“หะ หอมแก้ม รึเจ้าคะ”
ประเด็นหลักแค่เรื่องหอมแก้มกัน มิใช่เรื่องที่น่ากังวลเท่าการที่ผู้คนเอาไปพูดกันปากต่อปาก จากที่คิดจะยกเลิกการจ้างวานอีกฝ่ายให้มาเป็นคนรัก กลับกลายเป็นว่านางอาจจะต้องเลยตามเลยและอยู่เฉยๆ ไปก่อน “ใช่ เรื่องของข้ากับคุณชายหวังเกิดขึ้นท้ายตลาด แต่เหตุใดเสียงเล่าลือเรื่องข้าเป็นคนรักกับเขาจึงลามไปทั่วเมืองหลวงว่องไวปานนี้”
เสี่ยวจวงที่ก่อนหน้านี้เดินทางไปรับเสื้อผ้าสตรีเข้าสู่สกุลเฉิน เกิดบังเอิญไปได้ยินเสียงเล่าลือ ซึ่งผู้กระทำเป็นบ่าวชายจากจวนสกุลหวังนั่นเองที่เที่ยวเดินไปบอกเสียทั่ว ยามที่ได้ยินทุกคำบอกเล่านั้น สาวใช้ผู้ภักดีอย่างเสี่ยวจวงถึงกับอดรนทนไม่ไหว นางเข้าไปต่อว่าบ่าวชายว่าให้หุบปากเสีย อย่าได้เอ่ยพาดพิงถึงคุณหนูของนางเป็นอันขาด บ่าวผู้นั้น แม้สงบปากสงบคำ แต่ยังกระซิบกระซาบให้นางได้ยินว่า ‘ก็คุณหนูของเจ้าต้องการเช่นนี้มิใช่รึ’ จบคำนั้น นางถึงกับต้องรีบวิ่งกลับจวนทันที!! “บ่าวชายสกุลหวังเป็นผู้กระทำเจ้าค่ะ บุรุษผู้นั้นบอกว่า มันคือความต้องการของคุณหนู”
‘โอ๊ย!!สรุปคือบ่าวชายสกุลหวังเป็นผู้ไปปล่อยข่าวลือ ซึ่งการที่บ่าวจะกล้าทำการนี้ได้ ไม่พ้นต้องเป็นคุณชายหวังที่สั่งให้ทำ!’ “มันก็ใช่” ทำหน้าบึ้ง “คุณชายหวังนะคุณชายหวัง เขารู้ว่าข้าเป็นคู่แข่งกับน้องสาวของเขาก็ยังตอบตกลงทำตามแผนการณ์นั่นอีก เขาคงมีแผนการอะไรแน่ๆ ไม่ได้ๆ รีบส่งคนไปแจ้งแก่คุณชายหวัง ว่าข้าขอยกเลิกข้อเสนอทั้งหมด ส่วนเรื่องเล่าลือที่บ่าวของเขาจัดการไปแล้ว ข้าไม่ถือสา”
เสี่ยวจวงหน้าเสีย “อีกแล้วรึเจ้าคะ” ในถ้อยคำเล่าลือ…ละจากหนึ่งบุรุษที่เฝ้าติดตามหลงใหลมาแรมปีแล้วมาหลงใหลอีกหนึ่งบุรุษผู้เป็นสหายของบุรุษคนเดิมแค่เพียงหนึ่งคืน ‘เช่นนี้แล้วคุณหนูของนางจะมีบุรุษใดกบ้ามาสู่ขออีก?’
