^^ “สิ่งใดคือไม่ใช่ ซ้ำยามนี้ซินเจียเอง ก็รู้แล้วว่าเจ้าคือคนรักของข้า เอาอย่างไรต่อดี” ความสนุกฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลาเมื่อสตรีตัวน้อยตรงหน้ากำลังเข่นเชี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงนางจะขอยกเลิกการจ้างวานโดยยืดอกยอมรับความเสียหายไป…เขาก็ไม่คิดจะยินดีที่จะทิ้งมลทินเอาไว้ให้นางแบกรับเพียงผู้เดียว แม้ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นแค่เรื่องโกหกก็ตาม! “แทนที่เจ้าจะเลิกจ้างวาน มิสู้ปล่อยให้ข่าวลือแพร่ออกไปอีกสักพัก ให้ผู้คนรับรู้กันเสียก่อนว่าเจ้ามิได้ตามติดเกี้ยวพาโหยวซานซุน แต่ถูกข้ามาเกี้ยวพาเพราะติดใจในความกล้าหาญ ของเจ้าน่าจะดีกว่า” ^^ หวังเฟยหรงละไว้ในคำว่า ‘กล้าหอมแก้ม’ ที่นางกระทำต่อเขาไว้ แล้วเว้นช่วงจังหวะรุกสตรีวัยเยาว์กว่าอีกครั้ง “หรือเจ้ากลัวที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับซินเจีย อันที่จริงแล้วเรื่องที่พวกเจ้าแข่งขันกันนั้น หากไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไป ใยมิคิดกลับมาเป็นสหายกันดังเดิม เจ้ามิได้กลัวซินเจียใช่หรือไม่” เห็นเฉินลี่หลินส่ายหน้ารัวเร็ว เหมือนเป็นคำตอบว่าไม่ได้กลัว เขาจึงถามต่อ “หรือแท้จริงแล้วที่เจ้ากล่าวว่ามิได้รักชอบโหยวซานซุนนั้นเป็นเรื่องโป้ปด จึงอยากยกเลิกการจ้างวาน” เงียบไปคล้ายรอคำตอบ พอๆ กับที่มองสตรีตรงหน้ากำลังขมวดคิ้ว
ในความลังเลนั้น เฉินลี่หลินอยากจะปฏิเสธให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เมื่อมาคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ การที่นางยังคงเป็นคนรักของหวังเฟยหรงอยู่อาจทำให้นางและสหายเก่าอย่างหวังซินเจียกลับมาคืนดีกันได้จริง แม้ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของความผิดใจในยามเยาว์ ‘แต่มันคือโอกาสดีสองต่อ เพราะนางก็มิได้รักชอบโหยวซานซุนอยู่แล้ว หวังซินเจียจะรักชอบกับอีกฝ่าย ย่อมไม่มีผลในความรู้สึกของนาง’ “ข้า เอ่อ” (ทำท่าคิด) หากไม่ติดว่าคุณชายหวังผู้รูปงามกว่าราชเลขาโหยวจะเอ่ยขึ้นอีกคำ
“ข้าไม่คิดค่าจ้าง”
“…” อีกหนึ่งข้อเสนออันงดงามหอมหวาน หากนางยังอยู่ในยุคสมัยเดิมก็คงไม่คิดปฏิเสธเป็นแน่ ต่างกับยุคสมัยนี้ที่นางยังอยู่ในร่างของคุณหนูผู้ร่ำรวย...นางมิได้ยากไร้นะ
“ดีหรือไม่” ^^ “ถ้าดี ก็เรียกว่าพี่เฟยหรงเสียสิ”
“…” การประมวลผลลัพธ์อันหนักหน่วงในหัววนไปเวียนมา ‘ผลลัพธ์ที่นอกจากผู้กล้าเสนอตัวคุณชายหวังเฟยหรงจะช่วยหักหน้าโหยวซานซุนได้แล้ว นางยังอาจจะคืนดีกับหวังซินเจียได้ด้วย มันก็ดีมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มันซับซ้อน’ “เจ้าค่ะ พี่เฟยหรง” ^^ ส่วนเรื่องไม่คิดค่าจ้างน่ะ ไม่เกี่ยวเลยจริงจริ๊ง
