ลูกคิดได้แล้วล่ะ 1

1308 Words
“เมื่อยามอู่ เจ้าไปที่ใดมารึ” เฉินลี่หลินละสายตาจากตัวหนังสือ เพื่อมองท่านแม่ คำถามธรรมดาแต่คงไม่ธรรมดา ไม่ได้ทำให้สตรีต่างภพตกใจ นั่นเพราะในตอนนี้นางก็คือบุตรสาวของท่านแม่ มิใช่สตรีแปลกหน้า “ข้าไปเที่ยวที่จวนสกุลโหยวมาเจ้าค่ะท่านแม่” “ได้พบคุณชายโหยวหรือไม่ แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง” ‘นี่สินะ ความช่างสังเกตของคนเป็นแม่’ มิใช่ว่านางมีใบหน้าผิดแปลกไป แต่ที่ถูกจับได้คงเป็นนิสัยของนางมากกว่า ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นอกจากตามเกี้ยวบุรุษแล้ว เจ้าของร่างเดิมใช้ชีวิตและแสดงออกอย่างไร สนิทกับท่านแม่ของนางไหม เรื่องนี้สตรีต่างภพที่ได้มาอยู่ในร่างคนอื่น ล้วนเดาไม่ได้ ถึงจะเป็นอย่างนั้น นางก็ไม่หวั่นใจที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง “มิทันได้สนทนากันให้มากความ ท่านพ่อของคุณชายโหยวเข้ามาเยี่ยมเสียก่อน ลูกจึงขอตัวกลับเจ้าค่ะ” ความจริงเพียงส่วนเดียวถูกถ่ายทอดออกไปโดยที่นางหาได้เผยพิรุธ หนำซ้ำนางยังกล่าวย้ำคำเดิม “นับจากนี้ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ เพราะลูกจะมิไปเหยียบที่จวนหลังนั้นอีกแล้ว หากมิจำเป็น อย่างเช่นคุณชายโหยวจัดงานมงคล ลูกก็แค่จะไปรอดูเจ้าสาวที่น่าสงสารก็เท่านั้น” ‘ถ้านางยังอยู่ในร่างนี้นะ’ “งั้นรึ” ^^ ในรอยยิ้มของมารดา ยามนี้มีความเชื่อเกินกว่าครึ่งว่าบุตรสาวของนางจะทำได้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเกิดข่าวเล่าลือไปในทางไม่ดี แต่นางเชื่อว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์และลบข่าวลือนั้นไปเอง “นอกจากการผัดหน้า ทาชาดที่ดีกว่าเดิมแล้ว ความคิดของเจ้ายังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แม่ดีใจที่เจ้าคิดได้นะลี่หลิน” ลูบผมบุตรสาวของตนเองแผ่วเบา ^^ “เจ้าค่ะ ลูกคิดได้แล้ว” เฉินลี่หลินนั่งเรียนรู้เรื่องบัญชีรายรับของจวนไปอย่างเงียบๆ บางครั้งสอบถามถึงบุคคลในบัญชี บางครั้งสอบถามถึงยอดทรัพย์สิน ไม่นับถึงจำนวนเบี้ยหวัดที่ท่านแม่จ่ายให้นางผู้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในแต่ละเดือน คำถามที่ถามว่านางมิมีน้องชายหรือน้องสาว มิใช่คำถามที่ฉลาดนักเพราะรายชื่อของบุตรทุกคนได้ถูกนับรวมเอาไว้แล้วตามรายชื่อของอนุผู้เป็นมารดา “แต่ท่านแม่เจ้าขา ข้าอยากมีน้องอีกสักคนเจ้าค่ะ” ในความหมายที่นางสื่อ นั่นคือน้องที่มาจากบิดามารดาเดียวกัน ดูจากสภาพร่างกายกับอายุของมารดาของนาง ท่านยังเยาว์และงดงามมาก คำถามนี้ทำให้มารดาถึงกับหน้าแดงก่ำ ทั้งๆ ที่มันมิใช่เรื่องน่าเขินอายเลยสักนิดในยุคสมัยเดิมของนางที่จากมา “เรื่องนั้นเจ้าไปถามเอากับบิดาเจ้าเถิด” ^^ เฉินลี่หลินไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก นางรอจนสาวใช้นำสำรับมาวางบนโต๊ะอาหารมากกว่าห้าชนิด และทุกชนิดหน้าตาน่ารับประทานจนทำให้นางถึงกับน้ำลายสอ กระเพาะอาหารเริ่มส่งเสียงครางเบาๆ น่าอาย รอเพียงไม่นาน สาวใช้ของนางและของมารดาจึงยกอ่างน้ำมาให้เพื่อล้างมือ ‘การเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะและร่ำรวยนี่มันช่างดีมากจริง’ วิธีการทานอาหารและวิธีปฏิบัติตัวในวงสำรับ นางจดจำมันและทำทุกอย่างตามท่านแม่ไปอย่างเงียบๆ แต่เดิมเคยทานและสนทนากับผองเพื่อนอย่างไร ยามนี้ล้วนถูกปัดทิ้งไปทั้งหมด มิใช่ว่าสำรวมกิริยาเหมือนสตรีในห้องหอ เพียงแต่นางหิวมากเกินกว่าจะพูดคุยก็เท่านั้น &&&& ยามอิ่ว (18.00) บรรยากาศยามเย็นหน้าเรือนหลังเล็กแบบเป็นส่วนตัว เฉินลี่หลินในชุดสีน้ำเงินนั่งหมอบตรงราวไม้ (ราวกั้นตรงชานเรือน) เหม่อมองเด็กน้อยทั้งหญิงและชายรวมแล้วเกือบสิบคน วิ่งเล่นตรงกลางสนามหญ้า ศาลาไม้ไม่ไกลจากสนามนั้น มีสตรีใบหน้าหมดจดนั่งอยู่สองคนและสาวใช้อีกหลายคน (สวนหย่อมกลางจวน) ถามว่าเหตุใดนางจึงมิเข้าไปร่วมสนทนากับสตรีพวกนั้น...คำตอบง่ายๆ ก็คงเป็นเพราะ ‘นางไม่รู้จักใครเลย’ “คุณหนูเจ้าคะ” เสี่ยวจวงเดินยกกาน้ำชาอุ่นๆ มาวางไว้ข้างกายคุณหนู “น้ำชาเจ้าค่ะ” ผู้ถูกเรียกเหลือบมองกาน้ำชา ก่อนจะนึกย้อนไปถึงความฝันเสมือนจริงเกี่ยวกับการวางยา จำได้ว่าในฝันนั้นนางพยายามห้ามปรามมิให้สตรีในความฝันนั้นดื่มชา แต่มันไม่สำเร็จ “ยามที่ข้าหมดสติในจวนคุณชายโหยว ข้าได้ดื่มชาหรือไม่” ถามเพื่อความแน่ใจ ในคำถามนั้น เสี่ยวจวงมิได้สงสัย เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่คุณหนูหมดสติไปจนฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คุณหนูบอกกับนางว่า ลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปจนหมด “ดื่มเจ้าค่ะ ยิ่งโมโหมากเท่าไหร่ คุณหนูก็ยิ่งดื่มมากจนเกือบจะหมดกา” “เหตุใดข้าจึงโมโหเล่า” “เพราะคุณชายโหยว หายไปกับคุณหนูหวังอย่างไรเล่าเจ้าคะ” หัวสมองเรียบเรียงคำพูดและเหตุการณ์ทั้งในความฝัน ทั้งในจวนหลังนั้น ‘ในฝันมีสตรีนางหนึ่งวางยาในน้ำชาให้นางดื่ม หากจะให้กล่าวโทษว่าเป็นสาวใช้ของคุณหนูหวังผู้หมายปองบุรุษคนเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าแปดส่วน แต่เหตุใดแค่เรื่องบุรุษเพียงคนเดียว คุณหนูผู้นั้นถึงกับคิดลงมือสังหารกันได้ มิใช่ว่าทั้งนางและอีกฝ่ายเคยเป็นสหายกันหรอกรึ’ “คุณหนูหวังที่สวมชุดสีชมพูใช่หรือไม่” จำได้ว่านางเห็นสตรีในชุดสีชมพูผู้หนึ่งยืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หากสตรีผู้นั้นคือคุณหนูหวังที่เสี่ยวจวงบอกว่าอีกฝ่ายอยู่กับโหยวซานซุน…เช่นนั้นก็ควรตัดคุณหนูหวังออกไป “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ภาพจำในฝันกับสตรีที่เทผงสีขาวลงในกาน้ำชา มิได้ทำให้นางลืมมันไป ในทางกลับกันนางต้องหาตัวสตรีผู้นั้นพบ นางต้องสืบให้ได้ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น “เจ้าคิดว่า น้ำชาในกานั้นสามารถทำให้ข้าหมดสติได้หรือไม่” เสี่ยวจวงเบิกตากว้าง ความคิดของนางนั้นไม่ต่างกับคุณหนูเลย หากจะกล่าวว่าเหตุใดนางถึงมั่นใจว่าสาเหตุของการหมดสติของคุณหนู ต้นเหตุก็คือน้ำชา นั่นเป็นเพราะว่า สำรับกลางวันคุณหนูรับจากในจวนสกุลเฉิน ก่อนจะออกไปร้านขายผ้าเพื่อซื้อของฝากให้คุณชายโหยว ในระหว่างนั้นคุณหนูก็มิได้ทานสิ่งใดเลย จวบจนไปถึงจวนสกุลโหยวและเกิดเรื่อง “บ่าวก็คิดเช่นนั้น แต่มิกล้ากล่าวหาผู้ใดเจ้าค่ะ” เม้มปาก ‘เช่นนั้นแล้วเบาะแสเดียวเพื่อเปิดโปงคนร้ายก็คงเป็นสตรีที่อยู่ในความฝัน สตรีที่เทผงสีขาวผู้นั้น!’ “ไปหากระดาษสีขาวแผ่นใหญ่มาให้ข้า ข้าจะวาดภาพ” เสี่ยวจวงทำหน้าไม่เข้าใจ ตลอดชีวิตที่นางขายแรงงานตนเองเข้ามาในจวนสกุลเฉิน นางมิเคยจำได้ว่าคุณหนูวาดภาพเป็น “กระดาษสีขาวจะมีได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อคุณหนูมิเคยวาดภาพเลย” “หือ?” ชี้ตนเอง “ข้ามิเคยวาดจึงมิมีกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่รึ? แล้วมีกระดาษอะไรบ้าง ดินสอเล่า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD