จวนสกุลเฉิน
เสี่ยวจวงเดินตามหลังคุณหนูของนางเข้าไปในเรือนเล็ก โดยที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก นางมองคุณหนูที่นั่งจัดกระดาษสีขาวตรงโต๊ะนอกชานพร้อมกับขับร้องบทเพลงที่นางไม่รู้จักเสียงดังกังวานก้อง บ่าวไพร่หลายคนเดินผ่านเมียงมอง ไม่ต่างกับสาวใช้อีกหลายคนที่เอาแต่อมยิ้ม จะกล่าวว่าตั้งแต่วันที่คุณหนูลักลอบเข้าไปในจวนของราชเลขาโหยวแล้วหมดสติไปจนฟื้น กิริยาท่าทางของคุณหนูของนางนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งวันนี้ไปนั่งสนทนากับคุณชายหวังราวกับ…ไม่เคยรู้จัก ‘เอ๋?ก่อนนั้นคุณหนูบอกว่าความทรงจำเดิมได้หายไปจนหมด เป็นไปได้ว่าเรื่องของคุณชายสกุลก็คงไม่ต่าง!’ “คุณหนูเจ้าคะ”
“หืม” ผู้ถูกเรียกละสายตาจากกระดาษเนื้อดีของตนไปมองสาวใช้ ไม่ไกลออกไปยังเห็นวิญญาณเจ้าของร่างนั่งซึมอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม ‘เข้าใจอยู่ว่า เจ้าของร่างคงอยากให้นางเลิกข้องแวะกับบุรุษ แม้ทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงแค่การจ้างวานก็ตาม’
เสี่ยวจวงเม้มปากอย่างชั่งใจ ใบหน้างามของคุณหนูดูอิ่มเอมสดใสกว่าก่อนหน้านี้มาก หากการมิไล่ตามท่านเลขาโหยวแล้วมันคือเรื่องดี สาวใช้เช่นนางย่อมสนับสนุน แต่นั่นต้องหมายความว่าคุณหนูของนางมิได้หลงลืมเรื่องราวอันใดไปเสียหมดแล้วก่อเรื่องน่าหนักใจขึ้นใหม่“คุณหนูคิดจะทำสิ่งใดร่วมกับคุณชายหวังรึเจ้าคะ”
“อืม...มม ทำสิ่งใดงั้นรึ” เฉินลี่หลินคนใหม่ครางในลำคอเบาๆ จำได้ว่าสาวใช้ของนางมิได้รับฟังเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่อีกฝ่ายมาถึงในตอนท้าย และถ้าจะถามว่ามันคือเรื่องสำคัญหรือไม่ ‘ก็บอกได้ว่าสำคัญกับชีวิตใหม่ของนางอยู่มาก’ “ข้าว่าจ้างให้คุณชายหวังแกล้งมาเป็นคนรักของข้าในเวลาหนึ่งเดือน ด้วยค่าจ้างหนึ่งพันตำลึงน่ะ” ซึ่งนางก็ไม่รู้หรอกว่าหนึ่งพันตำลึงมันคือเงินจำนวนเท่าไหร่ เอาเป็นว่าตัวนางน่าจะมีจ่าย เห็นได้จากหีบสมบัติในห้องที่นางเปิดดูไปแล้วเมื่อยามเช้า
°∆° “อะ อะไร นะเจ้าคะ” เสี่ยวจวงน้ำเสียงขาดหายไป ก่อนร่างกายจะอ่อนแรง “เหตุใดจึงทำ เช่น นี้”
