"คุณหนูเฉินชมชอบข้าเกินกว่าจะถอนใจได้”
เฉินลี่หลินสบถ “เหอะ!” พร้อมกับลุกขึ้นประจันหน้าโดยไม่สนกิริยาของสตรีในห้องหอ นางเท้าสะเอว เอียงคอเล็กน้อย จ้องบุรุษสกุลโหยวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างนึกชัง ในความหล่อเหลาของอีกฝ่ายนั้นนางไม่เถียง แต่จะเถียงเพราะเขากล้าดูถูกนางนี่ล่ะ “จะให้ข้าไปขอโทษเจ้า ฝันไปเถอะโหยวซานซุน ตัวข้าน่ะถ้าลองได้ชังน้ำหน้าใครสักคนแล้ว ข้าก็จะชังไปจนวันตาย ในอดีตแม้ข้าจะเคยติดตามเกี้ยวพาเจ้าเพราะหลงผิด ข้าก็จะลบมันออกไปจากหัวสมองให้เร็วที่สุด” ชี้นิ้วไปทางหน้าประตู “กลับไปได้แล้ว จวนนี้ไม่ต้อนรับเจ้า ออกไปเลย!”
จางหลันฮัวหันหน้าหนีไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นจิบชา ^^
หวังเฟยหรงหัวเราะเสียงทุ้ม “หึหึหึ” ^^
ด้านโหยวซานซุนนั้นตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ เขามองสหายร่วมสำนักศึกษาของตนสลับกับสตรีที่ออกปากไล่เขา พลางพูดเสียงลอดไรฟัน “พวกเจ้ารวมหัวกันกลั่นแกล้งข้าให้อับอายใช่หรือไม่ หวังเฟยหรง ใยเจ้ากล้าทำเช่นนี้ เจ้าเป็นสหายข้ามิใช่รึ”
^^ เจ้าของนามยังคงยิ้มส่งให้สหายร่วมสำนักศึกษา พลางเอ่ยแก้คำ “เรื่องเป็นสหายก็ส่วนสหาย มิได้เกี่ยวกับเรื่องสตรี” จะบอกว่าก่อนหน้านี้เขามิเคยยินดีที่น้องสาวมารักชอบกับโหยวซานซุนก็เถอะ ก็อย่างที่เขาว่าเรื่องความรักมันคนละเรื่องกับการเป็นสหาย “คุณหนูเฉินแค่เลิกรักเจ้า แล้วใยเจ้าจึงมาโกรธข้า มิใช่ว่าดีแล้วหรอกรึที่เจ้ากับน้องสาวข้าจะได้สมหวังในความรักโดยมิมีผู้ใดขัดขวาง” แม้อยากจะให้น้องสาวได้บุรุษที่ดีกว่านี้ แต่เขาก็มิอาจบังคับจิตใจของผู้ใดได้ ส่วนเรื่องของเฉินลี่หลิน ก็ตามที่ได้ตกลงกับนางนั่นล่ะ หนำซ้ำการแสร้งคบกับนางในตอนนี้ มันยังมีเรื่องดีอีกหนึ่งเรื่องที่เขาหวังไว้?
โหยวซานซุนได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินออกไปทันทีโดยไร้คำกล่าวลา คิดไม่ตกกับคำสั่งของบิดาที่ว่า ‘เขาต้องมาขอโทษเฉินลี่หลินให้ครบเจ็ดวัน นี่ขนาดวันแรกยังอับอายได้ขนาดนี้ แล้ววันอื่นๆ เล่า จะไปเหลือสิ่งใดบนใบหน้าเขาที่จะไม่อายได้’ “ท่านพ่อนะท่านพ่อ ข้าจะไม่มาเหยียบจวนสกุลเฉินอีกแน่” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเดินออกไปจนถึงหน้าจวน
ด้านเฉินลี่หลินที่มองภาพสหายสนทนากันตั้งแต่แรกพร้อมกับจับสังเกตไปด้วย หากพวกเขาเป็นสหายกันอย่างที่ใครๆ ว่า มันมีทางเป็นไปได้ที่เรื่องทั้งหมดจะเป็นเพียงการจัดฉากเพื่อตลบหลังนางให้เจ็บแสบ แต่นอกจากจะไม่พบพิรุธอันใด สองบุรุษนั้นยังทำท่าราวกับมิใช่คนคุ้นเคยหรือสนิทสนมกัน...เช่นนั้นในคำว่าสหายของยุคสมัยนี้ มันตีความว่าอย่างไรกันแน่
“ราชเลขาโหยวช่างไร้มารยาทเกินจะกล่าว” จางหลันฮัวมองตามหลังบุรุษรุ่นลูกไปพร้อมกับโล่งใจที่บุตรสาวคิดได้เสียที…แต่ก็นั่นล่ะ ยามนี้นางมิได้ลืมว่าคุณชายสกุลหวังยังคงนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยในจวน ซ้ำก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายเดินเข้ามา ยังถามหาเพียงบุตรสาวเฉินลี่หลิน ข่าวจากสาวใช้ที่มาแจ้งถึงข่าวลือเรื่องที่ลี่หลินและคุณชายหวังคบหากันยังคงติดอยู่ในหัวไม่จางหาย บทสรุปของบุตรสาวจะเป็นอย่างไร ผู้เป็นมารดาคงปล่อยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองโดยที่นางทำได้แค่เฝ้าดู “แม่จะเข้าเรือนแล้วนะลี่หลิน มีเรื่องอันใดต้องสนทนากับคุณชายหวังก็จัดการให้เสร็จเสียเล่า”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