“เห็นรึไม่ ง่ายๆ” ^^ ในรอยยิ้มของบุรุษรูปงามแฝงความพึงพอใจอยู่ในสายตา หากตัดเรื่องเก่าที่เฉินลี่หลินและหวังซินเจียน้องสาวของเขาเคยชมชอบบุรุษคนเดียวกันออกไป เขาค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งสองสตรีที่ผ่านพ้นวันปักปิ่นได้ไม่นาน มิใช่สตรีอัปลักษณ์ หากไม่ติดเรื่องข่าวลือนั้น คาดว่าสตรีทั้งสองย่อมมีบุรุษจากหลายสกุลมาทาบทามไม่มากก็น้อย “วันนี้ตกลงเป็นคนรักกัน ใยเจ้ามิพาพี่ไปเดินเที่ยวชมบรรยากาศในจวนเจ้าด้วยเล่า”
L เฉินลี่หลินได้ฟังเช่นนั้น นางจึงจำใจพาหวังเฟยหรงไปเดินเล่นในสวนของตน โดยไม่ลืมที่จะกำชับบุรุษสูงวัยกว่าในฐานะคนรักกำมะลอว่า “ท่านไม่ต้องให้บ่าวไปปล่อยข่าวลืออีกแล้วนะเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าไม่ควรปล่อยข่าวอีก เพราะข่าวลือกับเรื่องบันเทิงของพี่มันเริ่มตั้งแต่ที่เจ้าหอมแก้มพี่แล้วคุณหนู” ^^
‘เรื่องบันเทิงสำหรับคุณชายหวัง คงไม่เกี่ยวอะไรกับความรู้สึก’ นั่นเพราะมันคือความรักกำมะลอที่ทั้งนางและอีกฝ่ายมิได้ตั้งใจให้มันเกิด…มันเป็นเรื่องตกกระไดพลอยโจนสำหรับนาง กับการเออออห่อหมกของอีกฝ่าย ดังนั้นการที่นางตกลงใจจะตามน้ำไปมันก็มิใช่เรื่องผิด ‘ก็นั่นล่ะ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วมิใช่รึ?’ “เจ้าค่ะ มันเป็นเรื่องบันเทิงสุดๆ”
“สุด สุด?” ^^ ในความไม่เข้าใจและสตรีตรงหน้าก็มิคิดจะแปลความหมาย หวังเฟยหรงจึงไม่ต่อความเมื่อเรื่องที่ควรจะเจรจากันได้จบไปแล้ว เขามองสำรวจไปรอบๆ บริเวณของจวนสกุลเฉินด้วยสายตายากจะคาดเดา ในอดีตแม้มิเคยย่างกราย แต่ช่วงนี้คงได้มาบ่อยๆ เพราะมีกิจสำคัญ ดังนั้นในวันนี้ควรถอยกลับไปก่อนเมื่อตกลงกันเสร็จสิ้น “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ จวนของเจ้าคงได้ต้อนรับพี่บ่อยขึ้น” ^^ ชี้ตนเอง“อย่าลืมว่าเจ้าต้องเรียกพี่ว่า พี่เฟยหรง อยู่ว่างๆ ก็ให้พูดบ่อยๆ จะได้ชิน”
คำว่า ‘พี่เฟยหรง’ และใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นทำเอาเฉินลี่หลินอยากจะเอามือไปหยิกผิวแก้มสากสักที แต่ก็นั่นล่ะ นางทำได้แค่คิดด้วยความหมั่นไส้ ผิดกับวาจา “ลี่หลินจะจำไว้เจ้าค่ะ” L
“เช่นนั้นพี่ขอตัวกลับก่อน เอาไว้พบกัน”
“งั้นข้าลาตรงนี้นะเจ้าคะ” คำพูดตัดบทกับการค้อมศีรษะของนาง มิได้ทำให้บุรุษตรงหน้าสั่นสะเทือนหรือตำหนิเพราะนอกจากเขาจะยิ้มหวานปนหัวเราะส่งให้แล้ว เขายังเดินผิวปากหันหลังกลับไป L “เสี่ยวจวง”
สาวใช้รีบขานรับ “เจ้าคะ”
“ข้าหมั่นไส้คุณชายหวัง เขาทำงานทำการอะไรรึ” ในคำถาม สายตากลมหวานยังคงมองตามบุรุษร่างใหญ่และบ่าวชายของเขาจนลับไป
เสี่ยวจวงทำท่าคิดไม่ตก จะกล่าวว่านอกจากคุณชายสกุลโหยวแล้ว คุณชายสกุลอื่นไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อน จะให้ตอบคุณหนูด้วยความจริงก็คงเป็นคำว่า “บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ”
ขวับ! “ไม่รู้?”
“เจ้าค่ะ คุณหนูตามติดเพียงคุณชายโหยว บ่าวจึงทราบเพียงเรื่องของคุณชายผู้นี้เพียงคนเดียว บุรุษสกุลอื่นๆ ล้วนไม่เคยจำ”
“ข้าอยากจะบ้า” เฉินลี่หลินเดินกลับไปยังเรือนเล็กของตนเอง โดยไม่ลืมที่จะหันมองไปทั่วทิศ คล้ายจะคาดหวังว่านางจะเห็นวิญญาณของเจ้าของร่าง มิใช่อยากจะถามสิ่งใด เพียงแค่อยากจะตำหนิอีกฝ่ายว่าเหตุใดจึงสร้างเรื่องไร้ยางอายได้หลายปีจนผู้คนเขาลือ แต่แล้ว…ไม่ว่าจะมองหายังไงก็หาไม่เจอ ‘หรือมันเป็นช่วงกลางวันแสกๆ หรือเป็นเพราะใกล้จะถึงเวลาที่อีกฝ่ายเคยพูดเอาไว้ คือสามวัน’ “วันนี้วันที่สองแล้วสินะ”
“อะไรรึเจ้าคะ”
“…” ในคำถามนั้น เฉินลี่หลินเลือกที่จะไม่ตอบ นางปล่อยทิ้งให้เสี่ยวจวงเดินตามหลังไปเงียบๆ
&&&&
วันต่อมา ในยามซื่อ (09.00)
เฉินลี่หลินนั่งมองตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่พร้อมกับคิดถึงต้นสายปลายเหตุที่ว่า นางได้มาอยู่ในร่างนี้ทดแทนเจ้าของร่างเดิมที่หมดบุญไปแล้ว แถมด้วยการตามหาคนร้ายผู้บังอาจวางยาในโถน้ำชาให้เจอเพื่อที่นางจะได้ใช้ชีวิตต่อไปโดยมิต้องกังวล ‘นั่นหมายถึงถ้านางยังอยู่ในร่างนี้’ “เอาล่ะ วันนี้ข้าจะต้องจัดการกิจธุระอันสำคัญให้เสร็จ ก่อนจะออกไปท่องเที่ยวจนสำราญใจด้านนอก” ในความหมายที่เข้าใจไปเองก็คือ ออกไปเดินเล่นยามแดดร่มลมตก ชื่นชมบรรยากาศในยุคจีนโบราณให้สมใจ เรื่องบุรุษและอันตราย ก็ทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง จำได้ว่านางในร่างนี้กำลังอายุเพียงสิบห้าหนาว…ความสาวสดคงยังไม่พร้อมออกเรือน ใจอยากจะป่าวประกาศให้เล่าลือกันไปเลยว่านางอยากจะสมรสเมื่ออายุครบยี่สิบเจ็ดปี ‘แต่ผู้คนในยุคนี้ จะรับกันได้ไหมล่ะ’ “เสี่ยวจวง เจ้าไปเตรียมอุปกรณ์วาดภาพให้ข้าเร็ว”