อยากเรียนต่อเหรอ

2010 Words
มอเตอร์ไซค์จอดหน้าประตูบ้านในเวลาเกือบๆ สามทุ่ม โอ๊ตชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ซึ่งประจำที่ป้อมหน้าบ้านรีบออกมาดูและเปิดประตูให้ทั้งคู่ แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเจตน์นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เด็กสาวเข้ามา ขาไปเขาเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเจตน์ที่สวนสาธารณะ วันนี้เจตน์ไม่ได้เริ่มวิ่งออกจากบ้านเพราะตอนออกไปก็มืดแล้ว “คุณเจตน์ให้หนูไปส่งที่หน้าบ้านเลยไหมคะ” เด็กสาวถามขึ้นเมื่อกำลังขี่รถผ่านโรงรถที่เธอจอดมอเตอร์ไซค์ประจำ ซึ่งห่างจากตัวบ้านพอสมควร ปกติเธอจะจอดมันไว้ที่นี่ซึ่งใกล้กับบ้านพักคนรับใช้ “ขี่เข้าไปเลย” ภายในกำแพงหนาทึบซึ่งโอบล้อมพื้นที่หลายไร่มีสิ่งปลูกสร้างหลักๆ สามหลังด้วยกัน ที่เธอกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ตรงไปเป็นบ้านสีขาวสไตล์ยุโรปประยุกต์หลังใหญ่ที่เก่าลงตามกาลเวลาซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย ส่วนอีกหลังจะเล็กกว่าเล็กน้อย ถูกสร้างขึ้นราวๆ ยี่สิบกว่าปีก่อน ก็ตอนที่เขาอายุหกขวบที่ครอบครัวพ่อแยกออกไป ตอนนี้บ้านหลังนั้นก็ถูกต่อเติมปรับเปลี่ยนบ้าง ต่างจากหลังนี้ที่คงสภาพเดิมมาหลายปี ไม่มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เพราะเขาอยู่คนเดียว เหมือนแพรตั้งใจจะส่งเจ้านายที่หน้าบ้านแล้วขับรถกลับไปจอดเลย แต่พอมาถึงป้าบัวแม่บ้านวัยหกสิบก็มายืนรับเจตน์ที่หน้าบ้าน “ไปยังไงมายังไงคะถึงกลับมาด้วยกัน กลับเสียดึกเลย” ด้วยความที่ดูแลเจตน์มาตั้งแต่เล็ก ป้าตัวจึงรู้สึกรักและผูกพันกับเขา เจตน์เองก็ยินดีในความห่วงใยจากแก แม่ของเจตน์เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุสิบห้า ท่านมีเขาก็ตอนอายุเยอะแล้ว แม่เขาแก่กว่าพ่ออยู่เจ็ดปีทีเดียว ตั้งแต่เขารู้ความก็ไม่รู้สึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ทั้งคู่ไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบครอบครัว ไม่มีใครเล่าอะไรให้เขาฟัง แต่โตมาก็ปะติดปะต่อได้เองว่าแม่เป็นคนใช้ในบ้าน เป็นคนสนิทของคุณย่า เขารู้สึกว่าสถานะของแม่ก็เหมือนลูกน้องที่คนอื่นอาจจะดูให้ความสำคัญ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนสนิทย่ามาตั้งแต่แรกหรือเพราะเป็นแม่ของหลานท่านกันแน่ แม่กับย่าเป็นคนเลี้ยงดูเขาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนความสัมพันธ์กับพ่อก็รู้สึกว่าท่านก็ใส่ใจเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง แต่ก็รู้ดีว่าแตกต่างจากพี่ๆ อีกสามคน ตอนที่ยังอยู่บ้านหลังเดียวกันเขาได้สิทธิ์ในการร่วมโต๊ะกับครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นมื้อเย็น ส่วนตอนเช้ากับเที่ยงเขามักจะรับประทานกับผู้เป็นแม่สองคน แต่พอย่าสร้างบ้านหลังใหม่ให้พ่อกับพี่ๆ เขากับพ่อก็เจอกันน้อยลง เพราะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน เขากับแม่อยู่กับย่าที่บ้านหลังนี้ บางวันพ่อถึงจะมากินข้าวด้วยหรือให้เขาไปหาที่บ้าน ท่านก็ยังดูแลเขาในฐานะลูก ไม่ได้ปล่อยปละละเลย กับพรพรรณและพี่ๆ ทั้งสามคน เจตน์รู้สึกว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากัน เจตน์ห่างจากพี่คนเล็กหกปีและคนโตสิบสองปี ลึกๆ พรพรรณอาจจะไม่ได้ชอบเขากับแม่ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะมามีปัญหากับลูกเลี้ยงที่ไม่ได้มีอะไรเทียบเท่าพวกเธอ ต้นตระกูลของคุณย่าเจตน์นับว่าเป็นผู้ดีมีเงินในสมัยนั้น สมบัติตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เป็นเศรษฐีที่ดินที่ราคาสูงลิ่วในปัจจุบัน ลูกหลานรุ่นหลังๆ จริงจังกับการต่อยอดธุรกิจ เริ่มจากการทำอสังหาริมทรัพย์และมีธุรกิจในเครืออีกมากมาย บริหารกันในเครือญาติที่เจตน์ก็เริ่มนับไม่ถูก เจตน์ทำงานให้ครอบครัว แม้จะไม่มีหุ้นส่วนแต่เขาก็ได้ค่าตอบที่มากกว่าเงินเดือนอยู่ดี ญาติๆ ไม่ได้ยอมรับลูกนอกสมรสแบบเขานัก เจตน์ไม่ได้มีตัวตนในแวดวงสังคมซึ่งเขาก็ไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว เจตน์เป็นหลานรักของย่าที่แค่มรดกจากท่านเขาก็อยู่ได้โดยไม่ลำบาก ส่วนผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้ทิ้งขว้างเลยสักครั้ง ตอนที่เขาทำผับกับจิราวัฒน์ก็ให้เงินมาลงทุน “สามทุ่มเองครับ” เจตน์ตอบคำถามป้าบัวด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย หญิงชราเลยมองค้อนหน่อยๆ การกลับบ้านดึกไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติสำหรับเจตน์ แต่การไปออกกำลังกายแล้วกลับมาเวลาเท่านี้ก็ถือว่าแปลกอยู่นิดหน่อย “ป้าบัวหนูขอโทษนะคะที่กลับบ้านมืด” ทางนี้ก็ทำตัวลีบสำนึกผิด “เออ ป้าก็ถามๆ กันอยู่ว่าทำไมกลับบ้านค่ำ” ป้าบัวก็บ่นๆ ด้วยความเป็นห่วงเด็กสาว เพราะปกติไม่เกินห้าโมงเย็นเจ้าตัวก็ถึงบ้านแล้ว “เจอเขาอยู่ที่สวนสาธารณะ เลยให้เขารอ” เจตน์อธิบายแค่นั้น ป้าบัวก็เข้าใจว่าเจตน์คงตั้งใจจะซ้อนมอเตอร์ไซค์เหมือนแพรกลับ ก็เลยพากันมืดค่ำกันไปอีก “คุณเจตน์จะกินข้าวเลยไหมคะ หรือจะอาบน้ำก่อน เราเองก็ไปหาข้าวกินเถอะ” ที่บ้านพักคนงานจะมีห้องครัวสำหรับให้ลูกน้องได้ทำอะไรกินกัน แต่ที่บ้านของเจ้านายทั้งสองหลังก็มีห้องครัวต่างหาก บางทีถ้าขึ้นมาทำงานบ้านก็อาจกินข้าวที่ห้องครัวในบ้านเจ้านายเลยแล้วแต่โอกาส “กินเลยก็ได้ครับ” “งั้นเดี๋ยวหนูช่วยยายจัดโต๊ะให้คุณเจตน์” พอเจตน์ให้คำตอบเด็กสาวก็รีบเสนอตัวเนื่องด้วยรู้สึกผิดที่ตัวเองกลับบ้านช้า งานในส่วนของตัวเองคนอื่นๆ ก็คงทำแทน แม้ปกติจะไม่มีอะไรหนักหนา ตอนเช้าก็มีแค่ต้มข้าวให้หมาและช่วยเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียน ตกเย็นก็ช่วยคนงานผู้ชายกวาดใบไม้ รดน้ำต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าครัวหยิบจับนู่นนี่ช่วยป้าบัวกับพี่น้ำ “เออๆ งั้นก็รีบเถอะ คุณเจตน์จะได้รีบพักผ่อน” “จัดที่ห้องครัวนั่นแหละครับป้าบัว” เขาเอ่ยตามหลังสองสาวต่างวัย ก่อนจะเดินตามช้าๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มผ่อนคลายเมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นเข้าครัวของคนบางคน ความจริงวันนี้เขาไม่ได้อยากกินข้าวเย็นเลยด้วยซ้ำ... “ป้าบัวกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิครับ” เจตน์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวในครัว ยิ่งอยู่คนเดียวเขาก็ยิ่งเรียบง่าย บางครั้งก็ชวนคนงานหรือแม่บ้านกินข้าวเป็นเพื่อน เขาเป็นกันเองกับลูกน้อง เพราะแม้จะเป็นทายาทมหาเศรษฐีแต่ครึ่งหนึ่งในตัวเขาก็มาจากคนรับใช้ เท่าที่ยังจำได้แม่ของเขาก็เลี้ยงเขาอย่างกลมกลืนกับคนอื่นๆ มันจึงยังติดตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้ “ไม่ไหวแล้วค่ะคุณเจตน์ ป้าเพิ่งกินข้าวไปเอง แต่ยังไงเดี๋ยวป้านั่งเป็นเพื่อน” “งั้นเธอก็กินข้าวกับฉันเลยสิ” เขาหันไปบอกอีกคนแทน เหมือนแพรมีท่าทีอึกอักในตอนแรก แต่ก็ลุกไปหาจานมาตักข้าวและนั่งกินเป็นเพื่อนเขา โดยมีป้าบัวนั่งด้วยอีกคน “เออ จริงสิ วันนี้หรือเปล่าที่โรงเรียนประกาศผลคนที่ได้ทุน เป็นยังไงบ้างเราได้หรือเปล่า” นั่งคุยเรื่องอื่นไปเพลินๆ ป้าบัวก็นึกขึ้นได้ หันมาถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ป้าบัวเองก็อยากให้เด็กสาวมีโอกาสเรียนต่อ เพราะเห็นว่าเป็นเด็กหัวดีและตั้งใจเรียน พอผู้เป็นป้าของเธอที่ทำงานด้วยกันมาหลายปีตายไปก็ป้าบัวนี่แหละที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกคน คำถามของป้าบัวทำเจตน์สนใจ และเป็นเขาเองที่จับร่องรอยแห่งความผิดหวังได้ไวกว่าคนถาม ก่อนที่เด็กสาวจะส่ายหน้าด้วยใบหน้าหงอยๆ บรรยากาศบนโต๊ะก็เงียบขึ้นมา ป้าบัวสงสารเด็กน้อยจับใจ แต่ก็ทำได้แค่ปลงตกในโชคชะตาที่คงให้มาแค่นี้ เจตน์เองก็สามารถปะติดปะต่อทุกอย่างได้ทันที สาเหตุที่เขาเห็นเธอนั่งเหม่อลอยบนสะพานในวันนี้ เขาพอรู้ว่าเหมือนแพรเป็นเด็กที่รักการเรียน ได้ยินคนอื่นคุยกันถึงเรื่องเรียนของเธอบ้าง