ผู้ถูกเรียกว่าท่านแม่ มองบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม ^^ สายตาของนางสำรวจทุกความเป็นไปของบุตรสาวที่คล้ายกับว่า ‘ดูแปลกตา?’ ใบหน้าสวยหวาน อ่อนเยาว์สมวัยแตกต่างจากที่เคยเห็น ทำให้นางต้องเอ่ยถาม “วันนี้บุตรสาวของแม่ช่างงามนัก ได้แป้งผัดหน้าและสีชาดมาใหม่รึ”
^^ จะกล่าวว่ามารดาของนางประชด ก็ว่าไม่ได้ ในเมื่อก่อนหน้านี้ที่นางเห็นตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เฉินลี่หลินคนเดิมวาดใบหน้าจัดจ้านเกินวัย ความสวยสดลดลงไปราวกับอายุยี่สิบแปดหนาวก็ไม่ปาน ท่านแม่ของนางถามเช่นนี้ก็ไม่ผิด “มิใช่เจ้าค่ะ เครื่องประทินโฉมของลูกทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่ลูกแค่อยากเปลี่ยนแปลงตนเอง ทำเพื่อตนเองและลบคำครหาที่เกิดกับลูก” ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าเศร้า “เรื่องตามติดคุณชายสกุลโหยวลูกขออภัยท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ หลังจากนี้ลูกจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ลูกสัญญา” สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือนางไม่อยากออกจากจวนแล้วพบเจอแต่คำติฉินนินทาให้ระคายหู และไม่ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นมาอย่างไร นางจะขอทิ้งมันไว้ข้างหลังโดยไม่ขอรื้อฟื้นมันอีก เว้นเสียแต่ว่านางจะออกจากร่างนี้ได้ แล้วให้เจ้าของร่างตัวจริงมาสานต่อ ‘ว่าแต่ วิญญาณของเฉินลี่หลินตัวจริงอยู่ที่ใดกันนะ วันนี้นางไม่มาหาท่านแม่ของนางรึ?’ (หันซ้าย หันขวา แม้ว่ายามนี้จะเป็นยามเย็นและมีแสงแดดอ่อนๆ)
มารดาอย่างจางหลันฮัวเผยรอยยิ้มในหน้าอย่างพึงพอใจ ‘บุตรสาวของนางคงคิดได้แล้วว่าตนเองนั้นมีค่ามากเกินกว่าจะตามติดเรียกร้องหาบุรุษ แม้มันจะเป็นเรื่องของการถูกหยามเกียรติก็ตาม’ “มิเป็นไร ขอเพียงแค่เจ้าคิดได้แม่ก็ดีใจแล้ว ว่าแต่” รั้งแขนบุตรสาวให้ลงมานั่งเก้าอี้ติดกัน “เจ้าเคยบอกแม่ว่าที่เจ้าตามติดคุณชายโหยวเป็นเพราะคุณหนูหวังท้าทายเจ้า ตลอดเวลาที่เจ้าเฝ้าดูคุณชายผู้นั้น เจ้ารักชอบเขาบ้างหรือไม่”
เฉินลี่หลินเงียบไป ในหัวประมวลเหตุการณ์ของไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หากเป็นไปตามที่ท่านแม่ว่า การที่นางไปอยู่ในจวนนั้นเพราะอยากเอาชนะ ส่วนคำถามเรื่องความรัก? ตัวนางมิได้ชมชอบบุรุษผู้นั้นแน่นอนแต่กับวิญญาณเจ้าของร่าง...จำได้ว่าแม้จะเป็นร่างวิญญาณเบาบาง แต่นางก็ได้ยินชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้น ‘ก็มิได้รัก’ “มิได้ชอบแม้เพียงนิดเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ! เพราะเช่นนี้สินะ เจ้าถึงมิสนใจถ้อยคำนินทาและพยายามเฝ้าจะเอาชนะ” จนสุดท้ายผู้คนเมืองหลวงต่างก็เล่าลือกันไปแบบปากต่อปากว่าสตรีสกุลเฉินลุ่มหลงมัวเมา เพ้อหาบุรุษสกุลโหยวจนโงหัวไม่ขึ้น
