บทที่ 1 ปฐมบท

1053 Words
เปลวเพลิงลุกโหมราวกัดกินเชื้อไปไม่สิ้นสุด จากอาคารหลังหนึ่งลามเลียไปอีกหลังอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คนภายในเมืองแห่งนี้ ผู้ใดพอมีสติสัมปชัญญะก็หอบลูกจูงหลานออกจากบ้านเรือน วิ่งหนีความพิโรธของอัคคี ส่งให้เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่ว "ฆ่าให้หมดทุกคน มิให้หลงเหลือแม้แต่ชีวิตเดียว" เสียงมีอำนาจแต่แฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมสั่งขึ้น ดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ สิ้นคำสั่งประกาศิต ความโกลาหลพลันบังเกิด เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดหวั่นจากเด็กและสตรีระงมไปทั่วเมือง ชายชาตรีที่หาญคว้าอาวุธเข้าต่อกรถูกสังหารลงคนแล้วคนเล่า แลราวกับคำสั่งนั้นเป็นเจ้าชีวิต เหล่าผู้เข่นฆ่าต่างไม่รามือจนกระทั่งหมดสิ้นชีวิตสุดท้ายของฝ่ายตรงข้าม บัดนี้ ผืนดินที่เคยสงบสุขกลับถูกอาบทาด้วยธาราโลหิตแดงฉานเสียแล้ว "เผาให้เกลี้ยงอย่าให้เหลือไว้เป็นเสนียดแผ่นดิน" ชั่วพริบตาเดียว เมืองแห่งนั้น...พลันล่มสลาย มีเพียงซากศพที่เกลื่อนกลาดตามท้องถนน ร่องรอยของซากปรักหักพัง กลิ่นควันเผาไหม้แลกลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้ง ราวกับเป็นการเซ่นสังเวยแด่จันทราสีเลือดในราตรีกาลนี้ มิมีผู้ใดรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ถึงจะล่วงรู้ก็มิทันที่ดาบจะมาถึงคอ มันมิใช่การฆ่ายกครัว แต่นี่คือเหตุการณ์ 'ฆ่ายกเมือง เผายกกรุง!!!' มิหลงเหลือไว้แม้แต่ทารกแรกเกิด แลคนชรา มิมีผู้ใดจะคิดว่าเพียงชั่วข้ามคืน เมืองกสิวนา สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองงดงามดุจดั่งสรวงสวรรค์ จักหลงเหลือเพียงซากปรักหักพังเฉกเช่นนี้ เสียงเพลงบรรเลงที่เคยขับกล่อมทำให้สถานที่แห่งนี้น่าหลงใหล แปรเปลี่ยนเป็นเสียงลั่นครืนของบ้านเมืองที่พังทลายลงด้วยเปลวเพลิงโหม ทิพยวิมานในกาลก่อนกลับกลายเป็นเพียงสุสานอันเงียบงัน ไม่มีถ้อยคำอาลัยรัก ไร้ซึ่งพิธีการตามประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน มีเพียงซากศพที่แปรสภาพเป็นอาหารของแร้งกาที่กำลังจิกทึ้งอย่างหิวโหย กาลเวลาผันผ่าน เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงของนครกสิวนา กลายเป็นนิทาน หรือเรื่องเขย่าขวัญ ในนาม 'นครแห่งความตาย' จากปากสู่ปาก ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า ทว่ากลับมิมีผู้ใดล่วงรู้ต้นเหตุแห่งโศกนาฏกรรมครานั้น นานวันจึงเป็นเพียงนิยายปรัมปราที่ถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาไปเสียเช่นนั้น ล่วงเลยมาราว ๗๐๐ ปี นครแห่งนั้นกลายเป็นเพียงโบราณสถาน ทว่าเป็นโบราณสถานที่มิมีผู้ใดกล้าเข้าไปแม้แต่จะเฉียดใกล้นัก นิยายปรัมปราที่เหล่าผู้คนไม่เชื่อถือต่างหัวร่อขบขัน ชี้ชวนให้พิสูจน์ตำนานที่ไร้แก่นสารที่มาที่ไปในสายตากลับกลายเป็นเรื่องเขย่าขวัญอีกครั้งเมื่อ...มีผู้ลองดีเข้าไปพิสูจน์หรืออาจหมายตาข้าวของล้ำค่าจากสถานที่เก่าแก่แห่งนั้น ชายผู้นั้นมีอาการคล้ายวิกลจริต ดวงตาเบิกโพลง กายสั่นระริก เหลียวหน้าแลหลังขณะหลุดคำพูดผ่านริมฝีปากอันสั่นเทา จับใจความได้เพียงว่า... "มีบางสิ่ง บางอย่างยังคงรอ รอคอย อยู่ที่นั่น...รอจนกว่าจะพบเจอสิ่งที่ปรารถนา...ในคืน...พระจันทร์สีเลือด...! เหมือนเช่นคืนนั้น!" สิ้นคำบอกเล่าด้วยเสียงอันดังจากชายชราที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ เหล่าเด็ก ๆ ที่มานั่งฟังการเล่านิทานพลันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ไหนจะกองไฟสีแปลกที่ลุกพรึ่บอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป แล้วหายวับไปกับตายิ่งสร้างความพิศวงงงงวยให้เด็กชาย-หญิง "นี่ไม่ใช่แค่นิทาน ตำนานดอกไอ้หนู อีหนูทั้งหลาย เพราะมันคือ...เรื่องจริง!! แฮ่!!" ตาเฒ่าตบท้ายด้วยเสียงตะโกนหลอก ทำเอาเด็ก ๆ กรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง “มันจริง ๆ หรือพ่อเฒ่า” เด็กชายร้องถามขึ้น “เรื่องจริงสิวะ ข้าจะโกหกพวกเอ็งทำไม” พ่อเฒ่ามิรงค์ตอบด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แล้วมือก็คว้าจานมา แล้วก็เดินไปหาเด็ก ๆ “เอาล่ะถึงเวลาเก็บอัฐแล้ว จงให้มาเสียดี ๆ นี่ข้าไม่ได้เล่านิทานฟรี ๆ นะเว้ย” ตาเฒ่าบอกพร้อมกับเดินเรี่ยไรเงินไปทางเด็กและผู้ใหญ่ที่ล้อมวงฟังนิทานของแกจนจบ “โห่” เสียงโห่ร้องดังขึ้นมากมาย “โถ่ ตาเฒ่าขี้โม้ นี่แต่งเรื่องขึ้นมาหลอกเด็กชัด ๆ” เสียงชาวบ้านที่ยืนฟังรอบนอกโวยวายขึ้นพร้อมกับเดินหนีไปทำให้ชาวบ้านเดินตามออกมาขณะที่เด็กเล็ก ๆ โวยวาย “นิทานอะไรของตาเฒ่า มีเก็บอัฐด้วย อ้าว เอานี่ไปละกัน ข้าให้” เด็กชายแสนซน หยิบก้อนหินก้อนใหญ่ไว้ในมือแล้วนำไปวางลงในจานของพ่อเฒ่าพร้อมกับหัวเราะแล้วก็เดินออกไป ทำให้เด็ก ๆ ต่างนำก้อนหิน ก้อนเล็กก้อนน้อยไปใส่บ้างอย่างสนุกสนานก่อนจะรีบวิ่งหนีไป ตาเฒ่ามิรงค์กัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโห แต่ก็ทำอะไรไอ้เจ้าเด็กพวกนั้นไม่ได้ ได้แต่โวยวายตามหลัง “ไอ้เจ้าเด็กพวกนี้นี่ พ่อแม่ไม่รู้จักสั่งสอน อะไรวะเนี่ย มีแต่ก้อนหิน อัฐสักนิดก็ยังไม่มี จะใจดีให้อัฐเป็นค่าข้าวสักหน่อยก็ไม่ได้ คนพวกนี้มันใจร้ายใจดำกันเสียจริง ๆ ไอ้เราก็อุตส่าห์เล่านิทานให้ฟังตั้งนาน เปลืองน้ำลายเสียฉิบ” ภาพของพ่อเฒ่ามิรงค์ในสายตาของเด็ก ๆ และชาวบ้านที่รู้จัก เป็นเพียงชายชราที่ชอบเล่านิทาน ได้อัฐเพียงเล็กน้อยจากผู้ใจดีบ้างในบางครั้ง ส่วนเรื่องที่เล่า ก็เรื่องจริงบ้าง เรื่องแต่งบ้างปะปนกันไป ทว่าดูท่าแล้วจะเรื่องแต่งโกหกเล่านิทานให้ดูสนุกเสียมากกว่า จึงทำให้เรื่องที่เล่าจากชายชราส่วนใหญ่ผู้คนต่างฟังเพื่อความสนุกครึกครื้น มากกว่าจะเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD