หลังจากเดินเข้าไปในร้านที่น่าสนใจหลายร้านและวนอยู่ในตลาดทั่วไปจนเกือบครึ่งวัน สายตากลมโตก็มองเห็นป้ายร้านค้าสกุลจือ โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกล ด้านหน้าประตูแบบเปิดกว้างมีบ่าวหน้าร้านสองคนยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าพื้นที่หน้าร้านนั้นยังมีสินค้าของสตรีอย่างเช่น ผ้าผูกผมหลากหลายสีสัน กิ๊บรูปสัตว์ รูปดอกไม้ พลอยปลอมสีต่างๆ ในราคาชิ้นละห้าตำลึง ถุงผ้าใบเล็กสำหรับใส่เบี้ย ห้อยอยู่เต็มราวไม้ด้านข้าง สตรีใดเดินผ่านเป็นต้องหยิบดู น้อยคนนักที่เดินผ่านไปโดยที่ไม่แวะเข้าร้าน และแน่นอนว่าเฉินลี่หลินก็เป็นหนึ่งในสตรีส่วนมากพวกนั้น
“กิ๊บติดผมพวกนี้ มาจากที่ใดรึ”
บ่าวชายทำหน้าแปลกใจ “กิ๊บ คือสิ่งใด”
‘เอ่อ’ เฉินลี่หลินหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกถามกลับ ในคำพูดแบบโบราณของนางยังคงมีคำร่วมสมัยติดมาด้วย หากเพราะสมองแปลไม่ทัน คงมิเกิดเรื่องเช่นนี้ “ที่ติดผมน่ะ” นางหยิบกิ๊บแบบหนีบรูปนก สีสันงดงามส่งให้บ่าวผู้นั้นดู “ได้มาจากที่ใดรึ” เห็นได้ชัดว่าตัวของกิ๊บคือโลหะ รูปแบบของสัตว์และดอกไม้ทำมาจากวัสดุเหลือใช้ต่างๆ นำมาประกอบกันเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า สำคัญที่สุดคงจะเป็นกาวน้ำชั้นดีที่ติดอยู่ ดูทนทานมาก
“สินค้าพวกนี้มาจากต่างแคว้นขอรับ เห็นว่าที่แคว้นนั้นมีสำนักศึกษาสอนผู้ยากไร้ให้ได้มีงานทำ ขายดีมากนะขอรับคุณหนู” ผายมือไปทางสินค้าทุกชิ้นด้านหน้า “ร้านของเรามีทุกอย่างให้เลือกสรรขอรับ หากมิชอบของพวกนี้ ด้านในยังมีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในโรงครัว โรงนา สำนักศึกษา อุปกรณ์เสริมความงาม ไม่เว้นแม้แต่ของใช้ในที่ลับขอรับ” ^^
‘ของใช้ในที่ลับ...อืม จะเป็นอะไรนะ’ ความสงสัยนั้นมาพร้อมกับความคิดที่จะจับคนร้าย หากนางอยากหมกมุ่นในเรื่องอื่นได้ นางต้องจัดการเรื่องด่วนที่เจ้าของร่างนี้ร้องขอให้จบเสียก่อน “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปดูกระดาษสีขาวสำหรับวาดภาพสักหน่อย”
“เชิญขอรับ ด้านในร้านของเรามีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่านรอแนะนำสินค้าอยู่ขอรับ”
“ดีเยี่ยมเลยเจ้าค่ะ” เฉินลี่หลินเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับหยิบทุกอย่างที่คล้ายว่าจะมีเหมือนในยุคเดิมของนางขึ้นมาดู ดวงตากลมวาววาบด้วยความตื่นเต้น เว้นเสียแต่ว่ามันดูล้าสมัยกว่าเท่านั้น เมื่อเดินลึกเข้าไปด้านในตามคำแนะนำของคนงานในร้าน นางก็พบเข้ากับแหล่งสมบัติ? “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” ชั้นวางกระดาษหลายขนาดและหลากสีสัน ไม่พ้นที่เจ้าตัวต้องหยุดเลือกมันเสียหลายแผ่นก่อนจะส่งให้เสี่ยวจวงนำไปถือไว้ ไหนจะอุปกรณ์วาดภาพอย่างเช่นที่ตั้งกระดาษวาดรูปบนพื้นเรียงรายละลานตาก็มีปรากฏให้เห็น มือบางลูบคลำที่ตั้งไม้สีน้ำตาลเข้มอย่างชอบใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองเดินมา! สุดท้ายจึงตัดใจละทิ้งมันแล้วหมายมาดว่านางจะต้องกลับมาเอาแน่ๆ ก่อนจะหันหลังมองหาอุปกรณ์อื่นอย่างเช่นดินสอ “นั่นไงเล่า” สองขาก้าวเพียงสองก้าวก็ถึงจุดหมาย นางอยากจะร้อง ‘ว๊าว’ ให้กับดินสอหลายชนิด พู่กันหลายด้าม พอๆ กับสีไม้ สีน้ำ สีชอล์ก ฯลฯ วางเรียงรายล่อให้นางหยิบมันไว้โดยไม่สนราคา “แน่นอนว่าข้าจะเอาไปเยอะๆ เลย”
ภาพการหยิบสารพัดแท่งสีไม้ใส่ลงไปในตะกร้าทำเอาสาวใช้ถึงกับเหงื่อตก ‘ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูจะหมดสติไป ในจวนสกุลโหยว สาวใช้เช่นนางจำไม่เคยได้ว่าคุณหนูชอบวาดภาพ’ สำคัญคือวาดเป็นหรือไม่ต่างหาก!
เมื่อเดินออกมาจากร้านสารพัดของใช้พร้อมกับข้าวของมากมายจนเต็มสองมือแล้ว เฉินลี่หลินและสาวใช้ของนางจึงช่วยกันมองหาร้านดีๆ ข้างทางเพื่อทานอาหาร แสงแดดในยามอู่ (12.00) แรงกล้าจนต้องหรี่ตามอง สองข้างทางจากจุดที่ยืนอยู่ มีร้านมากมายก็จริง แต่ยังมิใช่ร้านที่สามารถนั่งอย่างสบายๆ ได้ “ยามนี้ข้าร้อนมาก เจ้าบอกว่ามีโรงเตี๊ยมด้วยมิใช่รึ นำทางไปสิ ข้าอยากจะนั่งให้สบายๆ สักหน่อย”
เสี่ยวจวงไม่รอช้า นางเดินหิ้วของมากมายนำทางคุณหนูที่มีสภาพไม่ต่างกันเดินไปทางซ้ายอีกห้าร้าน จนถึงหัวมุมของถนน ‘โรงเตี๊ยมจูอิ่ง’ สภาพหน้าร้านเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บ้างมองมาทางคุณหนูของนาง บ้างซุบซิบนินทาโดยจับใจความไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น คุณหนูของนางก็หาได้สนใจผู้อื่นไม่
“แออัดขนาดนี้ จะบอกว่านี่คือร้านที่จะทำให้ข้านั่งสบายๆ ได้รึ” เฉินลี่หลินถอนหายใจออกไปทั้งอย่างนั้น “ถ้ามันจะทำให้หายใจไม่โล่งได้ขนาดนี้” ชี้ไปยังร้านบะหมี่เยื้องไปทางซ้ายมือที่มีผู้คนประปราย หนำซ้ำยังเป็นที่โล่งใต้ต้นไม้อย่างที่นางชอบ “ไปร้านนั้นเถิด” ไม่รอฟังสาวใช้ นางเดินนำไปยังจุดหมายทันทีพร้อมกับนั่งลงจับจองพื้นที่หนึ่งโต๊ะ ข้าวของพะรุงพะรังวางกองลงไปบนพื้น เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้าจนต้องยกชายเสื้อขึ้นมาซับ จากการสำรวจร้านบะหมี่ตรงนี้กับพื้นที่โล่งเป็นส่วนใหญ่ ดูคล้ายว่าคงเป็นจุดสิ้นสุดของตลาด ถัดไปไม่ไกลเป็นพื้นที่จอดรถม้าได้มากกว่ายี่สิบคัน ‘หากมีรถม้าให้เช่ากลับจวนได้ก็คงจะดี’ แต่แล้วความหิวและกลิ่นน้ำซุปก็ดึงสติของนางให้กลับมาจดจ่อกับร้านที่นางนั่งอยู่ “ท่านตาเจ้าคะ ขอบะหมี่สองชามเจ้าค่ะ” ความหอมของน้ำซุปเรียกน้ำย่อยของนาง จนต้องเผลอสั่งอีกรอบ “เอาชามใหญ่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ” ท่านตาเจ้าของร้านยิ้มตอบรับ ^^ พร้อมกับลงมือลวกเส้นบะหมี่ร้อนๆ ใช้เวลาเพียงหนึ่งจิบชาบะหมี่ชามใหญ่สองชามก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะของสตรีรุ่นเยาว์ “ทานให้หมดเล่า”
^^ “เจ้าค่ะ เสี่ยวจวงมานั่งกับข้าเร็ว” เฉินลี่หลินกวักมือเรียกสาวใช้ที่ยืนทำหน้าเหรอหรารออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถูกเรียก อีกฝ่ายจึงเดินมานั่งยังเก้าอี้ทางฝั่งตรงกันข้าม พอดีกับนางก้มมองบะหมี่สีเหลืองนวลในน้ำซุปสีน้ำตาลเข้มข้น เห็ดหอมสามดอกใหญ่เรียกรอยยิ้มให้นางไม่ต่างกับหมูย่างชิ้นโตอีกสามชิ้น เกี๊ยวห่อสีเหลืองลอยอยู่ในนั้นราวกับกำลังรอให้ถูกคีบและที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผักกวางตุ้งด้านข้าง “แบบดั้งเดิมเลยสินะ ถ้ารสชาติไม่เลอเลิศ ข้าก็มิรู้จะว่าอย่างไรแล้ว ชิมเลยเถอะเสี่ยวจวง”
“...” เสี่ยวจวงลอบมองท่าทางระริกระรี้ของคุณหนูด้วยความไม่สบายใจนัก
ซูด!! “อ่า...น้ำซุปเข้มข้นยิ่งกว่าอาหารในรั้วในวัง เกิดมาชาตินี้ข้านอนตายตาหลับแล้ว” หลับตา ทำท่าเคลิ้มฝัน ใจนึกไปถึงสหายคนสนิทและคุณยายในภพเดิม “อยากให้ทุกคนได้มาลองทานด้วยกันจริงๆ” J
“...” เสี่ยวจวงทำตาโต ตกตะลึง จะกล่าวว่าอาการของคุณหนูน่าเป็นห่วงเพราะมันไม่เหมือนเดิมรึ…ก็มิใช่ เหนือสิ่งอื่นใดคือท่าทางมีความสุขกับบะหมี่เช่นนี้มากกว่าที่นางอยากเห็นมานานมาก ‘เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าเมื่อก่อน ที่คุณหนูเอาแต่นั่งวางแผนเข้าหาราชเลขาโหยวซานซุนทุกวัน’
เฉินลี่หลินทานบะหมี่ไป นั่งคิดถึงชีวิตของนางไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เสี่ยวจวง”
(สะดุ้ง) “อะ เจ้าคะ”
“เดี๋ยวทานบะหมี่เสร็จแล้ว เจ้าไปจ้างรถม้ามาคันหนึ่งนะ ข้าไม่อยากหิ้วของพวกนี้และเดินกลับจวนแล้ว ข้าเหนื่อย” เมื่อคิดไปถึงระยะทางจากตรงนี้จนถึงจวน ก็ได้แต่ตักบะหมี่เข้าปากไปเรื่อยๆ ‘ขามานั้น อากาศดีเดินสบาย แต่ขากลับล่ะ ร้อนจนเกือบจะเดินไม่ไหวกันเลยเชียว’
“ได้เจ้าค่ะ”