียงและประโยคขอร้องอ้อนวอนของคนเป็นพ่อทำให้วีรยาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับกำลังแบกหินไว้บนบ่า กำหนดการ ‘แต่งงาน’ คือสองเดือนข้างหน้าที่จะถึงนี้
ความจริงเธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ยังไงก็รอด แต่ต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่เพราะการเงินที่บ้านของเธอกำลังทรุดหนัก ต้องมีรายได้เข้ามาช่วยกะทันหัน นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนี้ได้เลย
ไม่คิดว่าการเงินของบ้านจะทรุดหนักถึงขั้นกู้หนี้ยืมสิน ทุกครั้งที่พ่อกับแม่บังคับให้เธอไปดูตัวจับคู่ก็นึกว่าต้องการผูกธุรกิจกันทั่วไป โดยการให้ลูกหลานภายในบ้านแต่งงานกัน ซึ่งแน่นอนว่าเธอหลีกเลี่ยงมันมาได้ตลอด
จนกระทั่งครั้งนี้ดนัยผู้เป็นพ่อกับศิราณีผู้เป็นแม่มีหน้าตาเคร่งเครียด และยอมบอกเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง เงินสำรองที่ครอบครัวเก็บไว้ก็พอมี แต่ใช้เลี้ยงได้แค่ปากท้อง ไม่สามารถพยุงธุรกิจของครอบครัวให้พ้นตลอดรอดฝั่ง ตอนแรกประมุขของบ้านจะทำใจปล่อยธุรกิจของตัวเองไป แต่อยู่ดี ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแลกกับการที่ให้ลูกสาวของบ้านแต่งงานกับ ‘เขา’
วีรยารู้เรื่องเพียงเท่านี้ไม่ได้สอบถามอะไรต่อ ไม่รู้ว่าว่าที่เจ้าบ่าวคือใคร จัดงานกันอย่างไร เธอไม่รู้อะไรด้วยซ้ำเพราะ ‘ไม่ได้เต็มใจแต่งงาน’ และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ข้อนี้ดีถึงไม่ยอมเข้ามาวุ่นวาย ซึ่งยังดีที่เขายังนึกเห็นใจเธอบ้าง
ครืด! ครืด!
เสียงการแจ้งเตือนแชทดังขึ้นทำให้หญิงสาวดึงสติกลับมา ข้อความดังกล่าวมาจาก ‘ภีรดา’ เพื่อนสาวที่อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นเมียเจ้าของ ‘เกาะสวรรค์’ ที่เธอกำลังอาศัยอยู่ในขณะนี้
หลังจากได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของเพื่อนก็สรุปได้ว่าชีวิตเธอกับเพื่อนไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด ภีรดาถูกซื้อตัวมาด้วยเงินหนึ่งล้านเพื่อมาเป็นเมียเจ้าของเกาะ ส่วนเธอก็ขายตัวโดยการแต่งงานเพื่อพยุงสถานการณ์เงินของบ้าน มันต่างกันตรงไหนสมกับเป็นเพื่อนกันจริง ๆ
แต่ดีหน่อยที่เพื่อนสาวเจอผู้ชายที่ดี ส่วนว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอนั้นเป็นคนเช่นไรยังไม่รู้เลย
วีรยาสะบัดไล่ความรู้สึกบางอย่างออกจากศีรษะ ก้าวลงจากเตียงพาตัวเองไปที่ห้องครัวชั้นล่าง จำได้ว่าในตู้เย็นมีเบียร์อยู่ในนั้นหลายขวด ไม่รู้ว่าเป็นของใครแต่ขอกินก่อนก็แล้วกัน
แต่จังหวะการหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ดี ๆ ตาเหลือบไปเห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนกอดอกมองเธอที่หน้าประตูห้องครัวด้วยสายตานิ่งเรียบ สองขาก้าวถอยหลังอย่างระวังตัว ในขณะที่อ้อมแขนของเธอยังมีขวดเบียร์ที่กอดเอาไว้แน่น
“คะ…คุณเป็นใคร” แม้จะกลัวแต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือไว้ก่อน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีเสียหน่อย โลกทุกวันนี้ตัดสินคนที่หน้าตาไม่ได้แล้ว
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร!”
