หมั้นอะไร 2

1148 Words
ขวับ! “ท่านพ่อ” ในความไม่เข้าใจและความเกลียดชังต่ออีกฝ่าย มันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะให้เขาเข้าไปหาเฉินลี่หลินจนถึงจวน ให้ผู้อื่นต้องเล่าลือ “ข้าจะไปเยี่ยมนางให้นางเข้าใจผิดไปทำไมรึขอรับ ปล่อยไปเช่นนี้เถิด” “ไม่ได้!นางหมดสติในจวนเจ้า จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้รึ อย่าทำตัวราวกับมิมีผู้ใดสอนสั่ง ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นถึงราชเลขาของฮ่องเต้ ผู้คนจะครหาได้” โหยวซานซุนเพิ่มความเกลียดชังให้คุณหนูสกุลเฉินแต่คงละไว้ซึ่งความเงียบ “…” “แค่ไปเยี่ยมหานาง มิต้องเอ่ยว่าไปด้วยเรื่องใด หากนางมิได้บอกบิดามารดาของนางถึงเหตุการณ์ในวันนี้ เจ้าก็แค่เฉยเสีย อย่าลืมว่าบิดาของนางเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ จะรักจะชังอย่างไรก็ไว้หน้านางบ้าง จำมิได้รึว่านางมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดา” “ขอรับ” สองคนพ่อลูกละจากเรื่องของสตรีเจ้าปัญหา ไปสนทนากันต่อในเรื่องของการปรับปรุงจวนหลังใหม่ที่มีหญ้ารกทึบ รอการตัดอีกหลายที่ การเกณฑ์บ่าวจากจวนหลักย่อมต้องมี รวมไปถึงการเปิดรับซื้อบ่าวชายคนใหม่เข้าจวน ไม่นับรวมแม่ครัวและสาวใช้อีกเป็นจำนวนมาก &&&& ทางด้านหวังซินเจียผู้กำลังเดินหน้าเคร่งห่างออกไปจากบริเวณสวนกว้างที่ยังมิได้รับการดูแลและเดินไปจนถึงหน้าจวนพระราชทานของสกุลโหยว พลันนึกถึงเรื่องราวของเฉินลี่หลินกับโหยวซานซุน ซึ่งก็ยังมิมีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วงในเมื่อฝ่ายบุรุษนั้นมิได้สนใจใยดีีคุณหนูสกุลนั้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคำสั่งของนายท่านโหยวต่วนที่สั่งบุตรชายเมื่อครู่นี้ ว่าให้เข้าไปเยี่ยมเฉินลี่หลินจนถึงจวนมากกว่า เช่นนั้นแล้วผู้คนในเมืองจะมิเล่าลือกันหรอกรึว่า ‘คุณหนูสกุลเฉินคว้าหัวใจบุรุษอย่างท่านราชเลขาไปครองได้แล้ว’ “ข้ายังไม่อยากจะยอมแพ้ในศึกสุดท้ายนี้หรอกนะ” มันเป็นศึกสุดท้ายที่นางยังมีสิทธิ์ที่จะชนะได้แต่มันอาจจะตามมาด้วยการสมรส...ซึ่งมันดีแล้วจริงหรือ? สาวใช้สกุลหวังนามว่าอูอัน ลอบถอนหายใจก้าวตามคุณหนูไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับจวน ใจสาวใช้คิดแค่เพียงว่า คุณหนูทั้งสองสกุลที่เคยเป็นสหายในวัยเยาว์ เริ่มแข่งขันกันมานานเท่าใดแล้วนะ ‘อ่อ…คงจะย่างเข้าปีที่เจ็ดแล้วกระมัง’ ซึ่งครั้งแรกที่เริ่มแข่งขันกันนั้นก็เพื่ออยากอวดความเก่งกาจให้คุณชายหวังเฟยหรงชื่นชม เรื่องมันเริ่มต้นแค่จุดเล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่ามันจะบานปลาย จนคล้ายเป็นศัตรู...