บทที่ 2 แค่ขอจูบ
“วี” เสียงเรียกเบา ๆ มาพร้อมกับความรู้สึกอุ่นที่แก้มดึงสติฉันกลับมา จากความเหม่อลอยเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโฟกัสปัจจุบันแทบจะทันที ก็ต้องได้เห็นคุณปรานต์มองฉันไม่วางตาแถมนิ้วยังลูบไล้ผิวแก้มไปมาอีกต่างหาก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ แค่คิดอะไรเพลิน ๆ” ฉันส่ายหน้าเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าฉันคิดถึงเรื่องในวันวาน กลัวเขาจี้ถามแล้วความทรงจำของอีกฝ่ายกลับมาได้ พยายามที่จะไม่โฟกัสกับการกระทำของเขาแม้ว่าใจจะเต้นแรงมากก็ตาม
เรื่องในอดีตมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรืออะไรมากมาย เพียงแค่เป็นความต้องการในส่วนลึกจิตใจของฉันเองที่ทำให้เผลอพลั้ง ‘นัวเนีย’ กับสามีสมองเสื่อมคนนี้ แต่เป็นการนัวแค่เสียดสีเท่านั้น เรายังไม่ได้สอดใส่แบบลึกซึ้ง และที่กลัวว่าคุณปรานต์จะกลับมาจำอะไรได้เพราะกลัวจะได้ทำเรื่องแบบนั้นอีกครั้ง หากเขารู้ว่าเราเคยเสียดสีกันมาก่อน เขาต้องกระโจนเข้าห้องหอแล้วทำหน้าที่สามีอย่างสมบูรณ์แบบแน่ ๆ
ฉะนั้นจะให้เขารู้ไม่ได้ ฉันต้องการเวลาทำใจในเรื่องนี้
“วีหน้าแดง” เป็นอีกครั้งที่นิ้วเรียวลูบไล้ผิวแก้มของฉันแผ่วเบา ดวงตาคมที่ไม่ค่อยสื่ออะไรออกมาให้เห็น มันมีประกายความอ่อนโยนแต่ก็แฝงความไร้เดียงสาเอาไว้ในตาคู่สวย เขากำลังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปี ส่วนฉันยี่สิบห้าที่กำลังจะล่อลวงเด็กหนุ่มในตอนนี้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นค่ะ” ส่ายหน้าพัลวัน “แค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย”
“เหรอ” คุณปรานต์ยังคงทำหน้าซื่อตาใสเหมือนเดิม “ถ้าไม่สบายก็นอนพักเถอะ”
“…”
“อาการวีไม่ค่อยดีเลื่อนวันเข้าหอออกไปก่อนก็แล้วกัน”
“…”
“เลื่อนออกไปก่อนวีคงรอได้ใช่ไหม”
แล้วใครบอกว่าฉันอยากเข้าหอล่ะตาบ้าเอ๊ย! เขาพูดเหมือนฉันกำลังนั่งรอเขาเข้าหอทุกวี่ทุกวันทั้ง ๆ ที่ฉันแทบจะแกล้งหลับตลอดทุกคืนที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็รู้ยังจะมาพูดหน้าตายใส่ร้ายกันอีก
“วีไปนอนก่อนนะคะ ง่วงแล้วค่ะ” ด้วยความที่กลัวอีกฝ่ายจะหมกมุ่นอยู่กับคำว่าเข้าหอจึงเดินแยกออกมาจากโต๊ะทำงานของเขา ยังดีที่คุณปรานต์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากนั่งมองอยู่อย่างนั้น ส่วนฉันเมื่อมาถึงเตียงแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนฝั่งตัวเองพยายามที่จะข่มตาให้หลับไม่สนใจอีกฝ่ายอีก แต่พลิกตัวครั้งแล้วครั้งเล่ากลับไม่เป็นผลอะไรเลย ความรู้สึกตอนนี้บ่งบอกได้ว่าฉันไม่ง่วงแม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ต้องหันไปมองฝั่งโต๊ะทำงานของคุณปรานต์ตามเดิม เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่กระดุกกระดิกไปไหน แต่ไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไร เพราะเขากำลังนั่งหันหลังให้ฉันอยู่ในขณะนี้
‘วี’ นั่นคือคำเรียกในแบบสนิทสนมที่อยู่ ๆ เขาก็เอ่ยพูดด้วยความหน้าตาเฉย ซึ่งฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไรกับคำเรียกนั้น เพราะตัวฉันเองก็อายุห่างจากเขาหลายปี อีกฝ่ายจะเรียกอะไรก็เรียกไป แค่อย่าขึ้นต้นด้วยคำว่าอีก็พอ
ขอเล่าก่อนว่าหลังจากที่ฉันรีบหุนหันกลับมาจากเกาะสวรรค์ ฉันกับคุณปรานต์ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย กระทั่งแม่เอ่ยบอกถึงข้อมูลของว่าที่เจ้าบ่าวว่าเป็นใครมาจากไหน และนัดเขามาทานข้าวที่บ้าน วันนั้นนั่นแหละที่ต้องได้รับรู้ความจริงว่าว่าที่เจ้าบ่าวของฉันคือผู้ชายคนนั้น…
คนที่เคยเสียดสีแต่ยังไม่ได้สอดใส่ที่เกาะสวรรค์…
ซึ่งฉันเชื่อมากว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่ ‘ความบังเอิญ’ อย่างแน่นอน มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ และเบื้องหลังก็คือเขาคนนี้ซึ่งเป็นสามีของฉันเอง
จากสติที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ พลันถูกดึงกลับมาเมื่อสายตาจับโฟกัสได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัว ฉันรีบหลับตาลงแล้วแสร้งพลิกตัวนอนหันหลังเพราะกลัวคุณปรานต์จะรู้ว่ายังไม่หลับ ใช้เวลาไม่นานไฟในห้องก็ดับลงเห็นแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง เตียงข้างกายยุบยวบบ่งบอกว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวลงนอนข้างฉันแล้ว
ฉันเกร็งตัวเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ แขนแกร่งสอดเข้ามากอดไว้หลวม ๆ ที่เอว ใบหน้าซุกเข้ากับเรือนผมคล้ายกำลังหาความอบอุ่นให้แก่ตัวเอง แต่จะว่าหาความอบอุ่นอย่างไร เพราะตอนนี้ร่างหนาเปลือยกายท่อนบนเหมือนคนไม่หนาวเลยสักนิด
“หัวใจวีเต้นแรง” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูแผ่วเบา แต่มันก็เพียงพอที่จะปลุกขนกายให้ลุกชันตอบสนองต่อคำพูดของเขาได้ “วีตื่นเต้นอะไรเหรอ”
ไม่… ฉันจะไม่พูดเด็ดขาด
“ผมรู้ว่าวียังไม่หลับ” เขากระชับอ้อมกอดแน่นเข้ากว่าเดิมพร้อมเอ่ยบอกราวกับได้ยินเสียงพึมพำในใจของฉัน เพียงเท่านั้นก็ต้องส่งเสียงเพราะกลัวคุณปรานต์จะทำมากกว่านี้
“ฉันกำลังจะหลับแล้วค่ะ”
“เสียงคุณไม่เหมือนคนง่วงนอน”
“เสียงไม่ง่วงแต่ตาง่วงค่ะ” ก็แล้วจะให้ฉันทำเสียงยืดเสียงยานหรืออย่างไร เขาถึงจะเชื่อว่าฉันกำลังจะหลับแล้ว “คุณปรานต์ทำไมต้องกอดด้วยคะ”
“กอดเมียก่อนนอนแปลกตรงไหน”
“ฉัน…อึดอัด”
“เหรอ”
“รู้แล้วก็เลิกกอดสิคะ” ที่จริงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นหรอก เพียงแค่ว่าไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ถึงแม้คุณปรานต์จะจำเรื่องในวันวานไม่ได้ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เข้ามาใกล้ชิดกันขนาดนี้เกิดเขาของขึ้นคึกขึ้นมาจะทำอย่างไร
“วีรังเกียจผมเหรอ” น้ำเสียงอ่อน ๆ เหมือนคนกำลังขาดความมั่นใจส่งผลให้ฉันขมวดคิ้วเข้าหากัน “หรือผมทำอะไรให้วีรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ผม”
“เปล่าค่ะ” รีบเอ่ยบอกเพราะกลัวคนเป็นสามีจะเข้าใจผิด “ฉันแค่ไม่คุ้นชินเท่านั้น”
“…”
“อีกอย่างฉันอยากได้เวลาทำใจ”
“ถ้าไม่คุ้นชินก็ควรทำให้ชินจริงไหม” คราวนี้มือหนาจับหน้าฉันให้ขยับแหงนเงยไปมองเขา แสงไฟสีส้มกระทบเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาที่ดวงตาสื่อความรู้สึกแปลก ๆ ออกมาให้เห็น “ถ้าเราไม่สร้างความคุ้นชิน เราก็ไม่ชินกันสักที”
“สร้างยังไงคะ” ปากดันไวกว่าสมองในนาทีนี้ เมื่อคิดได้ก็ไม่ทันเสียแล้ว คนเป็นสามียกยิ้มขึ้นเบาบางก่อนที่ใบหน้าเขาจะเคลื่อนเข้ามาใกล้
“สร้างยังไงดีล่ะ… เริ่มจากจูบก่อนดีไหม”
“ไม่ดีค่ะ” เอ่ยปฏิเสธทันใด “แบบนั้นไม่ดีแน่”
“คุณรังเกียจผม” เป็นอีกครั้งที่คุณปรานต์แสดงสีหน้าเหมือนกำลังน้อยใจออกมาให้เห็น คนอายุสามสิบสามคล้ายกำลังสื่อถึงความตัดพ้ออย่างไรอย่างนั้น
“ผมรู้ว่าวีไม่ได้เต็มใจแต่งงานกับผม แต่ไม่คิดว่าจะรังเกียจกันขนาดนี้”
แม่เจ้า… ดราม่าใหญ่โตมาก เพียงแค่ฉันปฏิเสธไม่ยอมจูบกับเขามันสามารถคิดไปไกลได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ หรือฉันคิดน้อยไปหรืออย่างไร
อีกอย่างคุณปรานต์ที่ฉันรู้จักและได้พูดคุยที่เกาะสวรรค์ต่างจากผู้ชายคนนี้สิ้นเชิง ไม่อยากเชื่อเลยว่าการประสบอุบัติเหตุนอกจากจะพรากความทรงจำของเขาไปแล้ว ยังพรากอายุของเขาไปด้วย
อย่างกับคนอายุยี่สิบ!
“ก่อนอื่นฉันต้องบอกก่อนว่าเราไม่รู้จักกัน จะให้เริ่มความสัมพันธ์เลยมันดูเร็วไปหน่อย” ค่อย ๆ บอกเขาอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้รังเกียจคุณ เพียงแค่ขอเวลาทำใจ”
“ผมก็ไม่ได้จะทำอะไร แค่ขอจูบ”
“ฉันขอเวลาทำใจก่อนจูบ”
“ผมให้หนึ่งนาที” เขาตอบกลับมาทันควันชนิดที่ว่าไม่มีหลงเหลือผู้ชายช่างน้อยใจเมื่อครู่แล้ว “อีกอย่างถ้าวีอยากคุ้นชิน เราต้องปรับตัวเข้าหากัน”
“…”
“วีคงจะไม่แต่งงานกับผมเพียงแค่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ พอตั้งตัวได้ก็เฉดหัวผมทิ้งหรอกใช่ไหม”
ดราม่าที่สองตามมา คนที่มีใบหน้าหล่อเหลาและมีอายุสามสิบสามปีมองฉันคล้ายกับกำลังกังวลใจ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้แคลงใจกับการกระทำของอีกฝ่ายนัก รู้สึกเหมือนมันมีอะไรแปลก ๆ ในตัวของเขา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมายอมแพ้ให้กับความคิดไปเองของผู้ชายข้างกาย “คุณเลิกพูดเหมือนฉันขืนใจคุณแล้วไม่รับผิดชอบได้ไหมคะ”
“ก็มันจริง วีกำลังทำตัวแบบนั้นอยู่”
“ฉันไม่ได้ทำ”
“วีทำ วีรังเกียจ…”