ก่อกๆ ก่อกๆ “คุณหนูเจ้าขา ตื่นรึยังเจ้าคะ”
ขวับ!!ผู้ถูกดึงมาเข้าร่างเฉินลี่หลินและจำต้องยอมรับชื่อนี้มองตามเสียงเรียกขานตรงหน้าห้อง ภาพจำของสาวใช้ที่นางจำเสียงได้ฉายชัดเข้ามา หัวสมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่อไปอย่างรวดเร็วและการตอบกลับก็มิใช่ปัญหายกเว้นเสียแต่ว่า ‘นางยังมิรู้จักสาวใช้!’ “นั่นใครรึ?”
°∆° สาวใช้คนสนิทหน้าเหวอ ‘หรือคุณหนูยังตื่นไม่เต็มตา จึงถามออกมาเช่นนี้?’ “ข้า เสี่ยวจวงอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“อ่อ เจ้านั่นเอง เข้ามาสิเสี่ยวจวง”
ผู้ถูกอนุญาตผลักบานประตูเข้าไป คุณหนูยังคงนั่งอยู่บนเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงตามสภาพของผู้ที่กำลังตื่นนอนและเมื่อเสี่ยวจวงเห็นเช่นนั้นนางจึงบอกกับคุณหนูว่า “เดี๋ยวบ่าวไปเตรียมน้ำให้นะเจ้าคะ”
‘คำว่าเตรียมน้ำ’ นั่นคงหมายถึงจะไปหาน้ำให้อาบ เฉินลี่หลินมองตามเสี่ยวจวงที่เดินหายไปยังฉากกั้นสูง ทางด้านหลังของเตียงนอน อันที่จริงแล้วก่อนที่นางจะหลับไปและวาดหวังไว้ถึงเรื่องกลับไปยุคเดิม นางควรที่จะเดินสำรวจห้องก่อนเป็นอันดับแรก “เอาเถอะ ไว้ค่อยสำรวจทีหลังก็แล้วกัน” ลึกๆ ในใจนั้น อยากจะพบกับวิญญาณของเจ้าของร่างอีกสักครั้งมากกว่า อยากจะฟังคำยืนยันอีกสักครั้งว่านางหลงชาติภพมาอยู่ในร่างคนอื่น อยากฟังอีกครั้งว่าวิญญาณเจ้าของร่างหมดบุญไปแล้วและนางมิได้แย่งชิงร่างของใคร ในขณะที่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตจากชาติเดิมของตัวเอง
“สำรวจสิ่งใดเจ้าคะ”
เฉินลี่หลินถอนหายใจยาว ก่อนจะก้าวขาลงจากเตียงพร้อมกับสวมรองเท้า “สำรวจชีวิตใหม่ของตัวเองนั่นล่ะ”
เป็นอีกครั้งที่สาวใช้อย่างเสี่ยวจวงทำหน้าไม่เข้าใจ ‘ชีวิตใหม่ ที่หมายถึงเรื่องของเลขาโหยวซานซุนด้วยรึเปล่า’ และนั่นเป็นสิ่งที่นางหวังไว้ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
“ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังใช่หรือไม่” ถามเสร็จก็มิรอฟังคำตอบแต่กลับเดินอ้อมไปยังหลังเตียงนอน ผ่านฉากกั้นสีขาวจนพบเข้ากับห้องเล็กๆ อีกห้องหนึ่งที่มีท่อส่งน้ำอยู่ด้านใน มีพื้นที่ขับถ่ายเป็นกิจจะลักษณะ รอยยิ้มปรากฏให้กับความสะอาดสะอ้านของพื้นที่กระทัดรัด…การประปาเหมือนยุคสมัยใหม่ไม่มี แต่มีท่อไม้ไผ่เพื่อลำเลียงน้ำเข้ามา ใจอยากจะถามว่าทุกห้องในจวนสกุลเฉิน มีห้องชำระล้างเช่นนี้ทุกห้องใช่รึเปล่า ก็มิกล้าสอบถามออกไปให้มีพิรุธ “เสี่ยวจวง เจ้าเพียงแค่นำชุดคลุมมาวางไว้ก็พอ ข้าจะอาบน้ำเอง” อ่างน้ำไม่มี แต่มีถังน้ำใบใหญ่ คาดเดาจากสายตาแล้วคงมิใช่การใช้ขันตักน้ำอาบ แต่นางต้องลงไปแช่!
“เอ่อ เจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้สับสนกับคำว่าห้องน้ำ จึงคิดไปว่ามันคือห้องที่มีน้ำ...เอาไว้ชำระล้างหรือทำความสะอาด ‘มันคงเหมือนกัน เพียงแต่คุณหนูกล่าวแบบรวบรัด?’
เฉินลี่หลินคนใหม่มองตามสาวใช้ที่หยิบจับทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วจนแล้วเสร็จจึงเดินออกไปจากห้องชำระล้าง นางจึงจัดการถอดชุดสีม่วงที่มีซับใน (เอี๊ยม) อยู่อีกชั้นออกไปใส่ตะกร้า อุปกรณ์ขัดผิวกายที่เสี่ยวจวงเตรียมไว้อยู่ในชั้นวางด้านข้าง ใยบวบขัดผิววางอยู่ติดกันและนางไม่รอช้าที่จะก้าวขาลงไปในอ่าง ‘การเรียนรู้มิใช่สิ่งที่ผิด และนางจะทำมันตั้งแต่ตอนนี้!’ “เฉินลี่หลิน หากเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าจะใช้ชีวิตแทนเจ้าไปก่อน จนกว่าเจ้าจะกลับมาได้” ปัญหาคือตอนนี้นางไม่รู้อะไรเลยและตัวช่วยหลักก็คงเป็น ‘เสี่ยวจวง!’