เขาเองก็เคยให้รางวัลเจ้าตัวอยู่บ้างเวลาที่ได้ยินเรื่องนี้ผ่านหู “อยากเรียนต่อเหรอ” เขาถาม เพราะป้าบัวกับเหมือนแพรดูเหมือนจะไม่รู้ว่าต้องคุยอะไรกันต่อ “เอ่อ ค่ะคุณเจตน์ แต่คงไม่เรียนแล้วละค่ะ ต่อไปนี้จะตั้งใจทำงาน” เจ้าตัวพยายามพูดด้วยท่าทีร่าเริงขึ้น ไม่อยากให้บรรยากาศมันกร่อยเพราะเรื่องของตัวเอง เหมือนแพรไม่ได้มีเงินเก็บมากนักแม้เธอจะไม่ได้มีภาระอะไรมากมาย แต่เพราะการที่ไม่ได้ทำงานจริงจังเหมือนคนอื่นๆ แถมค่าเทอมเจ้านายก็ช่วยดูแล เธอจึงไม่ได้มีค่าจ้างนอกจากค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น มันจึงไม่กล้าคิดที่จะออกไปต่อสู้เรื่องเรียนและอนาคตของตัวเองแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เธอไม่เหลือญาติที่พอพึ่งพาได้ และชีวิตส่วนใหญ่ของเธอก็อยู่ที่นี่ ความหวังเดียวที่พอมองเห็นก็มีแค่เรื่องทุน “อืม แล้วมันต้องสอบเข้ายังไง” คำถามของเจตน์ไม่ใช่เพียงทำให้เหมือนแพรต้องคิดหาคำตอบ ป้าบัวเองก็นึกสงสัย ความจริงเธอสงสัยในท่าทีของเจตน์ต่อเด็กสาวอยู่บ้าง พอเธอเผลอมองเจตน์ก็มองตอบ ไม่ได้หลบ เหมือนตั้งใจจะสื่อสารตรงๆ หัวใจของหญิงชราหล่นตุบ เพราะเหมือนสิ่งที่เธอคิดไว้มันอาจจะเป็นจริง “ตอนนี้เหลือแค่ยื่นคะแนนแอดมิชชันค่ะ” ความจริงเธอก็ไม่ได้อยากตอบเลยเพราะมันเหมือนยิ่งตอกย้ำ “อืม ก็ลองยื่นดู ไม่เสียหาย” เขาตอบแล้วก็กินข้าวต่อ เหมือนแพรได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย มีแว่บหนึ่งที่รู้สึกดีใจวาบเข้ามาในอกเมื่อเจตน์พูดเหมือนจะสนับสนุนเธอ เขาถามในเรื่องที่เธอกำลังผิดหวังเสียใจซึ่งไม่ใช่นิสัยของเจตน์ แล้วยิ่งพูดเหมือนให้ความหวังอีก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าทำไมเจตน์จะต้องใจดีกับเธอขนาดนี้ พอนึกมาถึงตรงนี้หัวใจก็แฟบลง บอกตัวเองว่าไม่ควรหวังอะไรที่ไกลเกินตัว บางทีเขาแค่อาจจะชวนคุยเฉยๆ หลังจากเจ้านายขึ้นห้องไปป้าบัวกับเหมือนแพรก็ช่วยกันเก็บโต๊ะ “ยายไปนอนเลยก็ได้ เดี๋ยวหนูล้างเอง” “ยายยังไม่ง่วง ช่วยๆ กันนี่แหละจะได้เสร็จไวๆ” จริงๆ ป้าบัวจะให้เหมือนแพรล้างจานคนเดียวก็ได้ แต่ก็มีเรื่องอยากพูดคุยกัน “เออ ออย ยายว่าเอ็งลองยื่นอะไรนะ แอดๆ แบบที่คุณเจตน์ว่าก็ดีนะ ยายว่าหัวดีแบบเอ็งได้แน่ๆ” “ถ้าติดแล้วไม่ได้เรียนต่อก็เหมือนเดิม” เด็กสาวพูดเสียงอ่อย แต่ลึกๆ ก็อยากลองยื่นเล่นๆ เหมือนกัน เป็นอารมณ์ที่อยากสู้ให้ถึงที่สุด “เออ ก็ไม่เป็นไร แต่ยื่นไว้ก็ไม่เสียหาย” ตอบแบบนั้นแต่ลึกๆ แล้วคนที่เลี้ยงเจตน์มาตั้งแต่เด็กๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเหมือนแพรลอยๆ เจตน์มีเป้าหมายของเขาเสมอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD