รัตติกาลเยื้องย่างยามตะวันลับ
สุริยาดับแสงมืดหม่นทั่วเวหา
โอ้ดาราสุกสว่างกลางนภา
โอ้จันทราส่องสว่างกลางราตรี
ดั่งดวงแก้วดาราลักษณ์นางอัปสร
อรชรสง่าสมขัติยนารีศรี
ขนงเนตรเกศกรรณงามฤดี
ทั่วอินทรีย์ผ่องอร่ามต้องแสงจันทร์
อันผู้ใดได้ยลโฉมแม้นเพียงนิด
ก็จะติดตราตรึงเก็บไปฝัน
เสียงเล่าลือไปทั่วแคว้นงามผ่องพรรณ
โอ้งามนั้นงามดุจเทพธิดา
อันชายใดได้ยินเสียงแม้นเพียงน้อย
เสียงเบาค่อยดุจดนตรีกล่อมพฤกษา
งามอ่อนหวานงามรูปลักษณ์งามกิริยา
โอ้โสภางามจริงงามครบเอย.
องค์หญิงดาราลักษณ์ ตามที่ทุกผู้คนในวังต่างเรียกขานแทนพระนามว่า 'แม่หญิง' กำเนิดในชาติตระกูลวงศ์แห่งกษัตริย์ เป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวขององค์กษัตริย์ภัคขินัยมหาราชและพระมเหสีจุฬารัศมี พระธิดาพระองค์น้อยประสูติในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันที่พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางทั่วท้องนภา ด้วยเหตุฉะนี้ พระชนกนาถจึงพระราชทานพระนามว่า 'ดาราลักษณ์'
แม่หญิงดาราลักษณ์ในวัย ๑๘ ชันษา เพียบพร้อมไปด้วยพระรูปโฉมที่งดงามดั่งภาพวาดอันมิมีหญิงใดในหล้าเทียมเทียบได้ ด้วยพระวรกายที่งดงามสมส่วน พระโอษฐ์งามได้รูปดังกระจับ สีพระโอษฐ์แดงระเรื่อ พระขนงโก่งดั่งคันศร พระเนตรกลมโต มีประกายสุกสกาวอยู่เป็นนิจ
แม่หญิงได้รับการอบรมเพาะบ่มให้มีคุณสมบัติสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ทรงงานอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของกุลสตรีได้ทุกประการ แม้กระทั่งงานร้อยมาลัย งานใบตอง แต่ที่แม่หญิงทรงโปรดปรานมากที่สุด คงจะเป็นการร่ายรำ อันมีคำเล่าลือระบือไกลว่า แม่หญิงนั้น "ทรงร่ายรำอ่อนช้อยดุจนางอัปสรสวรรค์" แลมีประโยคเล่าขานกันปากต่อปากไปทั่วทุกแคว้นดินแดนใกล้ไกล มิมีผู้ใดมิเคยได้ยิน ถึงกิตติศัพท์เล่าขานพระสิริโฉมอันงดงามของแม่หญิงว่า “ใครได้ยลโฉมองค์หญิงเพียงนิด จะติดตาต้องใจไปนานแสนนาน” อันเป็นเหตุให้บุรุษน้อยใหญ่ล้วนอยากยลโฉมแม่หญิงแสนงดงามแม้นเพียงสักครั้งก็จักพึงพอใจแล้ว
หากผู้ใดเล่าจักทราบว่า ตำแหน่งองค์หญิงซึ่งจะต้องถูกฝึกให้ทรงมีพระกิริยามารยาทที่เรียบร้อย งดงามเป็นนิจนั้นจักต้องถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด แลต้องแลกมาด้วยอิสรภาพที่ผู้คนมิอาจคาดเดาได้ พระองค์มิอาจมีโอกาสได้กระทำในหลายสิ่งที่สตรีอื่นพึงกระทำได้ ด้วยเหตุนี้ ในเบื้องลึกพระทัยแห่งองค์หญิง จึงทรงปรารถนาที่จะออกจากวังในบางครั้งครา เพียงเพื่อจักได้ทอดพระเนตรสิ่งต่าง ๆ ในโลกภายนอกกำแพงพระราชวังที่มิเคยได้ทรงพบเจอภายในวัง
ณ ศาลากลางสวนดอกไม้ภายในพระราชอุทยาน ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานสะพรั่งออกดอกพร้อมกันหลากสีสันไปทั่ว มีสระน้ำไม่ใหญ่มากนักอยู่ระหว่างกลางพระราชอุทยานนั้นพร้อมทั้งสะพานไม้สีเหลืองแดง พาดผ่านทอดตัวให้สามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ แม่หญิงโปรดที่จะทรงพระดำเนินมาทอดพระเนตร หาความรื่นรมย์ในพระหฤทัยภายในอุทยานแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน หากมิเป็นเพลาอรุณรุ่งก็มักจะเป็นเพลาเย็นก่อนดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้า
