ณ ห้องบรรทมของจอมกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราและมเหสีจุฬารัศมี ในยามดึกเห็นเพียงแสงสว่างของจันทราและดวงดารายามค่ำคืนบนท้องฟ้าเบื้องบน
“นี่แน่ น้องหญิง เจ้ายังมิได้บอกพี่เลยว่าสิ่งที่เจ้ากังวลใจนั้น คือเรื่องอันใดรึ” สุรเสียงจอมกษัตริย์วัยกลางคน มีพระชนมายุประมาณ ๕๐ พรรษา ตรัสถามสตรีที่อยู่เบื้องหน้าอันเป็นสตรีที่รักปานดวงใจมาเป็นเวลาช้านาน
ถึงแม้นว่า พระองค์จักเป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ยามปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าเหล่าเสนา ทหารแลประชาชน พระองค์ทรงเป็นองค์เหนือหัวที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา และความน่าเกรงขาม หากแต่ยามประทับอยู่กับสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 'พระมเหสี' พระองค์กลับกลายเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งรักหญิงคนหนึ่งปานดวงใจ
มาตรแม้นองค์กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช จะทรงมีมงกุฎและยศถาบรรดาศักดิ์ที่บ่งบอกว่าหน้าที่นั้นหนักหนาสาหัสเพียงไร หากทว่า มิว่าจะทรงงานอย่างยากลำบาก เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสสักเพียงใด ก็ทรงสามารถเก็บความรู้สึกและความกังวลในพระทัยได้อย่างมิดชิด จะมีเพียงแต่รอยแย้มพระสรวลงดงาม แช่มชื่น อันจะทำให้จอมสตรีผู้อยู่ข้างพระองค์สบายพระทัย แค่เพียงได้ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์สักเพียงนิดของพระมเหสีจุฬารัศมี ก็ทำให้เรื่องอันใดที่ทรงกลัดกลุ้ม ฤๅเรื่องอันหนักหนาสาหัส ถ่วงในพระหฤทัยของพระองค์กลับลดลงอย่างประหลาด
“สิ่งที่น้องกังวลใจนั้น น้องคิดว่าอาจยากเกินกว่าที่เราจะสามารถแก้ไขได้นะเพคะท่านพี่” องค์พระมเหสีตรัสขึ้นอย่างยังกังวลในพระหทัยไม่เลิกรา
“พี่เป็นถึงกษัตริย์ จะมีสิ่งใดอีกเล่า ที่พี่จะแก้ปัญหาให้น้องมิได้ เว้นแต่เพียงดวงดาราบนฟากฟ้าไกลเท่านั้น” องค์กษัตริย์ตรัสตอบพร้อมทรงเอื้อมอ้อมพระกรที่แข็งแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดพระมเหสีจากทางเบื้องหลัง
“สิ่งที่น้องกังวลนั้น คือเรื่องลูกหญิงของเราเพคะ” มเหสีตรัส พร้อมทรงขยายความต่อ “เมืองของเรานั้นเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุขมาช้านาน แต่น้องเห็นว่า เมื่อปีกลาย ในคราที่มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า ณ วิหารเทวาลัยนั้น มีเหล่าเจ้าชายมาร่วมงานจากหลายเมืองด้วยกัน แลเมื่อลูกหญิงของเรารำถวายบูชาเทพเจ้า หม่อมฉันแลเห็นออกว่า เจ้าชายวิรังสี จากเมืองมเหศวร พึงพอใจลูกหญิงของเรามาก แลเจ้าชายองค์อื่น ๆ ก็มีทีท่าที่มิแตกต่างกัน ฉะนั้น หากเราจะเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งให้อภิเษกสมรสกับบุตรีของเรา หม่อมฉันเกรงว่าจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเมืองได้เพคะ”
“น้องหญิงเอ๋ย รู้หรือไม่ น้องคิดกังวลมากเกินเหตุ ลูกของเราเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของกุลสตรีและเป็นสตรีที่ดีงาม พี่เชื่อว่า เทพเทวะจักต้องนำพาให้ลูกหญิงของเราพบเจอผู้ที่เหมาะสมและคู่ควรเป็นแน่แท้”
องค์กษัตริย์ตรัสปลอบอย่างทะนุถนอมให้คลายกังวลในพระทัย พระมเหสีจุฬารัศมีจึงค่อยผ่อนคลายความทุกข์กังวลในพระทัยลง จักมีก็เพียงแต่แววพระเนตรที่ยังอดฉายแสงแห่งความกังวลพระทัยในเบื้องลึกออกมามิได้
“ในปีนี้ จักเป็นอีกปีหนึ่งที่ในคืนวันเพ็ญ พี่จะให้ลูกของเราร่ายรำบูชาเทพเจ้า ณ เทวาลัย หากทว่าปีนี้จักเป็นปีที่พิเศษกว่าทุก ๆ ครา ด้วยปีนี้จักเป็นปีที่ลูกหญิงของเราเจริญวัยจนครบ ๑๘ ชันษา เป็นวัยที่สมควรจักเสาะหาคู่ครองที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ พี่จักใช้การจัดงานในครั้งนี้ หลังจากบูชาเทพเจ้าแล้วเสร็จ เราจักให้มีการจัดพิธีคัดเลือกผู้ที่จะเหมาะสมกับบุตรีของเรา หลังจากได้บุรุษที่คู่ควรกับลูกหญิงของเราแล้ว พี่จักให้มีการเฉลิมฉลอง ๗ วัน ๗ คืน ที่ยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา เราจักเชื้อเชิญเมืองต่าง ๆ เข้ามาร่วมในพิธีการบูชาเทพเจ้า แลหากเจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองของลูกเราในครั้งนี้ได้ พี่จักให้ป่าวประกาศไปทั่วทุกแว่นแคว้น เห็นทีครานี้อาจจะเกิดปาฏิหาริย์ให้ลูกเราได้พบคนที่เหมาะสมและคู่ควรก็เป็นได้” องค์กษัตริย์ตรัสอย่างหมายมาด
ในท้องพระโรงรุ่งขึ้น กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช ได้มีรับสั่งให้โหรหลวงทำนายฤกษ์งามยามดีในการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า เพื่อยังผลให้องค์ทวยเทพประทานพรให้บ้านเมืองผาสุก อุดมบริบูรณ์ ไร้เภทภัยกรายกล้ำ
“ข้าพระองค์ได้ตรวจดวงเมืองแล้วในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสิบสองนี้ จะเป็นเดือนที่พระจันทร์เต็มดวงพร้อมทั้งฤกษ์ดวงเมืองดีเหมาะแก่การทำพิธีบูชาเทพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หากแต่จักทำให้เกิดผลดีกับบ้านเมืองมากที่สุดสมควรทำพิธีในเพลากลางคืน ช่วงพระจันทร์อยู่กลางฟากฟ้าจักทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ที่สุดพระเจ้าข้า” โหรหลวงกล่าว
“เอ...ท่านโหรา การทำพิธี เราจักทำพิธีในตอนกลางวันก่อนเที่ยงวันจะมิดีกว่าหรือ เหมือนดั่งเช่นทุกปี ตอนกลางคืนจะได้เฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน” ท่านอำมาตย์สิงขรกล่าว
“ท่านอำมาตย์สิงขรมิรู้ดอกหรือ คืนพระจันทร์เต็มดวงในลักษณะเช่นนี้ ๑๐๐ กว่าปีจึงจักมีสักคราหนึ่ง ปีนี้โชคดีที่เวียนมาบรรจบมาคราพวกเรายังมีชีวิต หากพลาดโอกาสในช่วงนี้ ก็จักมิได้ประสบฤกษ์ดีเช่นนี้อีกแล้ว” โหรากล่าว
“เอาละ ที่ผ่านมาเวลามีงานอันใดที่สำคัญ ท่านโหราก็เป็นผู้ตรวจดูดวงเมืองตลอด ก็มีแต่ประสบมรรคผล งานการลุล่วงไปด้วยดี มิมีปัญหาใด ๆ เช่นนั้นเราจักตกลงให้จัดงานพิธีบูชาเทพเจ้า ตามที่ท่านโหราบอก ส่วนการเตรียมงานพิธี ข้ามอบหมายให้ท่านโหรหลวงและท่านอำมาตย์ช่วยกันตระเตรียมดังเช่นเคย”
องค์กษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการเรื่องการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า พร้อมทั้งพระราชทานอธิบายต่อ
“เรายังมีงานให้พวกท่านทำอีกประการหนึ่ง ในปีนี้หลังจากงานบูชาเทพเจ้าแล้ว เราจักให้จัดพิธีเลือกคู่ครอง ของบุตรีเราด้วย”
โหราแลอำมาตย์ผินหน้ามองสบตากันพลางเลิกคิ้วฉงน เหล่าข้าราชบริพารในท้องพระโรงเองก็เอื้อนเอ่ยบทสนทนาต่อกัน แม้นจะเป็นเพียงการกระซิบ แต่เมื่อเป็นคนหมู่มากก็อึงอลได้มิน้อย
“ท่านอำมาตย์สิงขร ท่านจงไปป่าวประกาศให้ทั่วทุกแคว้น เจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองขององค์หญิงดาราลักษณ์ในครั้งนี้ ส่วนกฎเกณฑ์ในการคัดเลือกนั้น ทุกท่านที่เข้าร่วมการคัดเลือกจักได้ทราบพร้อมกันในวันและเวลาที่จะแข่งขัน” องค์กษัตริย์ทรงมีพระราชบัญชาท่ามกลางเสนาอำมาตย์ด้วยสุรเสียงดังก้อง
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
ท่านอำมาตย์น้อมศีรษะรับพระราชบัญชาพร้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิด ครานี้ช่างแปลกนัก นอกจากจะให้จัดพิธีบูชาเทพเจ้าในเพลากลางคืน แลยังต่อจากนั้น ยังจะให้มีพิธีการคัดเลือกพระราชบุตรเขยอีก
เฮ้อ งานนี้ท่าจะยุ่งยากไม่น้อย