‘นั่นสินะ มันคงเป็นเช่นนั้นแน่ๆ’ “มาวันนี้ ลูกเบื่อแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างคือลูกคิดว่ามันเป็นการเสียเวลามากเกินไป ลูกมิใช่สตรีอัปลักษณ์ การหาคนรักคงมิใช่เรื่องยาก หากคุณหนูสกุลหวังอยากได้คนผู้นั้นก็แล้วแต่นางเถิด ส่วนเรื่องการท้าทายกัน...มันก็แค่เรื่องของเด็กเล่นสนุก ลูกจะไม่จำมันมาใส่ใจให้เสียสุขภาพจิตอีก”
?? จางหลันฮัวยังคงคิดไม่ทันกับคำพูดของบุตรสาว โดยรวมแล้วสรุปใจความได้ว่า ลี่หลินจะไม่วิ่งตามราชเลขาโหยวซานซุนอีกต่อไป ^^ “ได้ยินเช่นนี้ แม่ยินดียิ่งนัก ผ่านพ้นวันปักปิ่นมาสามเดือนแล้ว วันนี้เจ้าเติบโตขึ้นจนคิดได้ เช่นนั้นแม่คงต้องสอนให้เจ้าเรียนรู้การจัดการภายในจวนได้แล้วกระมัง” เลื่อนสมุดบันทึกค่าใช้จ่ายของจวนไปให้บุตรสาว ที่แต่ก่อนคอยแต่จะหลบเลี่ยง...ต่างจากวันนี้
เฉินลี่หลินรับสมุดเล่มใหญ่นั้นมาเปิดดู ‘ไม่น่าเชื่อว่าตัวหนังสือภาษาจีนทั้งหมด นางจะอ่านมันออก!’ บ่งบอกว่ามันคือรายการสำคัญที่นางผู้หลงยุคมาต้องเรียนรู้ อันดับแรกคือลำดับรายชื่อตั้งแต่หัวหน้าครอบครัวอย่าง...ท่านรองแม่ทัพเฉินเจียงหนานผู้เป็นบิดาของนางเอง จวบจนรายชื่อของอนุทั้งห้าคนที่มีเบี้ยหวัดรายเดือนกำกับไว้ ปลีกย่อยไปถึงน้องๆ ต่างมารดาของนางด้วย เอาเป็นว่านอกจากนางจะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของฮูหยินเอกแล้ว นางยังมีน้องๆ ต่างมารดาอีกหกคน “เบี้ยหวัดของท่านพ่อจะถูกส่งมาทุกๆ สิบวันใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมราชสำนักจึงไม่จ่ายเป็นรายเดือน แต่ก็นั่นล่ะนี่คือยุคโบราณหาใช่ยุคปัจจุบันไม่
“ย่อมใช่ เบี้ยในส่วนนั้นมีไว้ใช้จ่ายซื้อหาอาหาร อันที่จริงแล้วเบี้ยหวัดของท่านพ่อมีมากมายจนเต็มห้อง ทางการส่งเบี้ยมาหนึ่งครั้ง มารดาเจ้าใช้จ่ายแต่ละครั้งได้ถึงสามสิบวัน เฮ้อ!” ขนาดว่านางเพิ่มเบี้ยหวัดให้อนุอยู่มากโขแล้วแท้ๆ
‘สิบวันส่งหนึ่งครั้ง แต่ท่านแม่ใช้เบี้ยที่ได้แค่หนึ่งครั้งต่อสามสิบวัน นั่นหมายความว่าในสองเดือนได้เบี้ยหกครั้ง ใช้เพียงหนึ่งในสามของเดือนงั้นรึ? ข้าอยากจะเข้าไปชมห้องสมบัติสกุลนี้เสียจริงๆ’ “ท่านแม่เพิ่มเบี้ยหวัดให้ลูกหรือไม่ก็ให้บ่าวด้วยก็ได้นะเจ้าคะ”
^^ “บ่าวทุกคน ทุกสกุลล้วนซื้อขาด กินอยู่ในจวนย่อมใช้แรงงานทดแทน เรามีเบี้ยหวัดให้ทุกปีอยู่แล้ว” จางฮูหยินตอบบุตรสาวไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่น ขณะที่ในใจของนางแอบคิดไปถึงอาการของบุตรสาว มิใช่ว่าลูกดูเจ็บปวดหรือพูดมิรู้ความ ในทางกลับกัน บุตรสาวยามนี้ดูมีความคิดความอ่านราวกับสตรีวัยสิบแปดหนาว ความสุขุมและใฝ่รู้มีมากกว่าเดิมทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็น “เมื่อยามอู่ (13.00) เจ้าไปที่ใดมารึ”