“เพื่อนไอ้น่าน” กลัวว่าคนที่กำลังยืนหอบเบียร์อยู่นั้นจะโวยวายขึ้นมาซะก่อน จึงต้องเอ่ยปากบอก เขาแค่จะเข้ามาเอาน้ำดื่ม ไม่คิดว่าจะเจอหญิงสาวในนี้ ‘บังเอิญ’ ซะจริง
“เพื่อนคุณน่าน?” วีรยามองประเมินคนตรงหน้าพร้อมคลายท่าทีตื่นกลัวลง พลันสมองคิดว่าเป็นไปได้ที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นเพื่อนของน่านฟ้า ดูจากหน้าตาและการแต่งตัวดูมีภูมิฐานไม่ใช่น้อย และบ้านหลังนี้น่านฟ้าคงไม่ยอมให้ใครเดินเข้าออกสุ่มสี่สุ่มห้าหากไม่ใช่คนรู้จัก
น่านฟ้าเป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้ และยังเป็นเจ้าของบ้านพักรับรองที่เธออาศัยอยู่ คงไม่อนุญาตให้คนไม่ดีหรือไม่น่าไว้ใจเข้ามาในพื้นที่ตัวเองโดยที่มีเธออยู่ในบ้านหลังนี้หรอก
“น้าสากำลังทำความสะอาดห้องชั้นบน ผมก็เลยลงมาเอาน้ำ” เหมือนอีกฝ่ายกำลังจะสื่อว่าในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับเขา ยังมีรสาซึ่งเป็นคนดูแลน่านฟ้ามาตั้งแต่เด็กอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
จึงทำให้วีรยาลดอาการกลัวลงได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ “ขอโทษทีนะคะ พอดีเมื่อกี้ฉันตกใจไปหน่อย”
ปรานต์ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยืนมองหญิงสาวเงียบ ๆ ส่วนคนที่ถูกมองนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ปากยกยิ้มเบาบางให้เขาและเอ่ยขอตัว
“เชิญคุณตามสบายเลยนะคะ” วีรยาพูดขึ้นพร้อมมือหยิบแก้วขึ้นมาถือด้วยความทุลักทุเล แต่ก็ไม่วายเอ่ยปากชวนตามมารยาท “ถ้าไม่รังเกียจก็มาดื่มด้วยกันได้นะคะ”
ตอนนี้วีรยานั่งอยู่ที่ชาญหน้าบ้านพร้อมกับเบียร์สองขวดที่วางอยู่ต่อหน้า วิวทิวทัศน์ไม่ได้มีอะไรมากมายก็แค่ป่าไม้รก ๆ แต่ก็ไม่ได้ดูว่าน่ากลัว อาจเป็นเพราะว่าที่นี่ปลอดภัยกระมังเลยไม่คิดหวั่นใจ
ความคิดของวีรยาสะดุดลงเมื่อคนที่เธอเอ่ยปากชวนเมื่อสักครู่มาตามคำชวนของเธอจริง ๆ เขาทิ้งตัวนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์เหมือนเดิม
“สักแก้วไหมคะ” เธอไม่แปลกใจที่เห็นเขามานั่งตรงนี้เพราะเป็นคนเอ่ยชวนเอง แถมยังพยักพเยิดหน้าไปยังขวดเบียร์ไม่ได้ระมัดระวังตัวเลยแม้แต่น้อย
“เชิญคุณตามสบาย”
“ถ้าอยากได้สักแก้วก็บอกฉันละกัน”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ไม่มีเสียงบทสนทนาอะไรเอ่ยออกมาจากปากของทั้งคู่ มีเพียงวีรยาเท่านั้นที่บางครั้งก็เผลอมองสังเกตคนข้างกายที่กำลังนั่งกดจิ้มโทรศัพท์ด้วยความเคร่งเครียด
ผู้ชายคนนี้บอกว่าเป็นเพื่อนของน่านฟ้า ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องอายุมากกว่าเธอมากโข ใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากเจ้าของที่นี่ คิ้วเข้มดกหนา ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักสวยได้รูป ส่วนสีผิวก็ขาวเกือบจะเท่าเธอ ทั้งหมดทั้งมวลพูดได้เลยว่าเขาตรงสเปกเธอมาก แต่ถึงอย่างไรก็ดูอันตรายอยู่ดี ความดุดันแพร่กระจายออกมาจากตัวทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่นั่งทำหน้านิ่งแค่นี้ก็ดูน่ากลัวแล้ว
“เอ่อ…” วีรยาอึกอักเมื่ออยู่ดี ๆ เจ้าของร่างหนาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ ส่งสีหน้ามีคำถามประมาณว่ามองหน้าเขาทำไม “เห็นคุณบอกว่าป้าสากำลังทำความสะอาดห้อง คุณพักที่นี่เหรอคะ”
“อืม”
“อยู่ห้องข้างฉัน?” คนที่ถูกถามไม่ตอบแต่พยักหน้ารับแทน ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันได้ การอยู่บ้านกับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องดี ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่กลัวและเขายังไม่ทำอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่ทำ
“ป้าสาจะนอนที่บ้านหลังนี้จนกว่าผมจะกลับกรุงเทพฯ” เหมือนอ่านใจออกปรานต์ขยับปากบอกทันใด อาจเป็นเพราะเห็นสีหน้าหวาดหวั่นจากอีกฝ่ายถึงทำให้เขารู้ถึงความคิดของเธอ
ที่จริงก็อยากจะตำหนิถึงการกลัว เธอกลัวเขาแต่ดันนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่เปิดโล่ง ไม่พึงคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าทำแบบนี้อาจเกิดเรื่องไม่ดีได้ในภายหลัง การไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายเกินไปจะนำมาซึ่งความอันตรายต่อตัวเธอ
“คุณมาคนเดียว?” ปรานต์เปิดปากถามพลางพิจารณามองหน้าของวีรยาไปด้วย
ใบหน้าเนียนใสที่ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มกำลังแดงด้วยพิษของแอลกอฮอล์ ผมสีน้ำตาลถูกดัดเป็นลอนใหญ่ถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเปิดเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน ดวงหน้าสวยที่มาพร้อมกับดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้นบ่งบอกถึงความดื้ออย่างชัดเจน ส่วนปากกระจับสวยสีแดงระเรื่อเหมือนผลเชอร์รี่ก็ไม่ปาน
“ฉันมาคนเดียวค่ะ พอดีมาพักผ่อน”
ก่อนที่จะกลับไปเจอศึกใหญ่ ประโยคนี้วีรยาได้แต่พึมพำอยู่ในใจ
“อันตราย”
“นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายของการมาเที่ยวคนเดียว อันตรายนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร” คนที่มีความอัดอั้นตันใจหันไปยิ้มให้กับคนข้างกาย สีหน้าของเขายังคงไม่บ่งบอกอารมณ์เหมือนเดิม มีเพียงหัวคิ้วเข้มที่กระตุกเล็กน้อย เหมือนกับว่ามีคำถามกับคำพูดเมื่อครู่ของเธอ
“ฉันกำลังจะแต่งงานค่ะ ก็เลยรีบมาใช้ชีวิตสาวโสดให้คุ้ม”
“แต่งงานก็ใช้ชีวิตได้”
“ไม่รู้สิคะ” วีรยาส่ายหน้าพรืด “ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จัก ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่าจะได้ใช้ชีวิตที่ดีขนาดนั้น”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?” เป็นครั้งแรกที่คนข้างกายเผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้า เขาสงสัยกับคำพูดของเธออย่างชัดเจน แม้หน้าจะติดดุหน่อย ๆ แต่นั่นคงจะเป็นสไตล์หน้าของเขากระมัง
“แต่งงานเพราะเรื่องผลประโยชน์นิดหน่อยน่ะค่ะ”
“…”
“ไม่รู้จะเหมือนในหนังหรือเปล่าที่ต้องสำนึกบุญคุณ สามีพูดอะไรก็ต้องเชื่อฟัง ถ้าขัดคำสั่งก็คงจะถูกด่า ‘ฉันช่วยครอบครัวเธอไว้ สำนึกบุญคุณซะบ้าง’” เมื่อเห็นว่าปรานต์เป็นคนแปลกหน้าจึงระบายความในใจออกมา เธอไม่ต้องการระบายให้เพื่อนรักฟังเพราะกลัวเพื่อนจะเครียดไปด้วย
“แต่ฉันไม่กลัวหรอก ด่ามาสิแม่จะฟาดให้ คิดว่าการที่ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง”
“…”
“ฉันนี่แต่งงานแล้วก็ต้องเสียตัว ของแบบนี้มันก็วินวินด้วยกันทุกฝ่าย” เพราะมัวแต่มโนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคนข้างกายเลยสักนิด สีหน้าของเขาอึมครึมกับคำพูดของเธอแล้วในขณะนี้
“แต่ก็แอบกลัวนะ” ดวงหน้าสวยแสดงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็น “ไม่รู้ว่าว่าที่สามีของฉันจะเป็นตาแก่พุงย้วยหรือเปล่า”
ตาแก่พุงย้วย?
“พ่อบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนทางธุรกิจน่ะค่ะ เพื่อนพ่อก็ต้องแก่สิจริงไหม” วีรยาเห็นคนข้างกายเดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวทำหน้าตึง ก็นึกว่าเขาสงสัยกับคำพูดของเธอจึงอธิบายออกมาเป็นฉาก ๆ
“เพื่อนทางธุรกิจก็ไม่แก่เสมอไป”
“แก่สิคะ! ต้องแก่แน่นอน ฉันไปออกงานกับพ่อทีไรเห็นแต่คนแก่ ๆ ทั้งนั้น”
คำว่า ‘แก่’ กระแทกหน้าของปรานต์อย่างแรง เขาทอดมองคนเมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้ดื้อธรรมดา แต่ดื้อมากเลยต่างหาก
“ก็คงไม่แก่ขนาดนั้น”
“สำหรับฉันถ้าสามสิบขึ้นก็แก่แล้วค่ะ” คนที่อายุ ‘สามสิบสาม’ คิ้วกระตุกอีกครั้ง มองดูริมฝีปากกระจับสวยได้รูปขยับไปมาด้วยความมันเขี้ยว ปากนั่นสินะย้ำนักย้ำหนาถึงเรื่องของความแก่ น่าจับมาบดขยี้ซะจริง
“อุ้ย! ขอโทษนะคะลืมไป” คนลืมตัวเอ่ยขึ้นเสียงแห้ง “ถ้าให้เดาคุณคงสามสิบกว่าแล้ว”
“สามสิบสาม”
“แต่คุณก็ยังดูไม่แก่นะคะ แบบว่ายังหนุ่มยังแน่นมากเลยค่ะ” เพราะคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ทำให้วีรยาลนลานตอบ เพียงเท่านั้นก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนข้างกาย แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจซะเลย
“แรงผมยังดี”
เกิดความเงียบชั่วขณะ วีรยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกแก้วกระดกไม่ได้สนใจกับคำพูดของเขาอีก พยายามพยุงสติไว้ให้ได้มากที่สุดเพราะเดี๋ยวกลับห้องไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เธอกำลังเมา แปลกดีเหมือนกันที่วันนี้ไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นหรืออย่างไรถึงรู้สึกเช่นนั้น
หรือเป็นเพราะเธอกำลังสนใจผู้ชายข้างกายคนนี้เพียงเพราะเขาตรงสเปก…
บ้าน่า… ศีรษะเล็กส่ายไปมาแผ่วเบา แค่สนใจผู้ชายมันจะเกี่ยวกับการเมาไม่เมาได้อย่างไร มั่วซะจริง
“ลืมไปเลย ฉันชื่อวีนะคะ” เมื่อเริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยโดยการแนะนำตัว “แล้วคุณ?”
“ปรานต์...” เขาสบตาเธอนิ่ง “ผมชื่อปรานต์”