หวังเฟยหรงลุกขึ้นคาราวะจางฮูหยินอย่างมีมารยาท “ขอบคุณจางฮูหยินขอรับ” เขารอจนสตรีสูงวัยเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะยิ้มในหน้า ^^ เอ่ยเย้าสตรีรุ่นน้อง “ไล่โหยวซานซุนไปแล้ว หวังว่าจะไม่ขับไล่ข้าที่เจ้าเอ่ยอ้างว่าเป็นคนรักใช่หรือไม่”
L เฉินลี่หลินหน้าบึ้ง “อาจจะไม่ขับไล่ แต่จะขอยกเลิกข้อตกลงโดยที่ข้ามิต้องจ่ายค่าจ้างให้ท่านและท่านก็ไม่ต้องเสียเวลาด้วย”
^^ “อย่างไร?” ในรอยยิ้มของหวังเฟยหรงนั้นมีความแกล้งไม่เข้าใจ (กอดอก เอียงคอมอง) ตาคมมองทั่วร่างของอีกฝ่ายเมื่อนางเผลอ ถามว่าเขาเคยพบเฉินลี่หลินแบบเป็นส่วนตัวหรือไม่ ก็ตอบได้ว่าไม่ แต่เขาจำได้ว่ายามที่อีกฝ่ายยังเยาว์วัยกว่านี้ นางดูเหมือนจะเป็นสตรีน่ารักน่าเอ็นดู ซ้ำยังเป็นสหายคนสนิทของหวังซินเจียอีกด้วย เพราะทั้งคู่ต่างก็ร่ำเรียนในสำนักศึกษาเดียวกัน แข่งขันกันเป็นประจำ ‘ก็ไม่รู้ว่าไปแข่งขันกันอย่างไร จนบานปลายคล้ายเกลียดชังและแตกแยก…ไม่เข้าใจจริงๆ’
เฉินลี่หลินลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว เงยหน้ามองสบกับบุรุษที่นางก็ยอมรับว่าอีกฝ่ายนั้นหล่อเหลากว่าโหยวซานซุนมาก ‘แต่นั่นมิใช่ประเด็น!’ ในเมื่อยามนี้อีกฝ่ายคือพี่ชายของหวังซินเจีย สตรีที่ดูท่าว่าจะมิชอบหน้านาง แล้วจะให้นางไปแกล้งเป็นคนรักกับคุณชายหวังได้อย่างไร “ก็อย่างที่ข้าพูด เมื่อวานนี้ข้าหอมแก้มท่าน ข้ามิได้ตั้งใจและมิคิดถือสาหาความให้ท่านรับมาผิดชอบ ส่วนเรื่องข่าวลือระหว่างข้ากับท่านที่บ่าวชายของสกุลหวังไปป่าวประกาศเล่าลือเมื่อยามเฉิน (07.40) นั้น ข้าก็มิคิดสนใจและกล่าวโทษ ทั้งหมดที่กล่าวไป ข้ายอมเสียหายแต่เพียงผู้เดียว”
“หืม?” เลิกคิ้วมองสบใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ^^
“ข้ายอมเสียหายและขอยกเลิกข้อตกลงทั้งหมดเมื่อวาน ข้าจะไม่จ้างวานท่านแล้วคุณชายหวัง” เอ่ยเสียงเบา
หวังเฟยหรงแสดงออกทางใบหน้าให้เฉินลี่หลินได้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจ ผ่านไปแค่หนึ่งคืนคุณหนูสกุลเฉินคงคิดได้ว่าการเสียเบี้ยหวัดในคราวนี้อาจทำให้เรื่องราวมันยืดเยื้อ ซ้ำในภายหน้าหากหมดเวลาที่ตกลงกันไว้ นางอาจมิมีบุรุษใดมาสู่ขอเลยก็เป็นได้ ไหนจะคำพูดของนางนี่อีก “อ่า…คุณหนูเฉินพลิกลิ้นรวดเร็วยิ่งนัก ข้ารึก็อุตส่าห์อยากจะช่วยเจ้า อันที่จริงแล้วแผนการณ์ของเราทั้งคู่มันเดินไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว ตัวเจ้าเสียชื่อเสียงในขณะที่ข้าออกตัวว่ามีเจ้าเป็นคนรัก ผ่านไปเพียงคืนเดียวจะให้กลับคำไปป่าวประกาศว่าเรามิได้คบหากันมันก็ดูกระไรอยู่” ยิ้มกริ่ม ^^ “ข้าดูอัปลักษณ์กว่าโหยวซานซุนรึ เจ้าจึงตัดสินใจทิ้งตัวช่วยอย่างข้ารวดเร็วเช่นนี้”
‘อะไรของเขาน่ะ’ “ไม่ใช่!” ใจอยากจะเสยผมเหมือนที่เคยทำในชาติก่อน แต่ติดที่ว่าผมของนางก็มีเพียงหน้าม้าและสองแกละ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือสะบัดหน้าหนี