&&&&
เมื่อเสี่ยวจวงเห็นคุณหนูสวมชุดคลุมสีขาวเดินออกมาจากห้องชำระล้างและมานั่งอยู่หน้ากระจกเงา นางจึงใช้แปรงอันใหญ่เหมาะมือ แปรงบนผมสลวยสีดำหนานุ่ม มือแปรงผมแต่หัวสมองกลับครุ่นคิด ความน่าสงสัยของคุณหนูในยามนี้มันคืออะไร สาวใช้เช่นนางก็กล่าวออกมาไม่ได้ รู้สึกแค่ว่า ‘แปลกไป ก็เท่านั้น’ และจะให้นางถามออกไปตรงๆ มันจะดีหรือ
“ข้าอยากพบท่านแม่เร็วๆ” เฉินลี่หลินลอบมองสาวใช้ผู้แปรงผมให้นางผ่านกระจกเงา ท่าทางการสะดุ้งของอีกฝ่าย คาดเดาได้ว่าสาวใช้คงคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องของนาง ‘แล้วยังไงล่ะ’ “สำรับเย็น ข้าจะไปทานกับท่าน”
เสี่ยวจวงหัวคิ้วขมวดมุ่นกับคำพูดของคุณหนู ‘มิใช่ว่าทุกเช้าและเย็น คุณหนูจะทานที่เรือนใหญ่กับจางฮูหยินอยู่แล้วหรอกรึ เหตุใดคุณหนูจึงกล่าวเช่นนี้เล่า’ “คุณหนูเจ้าขา” เริ่มชั่งใจ แต่ก็ตัดสินใจ “คุณหนูลืมไปแล้วรึเจ้าคะว่าคุณหนูกับจางฮูหยินรับสำรับเช้าและเย็นร่วมกันเสมอ นับตั้งแต่วันที่นายท่านออกไปประจำการอยู่นอกเมืองน่ะเจ้าคะ คุณหนูมีสิ่งใดอยากจะบอกกับเสี่ยวจวงไหมเจ้าคะ อย่างเช่น ยังรู้สึกปวดหัว หรือยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนสกุลโหยว”
‘เอ่อ’ ราวกับถูกตำรวจจับได้ เฉินลี่หลินแสร้งถอนหายใจแล้วสบตากับสาวใช้ผ่านกระจกเงา “เฮ้อ ช่างสังเกตสมกับที่เป็นสาวใช้คนสนิทของข้าจริงๆ เสี่ยวจวง” แกล้งชมอีกฝ่ายซึ่งนางคิดว่ามันได้ผลเมื่อเสี่ยวจวงยิ้มกว้าง และในเมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นมาราวกับชี้โพรงให้นาง เหตุใดนางจะมิกระโจนลงไปเล่า ในเมื่อข้ออ้างว่า ลืม มันช่างถูกใจนัก “ที่จริงแล้ว หลังจากที่ข้าลืมตาขึ้นมาในจวนของคนผู้นั้น ข้าก็จำสิ่งใดไม่ได้อย่างที่เจ้าว่า จำไม่ได้แม้กระทั่งบุรุษที่เป็นเจ้าของจวนที่ข้าไปหมดสติจนเกือบถูกจับหมั้นหมาย”
“อะ อะไร นะ เจ้าคะ” เสี่ยวจวงหน้าเสียไปทันทีที่ได้ยิน “ลืมไปแล้วรึ ลืมแม้กระทั่งบุรุษที่คุณหนูเฝ้าวิ่งไล่ตามเกี้ยวพาอย่างท่านราชเลขาโหยวซานซุนน่ะรึเจ้าคะ”
‘ห้ะ!’ °∆° “ข้า” ชี้ตนเอง “วิ่งเกี้ยวพาบุรุษรึ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นจวนที่ข้าไปหมดสติอยู่ก่อนหน้า ก็คือจวนของบุรุษที่ข้าเกี้ยวพาอยู่แล้ว?” :( ‘ความจริงในข้อนี้มันแย่ยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก’ มีอย่างที่ไหน มาอยู่ในร่างคนอื่นโดยมองเห็นวิญญาณเจ้าของร่างไม่พอ ยังทิ้งความน่าอายที่ไม่เข้ากับยุคสมัยไว้ให้นางอีก หากเป็นยุคปัจจุบันของนางรึ การตามจีบบุรุษมิใช่เรื่องน่าอาย เพียงแต่การจีบนั้นต้องมีชั้นเชิง มิใช่ไปนอนสลบเหมือดไม่รู้เรื่องอยู่ในบ้านคนอื่นเขา!!
เสี่ยวจวงพยักหน้าหงึกหงัก มึนงงกับท่าทางของคุณหนู “แต่ถ้าหากคุณหนูบอกว่าลืม บ่าวก็ยิ่งเบาใจเจ้าค่ะ” แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าอาการหลงๆ ลืมๆ ของคุณหนูมีสาเหตุมาจากจวนสกุลโหยวก็เถอะ แต่นางจะกล้าเรียกร้องสิ่งใดได้ในเมื่อนางเป็นแค่บ่าว คุณหนูบอกว่าไม่เอาเรื่อง ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น ขอแค่ยามนี้คุณหนูแข็งแรงสบายดี นางก็ดีใจแล้ว
“เหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า คุณชายโหยวมีสิ่งใดไม่ดีรึ” ทำหน้าไม่เข้าใจ