ในกาลนี้ ขณะที่แม่หญิง ทรงพระดำเนินอยู่บนสะพานไม้กลางสระน้ำนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล
"แม่หญิงเพคะ ดอกไม้มาแล้วเพคะ" จันทร์ หญิงสาววัย ๑๘ ปี เอ่ยขึ้นพร้อมในมือถือตะกร้าใส่ดอกไม้ที่เก็บมาจากพระราชอุทยานไว้เต็ม
"ไหน ช่างสวยจริงเจียว งดงามนัก แต่ตามจริงแล้ว เราชอบดอกไม้ตอนที่ผลิบานอยู่บนต้นมากกว่า ดูมีชีวิตชีวายามต้องลม หรือเวลาที่มีหมู่มวลแมลงมาบินตอม" แม่หญิงหันพระพักตร์ พลางยื่นพระหัตถ์ไปรับดอกไม้ในมือมาทรงถือไว้ "ดูทีรึ ดอกไม้งามขนาดนี้ หากเราร้อยเป็นพวงมาลัยถวายบูชาเทพ ในเทวาลัย คงจะดีไม่น้อย ว่าไหมจ๊ะจันทร์"
องค์หญิงน้อยทรงเอ่ยพลางชื่นชมดอกไม้ พร้อมแย้มพระสรวลอย่างยินดี
จันทร์นั้นเป็นบุตรสาวของแม่นมแย้ม ที่คอยดูแลเลี้ยงดูองค์หญิงซึ่งเติบโตมาพร้อม ๆ กัน จันทร์เองจะถูกฝึกให้เป็นนางกำนัลคอยดูแลองค์หญิงมาตั้งแต่เล็ก ๆ จึงรักใคร่กันเสมอเพื่อน พี่น้อง เพียงอยู่ในสถานะนาย-บ่าวเท่านั้น
"การไปถวายพวงมาลัยบูชาเทพเจ้า ก็ดีอยู่หรอกนะเพคะ เพียงแต่เสด็จพ่อของพระองค์จะทรงอนุญาตหรือเพคะ ด้วยเทวาลัยนั้นอยู่นอกวัง การเสด็จออกนอกวังนั้นอาจก่อให้เกิดภยันตรายต่อองค์หญิงก็เป็นได้นะเพคะ" จันทร์เอ่ยเตือน
"มิเป็นไรดอก" องค์หญิงน้อยตรงหน้าตรัสขึ้น "อีกสักครู่ เราจะไปทูลเสด็จพ่อเอง พระองค์พระทัยดีต่อเราเสมอมา เราคาดว่าท่านคงจะทรงอนุญาตอยู่แล้ว มิมีปัญหาดอกเจ้า" องค์หญิงแย้มพระสรวลอย่างยินดีแลมีความหวัง
ภายในศาลากลางน้ำในยามเย็น กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กำลังประทับนั่งสดับเสียงดนตรีบรรเลง ขับกล่อมทำนองเสนาะโสต พร้อมพระมเหสีซึ่งประทับนั่ง พระหัตถ์ทรงร้อยพวงมาลัยดอกมะลิสำหรับเอาไว้บูชาพระอยู่ข้างกาย
"น้องหญิง น้องว่าจะมีอันใดทำให้เรามีความสุขเยี่ยงนี้อีกเล่า" องค์กษัตริย์ตรัสขึ้น
"น้องมิรู้ดอกเพคะ น้องว่าตราบใดที่บ้านเมืองมิมีปัญหาใด ๆ หรือประชาชนมิเดือดร้อน น้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความสุขสงบดีเพคะ" แม่หญิงวัยกลางคนที่เป็นเอกสตรีของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราช ทรงมีพระกิริยามารยาทอันอ่อนหวานงดงาม หากแต่ทรงสง่างามสมศักดิ์พระมเหสีแห่งองค์กษัตริย์ ตรัสตอบอย่างอ่อนหวาน นิ่มนวล
"น้องว่าวันนี้ ลูกหญิงของเราจักมาหาเราหรือไม่" องค์กษัตริย์ตรัสพร้อมแย้มพระสรวลอย่างเห็นขัน
"น้องว่าเห็นจะมาเพคะเสด็จพี่ พรุ่งนี้เป็นวันพระ ถ้าน้องเดามิผิด ลูกหญิงจะต้องหาเหตุไปสักการบูชาเทพที่เทวาลัยนอกวัง เพื่อหาหนทางหนีเที่ยวเป็นแน่เพคะ" พระมเหสีตรัสตอบพร้อมแย้มพระสรวลเพียงนิด อย่างรู้เท่าทันในพระธิดา
"ดูนั่นสิ น้องหญิง เจ้าพูดยังมิทันขาดคำ ลูกหญิงของเรากำลังเดินมาโน่นแล้ว" องค์กษัตริย์ตรัสขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ลูกกราบเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ" สาวน้อยก้มพระวรกายกราบลงอย่างเรียบร้อย นิ่มนวล พร้อมรอยแย้มพระสรวลน่าเอ็นดู พลางเอ่ยเอื้อนพระวาจาอ่อนหวานออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ทรงร้อยพวงมาลัยงามจริง งามเหมือนองค์เสด็จแม่เจียวเพคะ"
"นี่อย่าทำมาเป็นปากหวาน ประจบหน่อยเลย มีอะไรจะขออีกล่ะลูก ถึงได้มาอ้อนแม่ขนาดนี้" พระมารดาตรัสตอบอย่างรู้ทัน
"พุทโธ่ เสด็จแม่เพคะ มิมีสิ่งใดที่เสด็จแม่จะมิรู้เท่าทันลูกดอกหรือเพคะ” องค์หญิงตรัส พลางแย้มสรวลประจบ พร้อมกับแนบพระเศียรซบพระเพลาของพระมารดา “คือ...พรุ่งนี้เป็นวันพระ ลูกแค่จะทูลขอพระราชทานพระเมตตา ทรงอนุญาตให้ลูกออกไปสักการบูชาเทพ ณ เทวาลัยนอกวังนะเพคะ เสด็จพ่อเสด็จแม่ ทรงอนุญาตนะเพคะ"
สาวน้อยเอื้อนเอ่ยพระวาจาพลางออดอ้อนอย่างอ่อนหวาน
"ลูกรัก เจ้าโตเป็นสาวแล้วนะ การที่เจ้าจะออกไปข้างนอกบ่อย ๆ นั้น มันมิดี มิเหมาะสมดอกหนาลูก" ผู้เป็นพระบิดาตรัสออกมาด้วยความเป็นห่วงบุตรีคนเดียว
"ลูกตระหนักดีเพคะเสด็จพ่อ แต่ลูกสัญญาว่าลูกจะไม่ไปเถลไถลที่ไหนเป็นแน่ ตรงไปเทวาลัยแห่งเดียว จะมิแวะเที่ยวนอกทางเป็นอันขาดเพคะ นะเพคะเสด็จพ่อ ทรงอนุญาตเถิดนะเพคะ" ผู้เป็นลูกออดอ้อนอีกคราพร้อมกับซบพระเศียรไปที่พระเพลาของพระมารดาอีกวาระหนึ่ง
“น้องหญิง เราจักทำอย่างไรดีกันเล่า ควรจะอนุญาตหรือมิควร” พระบิดาตรัสพลางหันไปแย้มสรวล พระเนตรสบกันกับพระมารดาอย่างรู้กัน
“นั่นซีเพคะเสด็จพี่ เราควรจะอนุญาตดีหรือไม่เพคะ” เสด็จแม่ขององค์หญิงตรัสตอบพร้อมรอยแย้มสรวล
“โถ เสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ ทรงประทานอนุญาตเถิดนะเพคะ ลูกขอไปเพียงประเดี๋ยวเดียวเอง แล้วลูกจะรีบกลับเลยนะเพคะ เสด็จแม่จะทรงรับสั่งให้ลูกทำอันใดลูกก็ยอม” พระธิดาทรงออดอ้อนอย่างขอให้เห็นพระทัย
“จริงรึ ที่ลูกบอกว่าจะให้ทำอันใดก็ยอมน่ะ จริงหรือไม่” ผู้เป็นพระมารดาตรัสถามย้ำ
“เพคะ เพียงแต่ว่าอย่ายากนักเล่าเพคะ” องค์หญิงทรงรีบตอบ
"...ก็ได้ แต่จงจำไว้ว่า เจ้าอย่าได้เถลไถลไปที่อื่นใด มิเช่นนั้นแล้ว เจ้าจักมิได้รับอนุญาตให้ออกไปภายนอกได้อีก" องค์กษัตริย์ตรัสอย่างเคร่งขรึมพลางแย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดู
บุตรีเพียงองค์เดียวที่พระองค์และพระมเหสีเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมนั้น ได้เติบโตเป็นสาว งดงามสดใสดั่งดอกไม้แรกแย้ม เห็นควรที่พระองค์จะเก็บรักษา ทะนุถนอมดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ไว้เป็นอย่างดี มิให้มีเหลือบริ้นไร หรือแมลงต่าง ๆ มากัดกินให้มีมลทิน แลควรพิทักษ์ปกป้องเป็นอย่างดี เพื่อมิให้ผู้ใดหน้าไหนอาจหาญมาเด็ดดึงไปเสียจากอ้อมพระอุระ