“แล้วใยข้าจะทำมิได้ ก่อนหน้านั้นมีข่าวลือว่าข้าตามติดราชเลขาโหยวซานซุน ข้าว่ามันน่าอายกว่าข่าวลือที่ข้ามีคุณชายหวังเป็นคนรักอีกนะ แค่แกล้งเป็นคนรักกันเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง พรุ่งนี้เจ้าก็ออกไปปล่อยข่าวด้วยล่ะว่าข้าคบหาดูใจกับคุณชายสกุลหวังอยู่” ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันเล่าลือกันไป ให้โหยวซานซุนเลิกสงสัยในตัวนาง เอาเป็นว่าระหว่างหนึ่งเดือนนี้ ตัวของนางและอีกสองบุรุษคู่กรณีอาจจะมิได้เจอกันเลยก็เป็นได้ ‘แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น คุณชายหวังก็ทำงานไม่คุ้มค่าจ้างสิ อืม...ช่างมันเถอะ’
“ไม่ได้เจ้าค่ะคุณหนู”
ผู้ถูกห้ามทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าของร่างเดิมยังมีพลังบอกกล่าวกับนางได้ ก็มิได้มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับคุณชายหวังผู้นี้เลย จะมีก็แค่เพียงเรื่องราวของราชเลขากับสตรีผู้วางยาในวันนั้น “ทำไมล่ะ”
การย้อนถามยิ่งทำให้เสี่ยวจวงมั่นใจว่าคุณหนูของนางลืมทุกอย่างไปหมดแล้วจริงๆ ซึ่งมันมิใช่เรื่องดี “ก็คุณชายหวังเฟยหรงคือพี่ชายแท้ๆ ของคุณหนูหวังซินเจีย สตรีที่เป็นคู่แข่งในทุกๆ เรื่องของคุณหนู ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก ซ้ำเมื่อวานนี้คุณหนูหวังก็ยังอยู่ในเหตุการณ์ที่คุณหนูหมดสติไปในจวนสกุลโหยวอีกด้วยนะเจ้าคะ คุณหนูลืมไปแล้วรึ”
°∆° ‘ห้ะ หวังซินเจีย?’ สายตากลมมองสบกับวิญญาณตรงใต้ต้นไม้ทันที หัวใจนางเต้นกระหน่ำเมื่อรับรู้ว่าเหตุใดนางจึงว่าจ้างคุณชายหวังไม่ได้ นั่นก็เพราะนางกับน้องสาวของเขา? “สตรีในชุดสีชมพูนั่น คือน้องสาวของคุณชายคนเมื่อครู่งั้นเหรอ”
เสี่ยวจวงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณชายหวังและราชเลขาโหยวเป็นสหายร่วมสำนักเดียวกันด้วย เรียนจบมาพร้อมกัน เรื่องนี้คุณหนูก็รู้” สาวใช้ทำหน้าซึม “บ่าวลืมคิดไปว่าคุณหนูจำความมิได้ หากบ่าวอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิด”
เฉินลี่หลินยกมือขึ้นกุมขมับ สองตาเห็นร่างวิญญาณเจือจางกำลังสั่นศีรษะแล้วเดินไปยังต้นไม้ต้นที่สอง คือต้นเดิมกับเมื่อคืน “ตายพอดี” ในความไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นมากพอๆ กับที่นางรู้จักใครเลยในภพนี้ นั่นทำให้นางพลาดอย่างใหญ่หลวง ‘การไม่รู้คือไม่ผิด’ แล้วอย่างนางที่หลงยุคนั้นจะเรียกได้ว่ารู้หรือไม่รู้กันเล่า “ข้าซวยแล้วใช่หรือไม่เสี่ยวจวง” คำว่ารู้เขารู้เราคงใช้ไม่ได้กับนางเพราะฝ่ายบุรุษนามหวังเฟยหรงนั้นรู้หมด!
“...”
“เผลอปล่อยไก่ไปทั้งเล้าเลยรึนั่น” ‘มาโชว์โง่ในร่างคนอื่นเก่งจริงๆ นะเนี่ย’ ก็เห็นอยู่ว่าวิญญาณเจ้าของร่างโบกไม้โบกมือให้ “เฮ้อ”
“...” เสี่ยวจวงทำหน้าไม่เข้าใจกับท่าทางของคุณหนูที่ผุดลุกจากที่นั่งวิ่งลงไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว ‘ใยคุณหนูวิ่งไปทางต้นไม้เล่า’
&&&&
สตรีต่างภพที่ต้องกลายมาเป็นเฉินลี่หลินเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ พลางยืนประจันหน้ากับวิญญาณเจ้าของร่างแล้วถามเข้าประเด็น “นี่ใช่ไหมที่เจ้าอยากจะบอก” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าใส่ตน ก็ยิ่งถอนหายใจยาวๆ นางเดินวนไปวนมาเหมือนคิดไม่ตก ก่อนจะบ่นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “ข้าแปลกใจ ว่าทำไมเจ้าถึงพูดไม่ได้นะ” ในความหมายของนางคือ อีกฝ่ายไม่มีเสียงเหมือนตอนก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นแล้วเรื่องการจ้างวานเมื่อครู่ก็คงไม่เกิด แสงแดดสาดส่องลอดผ่านใบไม้กระทบร่างวิญญาณ ดูคล้ายกับว่าร่างเงานั้นเริ่มจางไป จากที่เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ พอเพ่งมองอีกทีกลับเห็นเงานั้นนั่งพิงไปกับต้นไม้ “จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เฉินลี่หลินเอ๊ยเฉินลี่หลิน เรื่องเก่าดูจะวุ่นวายไม่จบ เรื่องใหม่ยิ่งวุ่นวายซ้ำซ้อน หรือข้าควรอยู่เฉยๆ จะดีกว่านะ” บ่นไป และนั่งลงเคียงข้างวิญญาณเดิมของเจ้าของร่างที่ดูเหมือนจะไม่มีแรง ‘แน่ล่ะ ยามนี้คือยามอุ้ย (13.40) แสงแดดแผดจ้าขนาดนี้ อีกฝ่ายปรากฏตัวเป็นร่างเงาให้นางเห็นได้ก็นับว่าเกินกำลังวิญญาณมากไปแล้ว’
ทางด้านเสี่ยวจวงซึ่งกำลังมองคุณหนูของนางนั่งพูดอยู่ใต้ต้นไม้เพียงคนเดียวแล้วก็ได้แต่เครียด ‘หรือทั้งหมดนั้นมันมีสาเหตุมาจากการที่คุณหนูผิดหวังจากความรักจนวิปลาสไปแล้ว’ สาวใช้คิดไม่ตก
&&&&
วันต่อมา
“คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ!!” เสี่ยวจวงวิ่งออกมาจากเรือนใหญ่ มุ่งตรงมายังเรือนหลังเล็ก นางตะโกนเรียกคุณหนูของตนจนไร้กิริยาสตรี “คุณหนู!”
ภาพวาดของเด็กอ้วนมัดผมแกละถูกวางลงบนโต๊ะ เมื่อสาวใช้วิ่งหน้าตื่นมาถึง หลังจากเหตุการณ์ว่าจ้างบุรุษสกุลหวังเพิ่งผ่านไปได้เมื่อวาน เฉินลี่หลินก็มิได้ก้าวขาออกไปจากจวนให้เป็นปัญหา แต่แล้วเหตุใดสาวใช้จึงบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นอีก “เกิดสิ่งใดขึ้นรึ”
“แฮ่กๆ คะ คือ ยะ ยามนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างเล่าลือเรื่องของคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ” แฮ่กๆๆ แฮ่กๆ
‘ห้ะ?’ “ละ ลือ อะ ไร” มือบางกำจนแน่น พลางกลั้นใจฟังอีกฝ่ายด้วยหัวใจเต้นระทึก
“ผู้คนต่างเล่าลือและวิ่งมาสอบถามกับบ่าวว่าคุณหนูเป็นคนรักของคุณชายหวังจริงหรือไม่เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” ใบหน้าติดกังวล “ข้ายังมิได้ให้ผู้ใดไปปล่อยข่าว แต่ผู้คนคงเห็นว่าข้ากับคุณชายหวังหอมแก้มกัน จึงเข้าใจว่าข้ามีคุณชายหวังเป็นคนรักจริงๆ แน่ๆ” ไหนจะเรื่องที่นางกล่าวอ้างกับโหยวซานซุนว่านางกำลังถูกใจบุรุษคนใหม่นั่นอีก L ‘ทำตัวเองแท้ๆ’ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายหวังเป็นคุณชายต้องห้ามสำหรับข้า อยากจะบ้า”
เสี่ยวจวงตาโตเท่าไข่ห่าน °∆° ‘นี่นางพลาดเรื่องสำคัญไปหรอกรึ’ “หะ หอมแก้ม รึเจ้าคะ”