เช่นนี้แล้ว จะแปรเปลี่ยนมาเป็นสหายกันได้อีกหรือไม่ คงไม่มีผู้ใดรู้ได้ จวนสกุลเฉิน ยามอุ้ย (14.00) “คุณหนู เป็นอะไรรึเจ้าคะ” ใบหน้ากังวลของสาวใช้ทำให้ผู้ถูกเรียกต้องส่ายหน้า ร่างบางเดินเข้าไปในจวนหลังใหญ่โดยมิได้ลืมที่จะสังเกตทุกอย่างรอบๆ ตัว ด้านในของประตูมีบุรุษผมสีดอกเลาในชุดสีน้ำเงินยืนต้อนรับ “คุณหนูลี่หลิน กลับมาแล้วรึขอรับ” ‘เฉิน ลี่หลิน’ คงเป็นนามของนางที่ทุกคนเรียกกันในความฝันนี้ และถ้าหากนางตื่นจากฝันเมื่อไหร่ คงกลายเป็นดอกเหมยเหมือนเดิม ว่าแต่ทำไมในความฝัน มันช่างเหมือนจริงนัก “กลับมาแล้ว” ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายถามไถ่เรื่องอื่น นางรีบดึงสาวใช้ด้านหลังให้มายืนคู่กันแล้วแสร้งกระซิบ “ข้าเวียนหัวนิดหน่อย รีบพาข้าเข้าไปพักในห้องเถอะ” มันคือข้ออ้างของคนที่ไม่รู้จักเส้นทางในจวนของตนเองมากกว่า เสี่ยวจวงเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเอ่ยตอบ “ได้เจ้าค่ะ” พลางหันไปบอกพ่อบ้าน “ข้าไปก่อนนะเจ้าคะพ่อบ้านไห่” ผู้รับบทเป็นเฉินลี่หลินมองพ่อบ้านไห่คนนั้น และแสร้งเดินตามแรงพยุงของสาวใช้ที่นางไม่กล้าเอ่ยถามชื่อจริงไปอย่างเงียบๆ สองตามองความกว้างขวางในจวน ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นดอกไม้หลายสีสันตรงบริเวณทางเดินทอดยาว ความร่มรื่นจากร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงแดดร้อนแรงเอาไว้ ความตื่นตาตื่นใจในสิ่งที่เห็นเพิ่มเติมคือเรือนไม้เป็นหลังๆ นับสิบหลังเรียงรายในสายตา ‘มันช่างคล้ายโฮมสเตย์ในยุคปัจจุบันจนนางนึกทึ่ง’ ต่างกันแค่เรือนแต่ละหลังทำจากไม้และรูปทรงเป็นแบบจีนโบราณเท่านั้นเอง ทางแยกหลายทางยังมีสาวใช้ในชุดแบบเดียวกันเดินสวนไปมา ใจอยากจะถามว่าตัวนางเป็นบุตรสาวของผู้ใด ร่ำรวยมากหรือไม่ ก็ไม่อาจถามออกไปให้เจ้าของร่างนี้ต้องดูประหลาดได้ เช่นนั้นนางจึงควรเงียบเสีย สาวใช้พานางเดินไปไม่ไกลจนถึงเรือนยกสูงขนาดกลางทางฝั่งซ้าย ขั้นบันไดเล็กๆ แปดขั้นด้านหน้า พาให้นางตาโต เมื่อเดินขึ้นไปบนเรือนพบกับประตูไม้สองบานก็ยิ่งชอบใจ ครั้นพอเปิดดูด้านใน ผู้ที่คิดว่าตนเองกำลังฝันรีบเดินสำรวจทันที ความพอใจฉายชัดบนใบหน้า แต่ยังไม่เท่าความอยากรู้อยากเห็นหน้าตาของตนเอง ร่างบางเดินเข้าหากระจกเงาบานใส…ภาพใบหน้าเนียนอมชมพูปรากฏอยู่ในสายตาตัวเอง คิ้วโก่งดั่งคันสร จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากบางสวย ‘ทำไมถึงเหมือนภาพวาดได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้’ “คุณหนูจะให้บ่าวอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ” คำถามที่แปลได้ว่าห่วงใยนั้น นางเข้าใจดี แต่ไม่คิดที่จะตอบรับ “ไม่เป็นไร เจ้าออกไปเถอะ” นั่นเพราะนางต้องการที่จะนอนหลับไปให้สนิทเพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งในคอนโดของตัวเอง คิดได้อย่างนั้นจึงรีบไล่สาวใช้อีกครั้ง “ข้าอยากพักแล้ว เจ้าไปเถอะ” เสี่ยวจวงนึกกังวลไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในจวนพระราชทานของราชเลขาโหยวซานซุน ‘คุณหนูหมดสติ…และไม่หายใจ’ มันทำให้นางเริ่มลังเล “หากเกิดอะไรขึ้น คุณหนูเรียกบ่าวนะเจ้าคะ” ในประโยคแสดงความห่วงใยนั้น คนฝันยาวนานถึงกับอึ้ง ‘จะเรียกอย่างไรในเมื่อนางจำชื่อของอีกฝ่ายไม่ได้’ หากความฝันในครั้งนี้จบลง มันคงไม่จำเป็นแล้วว่าสาวใช้จะมีชื่อเรียกขานอย่างไรอีก แต่ก็เอาเถอะทุกอย่างมันเป็นแค่ฝัน ไม่รู้จักชื่อกันจะเป็นอะไรไป “อืม”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD