“เสี่ยวจวง เจ้าไปเตรียมอุปกรณ์วาดภาพให้ข้าเร็ว”
‘หือ?’ “อะไรนะเจ้าคะ” ในคำถามนั้นมิใช่ว่านางหูฝาด เพียงแต่สาวใช้อย่างเสี่ยวจวงไม่แน่ใจ ว่านางฟังผิดหรือฟังถูก
“ก็ข้าซื้อกระดาษและดินสอสีมาจากร้านค้า ข้าก็ต้องวาดภาพ เจ้ายังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก” เดินนำหน้าสาวใช้ของตนไปยังศาลากลางสวน ที่ตรงนั้นมีสตรีงดงามนั่งปักผ้าอยู่ก่อนแล้วถึงสองคน บริเวณผืนหญ้าสีเขียวชอุ่มใจกลางสวนสวยมีเด็กน้อยวัยกำลังหัดวิ่งสองคนเล่นด้วยกันอยู่ตรงนั้น ความเข้าใจส่วนตัวของนางที่กำลังพยายามศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของร่าง จนรู้มาว่า สตรีที่เป็นนาย ก็จะมีบ่าว เหมือนเช่นสตรีทั้งสามที่ดูมากวัยกว่านางแต่มิสูงวัยกว่าท่านแม่ เดาได้ไม่ยากว่าทั้งหมดนั้นคงมีตำแหน่งอนุ ‘แต่จะชื่ออะไรกันบ้าง…นั่นล่ะที่กังวล’
เสี่ยวจวงตาโต °∆° “คุณหนูวาดงามรึไม่เจ้าคะ” จะกล่าวว่าไม่เคยเห็น ก็กลัวฝ่ามืออรหันต์จากคุณหนู นางจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ “มิใช่ มิใช่ วาดได้หรือเจ้าคะ”
ยืนขึ้นและเท้าสะเอว “เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้วนะเสี่ยวจวง” ในอดีตเป็นเช่นไร เฉินลี่หลินไม่รู้ รู้แค่เพียงตอนนี้นางจะเป็นในแบบที่นางเป็นเท่านั้น เมื่อนางเดินไปจนถึงศาลา จึงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง สองตามองไปยังสาวใช้ที่หอบหิ้วทั้งกระดาษและตะกร้าใส่อุปกรณ์การวาดด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ก็นึกขัน หากเมื่อครู่นางไม่อารมณ์เสียเพราะคำสบประมาทของสาวใช้ นางคงช่วยอีกฝ่ายหิ้วของสารพัดอย่างมาบ้างสักชิ้นสองชิ้น แสงแดดยามสายสาดส่องลอดกิ่งไม้มาให้เห็นรำไร แต่นั่นมิได้ทำให้บรรยากาศภายในจวนสกุลเฉินร้อนแม้เพียงนิด ในทางกลับกันมันยิ่งเย็นสบายเมื่อมีลมพัดผ่าน เด็กหญิงหนึ่งคนเด็กชายสามคนในวัยไม่เกินห้าหนาววิ่งหยอกล้อกันมาถึงศาลา เฉินลี่หลินยิ้มให้กับความธรรมชาตินั้นพร้อมกับสังเกตเหล่าเด็กน้อย ทุกคนสวมอาภรณ์งดงามสมวัย ไม่ไกลกันนัก เป็นกลุ่มอนุของท่านพ่อ ‘แล้วนางต้องทักทายเหล่าอนุว่าอย่างไรล่ะ!’ “เสี่ยวจวง”
เสี่ยวจวงผู้กำลังมาถึงศาลาวางกระดาษไว้บนโต๊ะ พร้อมกับขานรับ “เจ้าคะ”
“ด้านหลังนั้นคืออนุ?”
คำว่าด้านหลังทำให้สาวใช้ผู้ภักดีต้องหันกลับไปมอง จนพบคุณหนูลู่ตาน คุณชายอี้หนาน คุณชายห้าวหย่ง คุณชายหวอต้า รวมทั้งเหล่าอนุ “เจ้าค่ะ อนุจูหลิง อนุฟางฉิง อนุฟู่หลัน คุณหนูจำไม่ได้รึเจ้าคะ”
เจ้าตัวส่ายหน้า ไม่สนใจสาวใช้ที่ดูเหมือนจะสงสัยนางหนักขึ้นกว่าเดิม แต่แล้วอย่างไร “ข้าและอนุทุกคนของท่านพ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่”
เสี่ยวจวงเงียบไปเหมือนใคร่ครวญคำตอบ ความสัมพันธ์ที่ดี ถ้าหมายถึงความรักใคร่ปรองดอง สนทนาหัวเราะกัน นั้นย่อมไม่มี แต่ถามว่าทะเลาะกันรึ…ก็ยังไม่เคย “ไม่่ได้ดีมากและไม่ได้แย่มากเจ้าค่ะ”
“อ่อ” ในความคิดของนาง ‘นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ระดับกลางๆ เช่นนั้นแล้วการทักทายตามมารยาทน่าจะเป็นเรื่องที่สมควรแล้วกระมัง’ มือบางยกขึ้นกวักเรียกเด็กน้อยที่นับได้ว่าเป็นน้องต่างมารดา “พวกเจ้ามาหาพี่ใหญ่เร็วเข้า” ^^ ท่าทางคล้ายจะอ้าปากค้างของเด็กทั้งสี่คนอยู่ในสายตาของนางทั้งหมด ไม่นับรวมสามอนุที่หยุดยืนอยู่กับที่ แต่เดิมเป็นอย่างไรก็ให้มันผ่านไป นางคนใหม่อาจจะเข้าถึงง่ายกว่าและไม่ไล่ตามบุรุษดังเก่าก่อน สำคัญคืออยู่ติดจวนมากกว่าเดิมเพราะนางยังมีภาระกิจให้ทำ
เหล่าน้องๆ วิ่งเข้าหาเฉินลี่หลินด้วยใบหน้าที่แสดงความรู้สึกต่างกัน บางคนยิ้ม บางคนทำหน้าเฉยและมีเพียงเฉินลู่ตานเท่านั้นที่วิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของนาง พร้อมกับทักทาย ในความไร้เดียงสาส่งผ่านเต็มใบหน้าน่ารัก แก้มเนียนใสของเด็กน้อยถูกผู้เป็นพี่สาวเช่นนาง หอมมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงหัวเราะของสองสตรีต่างวัยดังก้องไปทั่วสวนกว้างเรียกสายตาทุกคนในทั่วบริเวณนั้นราวกับมันคือสิ่งอัศจรรย์มากที่สุดในจวน เหล่าน้องชายต่างมารดาพลันผ่อนคลายสีหน้า จากบึ้งตึงเฉยชากลับกลายมาเป็นรอยยิ้มและหลังจากนั้นเพียงหนึ่งเค่อ ศาลาร่มเย็นกลางจวนสกุลเฉินได้กลายเป็นพื้นที่สอนวาดภาพโดยมีคุณหนูใหญ่อย่างเฉินลี่หลินแสดงเป็นอาจารย์ผู้เก่งกาจคอยสอนเหล่าน้องๆ วาดเขียนท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน
“ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะได้มาเห็นภาพทุกคนรักใคร่ปรองดองกันเช่นนี้” จางฮูหยินผู้เดินตามเสียงหัวเราะกังวานใส จนมาถึงศาลา และสิ่งที่เรียกสายตาของนางคือภาพที่บุตรสาวผู้มิเคยหยอกล้อกับน้องสาวน้องชาย ราวกับเมื่อก่อนหน้าที่เคยวางเฉยไม่เคยเกิดขึ้น นับว่าเรื่องที่บุตรสาวเลิกยุ่งเกี่ยวกับบุรุษสกุลโหยวคงมีผลกับความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย ถึงเรื่องนี้จะเป็นเรื่องดีแต่ก็มิได้หมายความว่านางจะเบาใจลงได้ นั่นเพราะข่าวลือกับบุรุษสกุลโหยวนั้นเปลี่ยนมาเป็นข่าวลือกับบุรุษสกุลหวัง อาจจะต่างกันก็แค่เพียงกับบุรุษสกุลหวังนั้น มาหาบุตรสาวของนางจนถึงที่
“ฮูหยินขอรับ คุณชายหวังเฟยหรงมาขอพบคุณหนูขอรับ” พ่อบ้านไห่เดินเข้ามาแจ้งข่าวในขณะที่คุณชายผู้นั้นยังคงนั่งรออยู่ในห้องโถงของเรือนหลักตามมารยาทที่ดี
‘นั่นอย่างไร’ จางหลันฮัวผินใบหน้ากลับไปยังเรือนหลัก จุดประสงค์ของคุณชายหวังนั้น ตัวนางมิอาจรู้ได้ ถามว่าบุรุษผู้นี้จะมาเกี้ยวพาบุตรสาวของนางและเป็นคนรักกัน ก็มิอาจจะใช่ ในเมื่อทั้งโหยวซานซุนและหวังเฟยหรงนั้นเป็นสหายกัน แต่หากการเข้าหาบุตรสาวของนางนั่นหมายถึงการทำร้าย ตัวนางก็พร้อมจะปกป้องบุตรสาวของตนด้วยอำนาจฮูหยินของรองแม่ทัพนี่ล่ะ “ไปเชิญคุณชายหวังเข้ามาที่นี่”
“ขอรับ” พ่อบ้านไห่ เดินไปจัดการตามคำสั่งทันที
^^ หวังเฟยหรงผู้เดินตามพ่อบ้านเข้ามาจนถึงศาลากลางจวนแล้วทันได้เห็นเฉินลี่หลินถือดินสอปลายแหลมวาดภาพลงบนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ ในภาพนั้นเป็นภาพต้นไม้ที่อยู่ในสายตามองเห็น จะบอกว่ามันเหมือนจริงมากเสียจนเขารู้ว่าเป็นต้นไม้ต้นไหนก็คงไม่ผิด สำคัญคือเขาชอบการวาดของนาง! “พี่เพิ่งรู้ว่าคุณหนูเฉินของพี่มีความสามารถในการวาดภาพ”
เฉินลี่หลินละจากการระบายเงาสีดำทางด้านหลังของต้นไม้ในภาพวาดเพื่อหันกลับมามองบุรุษคนใหม่ที่เพิ่งยืดอกรับสมอ้างแสดงเป็นคนรักปลอมๆ ของนาง ‘หวังเฟยหรงมาทำไม?’ คำถามนี้ผุดขึ้นในใจเพียงครู่ ก่อนที่นางจะแสร้งยิ้มแล้วตอบคำ ^^ “เป็นความสามารถที่ข้ามิเคยบอกใครมาก่อนเจ้าค่ะ พี่เฟยหรงหาที่นั่งเอาเองนะเจ้าคะ” ในความไม่รับแขก เฉินลี่หลินยังคงสอนน้องๆ อีกสี่คนของนางต่อไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ห่างออกไปไม่ไกล นางเห็นเหล่าอนุผู้เป็นมารดาของน้องๆ กำลังสั่งให้สาวใช้ขยับเสื่อออกไปให้ห่างจากศาลาอีกหลายช่วงตัว ความมีมารยาทที่ดีของทุกคน เป็นที่พอใจของนางมากทีเดียว ถึงแม้การที่หวังเฟยหรงจะมาที่นี่เพราะข่าวลือแต่ทุกคนในจวนก็มิได้รับรู้ว่าระหว่างนางและบุรุษสกุลหวังมีข้อตกลงอะไรกัน เหล่าอนุทั้งสามจึงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายตามมารยาทที่ดีของเจ้าบ้านนั่นเอง ชั่วขณะหนึ่งในระหว่างที่กำลังตั้งใจลงสีของต้นไม้ นางกลับฉุกคิดได้ว่า นางควรจะวาดภาพสตรีคนร้ายผู้นั้นเดี๋ยวนี้!