“อะไรคืออีกแล้ว?” เฉินลี่หลินทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าชีวิตเดิมของเจ้าของร่างเพิ่งบอกปัดหนึ่งบุรุษไปก่อนหน้า และกับบุรุษคนที่สองนี้ ตัวนางมีสติเต็มร้อยในการกระทำไร้ยางอายตามที่ข่าวเล่าลือ มันจะผิดก็แค่เพียงเรื่องที่นางมิเคยรู้ว่าพวกเขาคือคนรู้จัดกกัน “ข้าพร้อมรับมือกับเสียงเล่าลือครั้งที่สองสามสี่ของข้า ไปเถิด นำข่าวไปแจ้งกับคุณชายหวังเร็วๆ” เจ้าตัวโบกมือไล่สาวใช้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บ่าวในจวนวิ่งเข้ามาแจ้งว่ายามนี้มีคุณชายสกุลโหยวและคุณชายสกุลหวังมาขอเข้าพบ
“จางฮูหยินนั่งรออยู่ด้วยขอรับคุณหนู ท่านสั่งมาว่าให้คุณหนูรีบออกไปขอรับ”
:( “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ” ‘ความวัวยังไม่ทันหาย ความมากควายก็โผล่มาแล้ว!’ สตรีต่างภพมองไปรอบทิศเพราะนางหวังว่าตัวเองจะเห็นวิญญาณเจ้าของร่างออกอาการชี้นำอีกครั้ง…แต่นอกจากจะไม่มี บ่าวชายยังยืนกดดันให้นางลุกออกจากที่นั่งไวๆ เฉินลี่หลินคนใหม่ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “เฮ้อ! ไปกันเถอะ” พร้อมกับเดินลงจากเรือนเล็กมุ่งตรงไปยังเรือนหลักหลังใหญ่ที่มีห้องโถงกว้างไว้รองรับแขกได้มากกว่าสิบคน หากนึกย้อนกลับไปในภพเดิมหมายถึงห้องเช่าของนาง คงมีเพียงโซฟาสำหรับคนสองคนอยู่หนึ่งตัวกับโต๊ะกลางสำหรับวางเครื่องดื่ม หากมีใครมาเพิ่มในส่วนที่เหลือก็คงต้องนั่งบนพื้นเท่านั้น ‘เอาเถอะ…คิดเรื่องชาติภพเดิมไป ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากนางยังคงอยู่ในร่างคุณหนูเฉินผู้หมดบุญไปแล้วคนนี้’
สองขาเรียวบางเดินตามเส้นทางภายในจวนที่มีบ่าวชายเมื่อครู่ เดินนำอยู่ด้านหน้า ในความร่มรื่นเย็นสบายตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ขับกล่อมหัวใจของเฉินลี่หลินให้สงบลงยิ่งกว่าเดิม ‘การเผชิญหน้า’ มิใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นเทียบเท่ากับการที่นางไม่รู้จักใครเลย จึงทำให้เรื่องมันบานปลาย แต่เอาเถิด การที่นางกล่าวอ้างถึงคุณชายสกุลหวังต่อหน้าคุณชายสกุลโหยวซึ่งนับเป็นสหายกันก็คล้ายกับการหักหน้าอีกฝ่ายที่นางเคยตามติดได้ไม่มากก็น้อย ยิ่งคุณชายหวังออกตัว ส่งบ่าวชายไปป่าวประกาศจนทั่วเมืองหลวง นั่นหมายความว่าเขาก็คงพร้อมจะปะทะกับสหายของตัวเอง…รึเปล่า? และถ้าหากมันจะแก้ไขหรือยกเลิกไม่ได้ ก็ค่อยไปเจรจานอกรอบกับคุณชายสกุลหวังอีกที “ลี่หลินคาราวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ละไว้ในการทักทายสองบุรุษและยังคงรอให้มารดาของนางเอ่ยขึ้นก่อน
“ลี่หลิน มานั่งกับแม่มา” จางหลันฮัวบอกบุตรสาวพลางตบที่ว่างด้านข้างของตนเอง ภายใต้ใบหน้างดงามสมวัย แต่ใครจะรู้บ้างว่ามารดาเช่นนางกังวลแค่ไหนกับการที่สองบุรุษบุกมาหาบุตรสาวของนางจนถึงจวน หนึ่งบุรุษนั้นบุตรสาวเคยตามติด แต่อีกฝ่ายมิเคยสนใจใยดีจนถึงขึ้นต้องมาหากันได้ อีกหนึ่งบุรุษแม้ภาษีดีกว่าอีกคน…ยิ่งไม่เคยได้วนเวียนมาพบเจอในทุกกรณี ใยวันนี้จึงมาขอพบจนถึงจวน!
เฉินลี่หลินก้มหน้าเดินผ่านสองบุรุษไปนั่งเคียงข้างมารดาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ยินดีที่ได้พบคุณชายหวัง คุณชายโหยว” ซึ่งคนหลังนี้ นางหาได้ยินดีไม่ ในทางกลับกัน ใจนางอยากจะไล่เขาไปจากจวนเสีย “พวกท่านมีธุระอันใดกับข้ารึ”
หวังเฟยหรงอมยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ^^ “ข้ามิได้มีธุระอันใด แต่มาเพราะคำนึงถึงและอยากพบเจ้า” คำพูดนั้นเรียกสีหน้าเย้ยหยันจากสหายข้างกายของเขาได้เป็นอย่างดี ถามว่าทำไมเขาจึงตกปากรับคำกับนางที่เป็นคู่แข่งของน้องสาว คำตอบคงเป็นไม่รู้ ‘หรือเขาแค่อยากหาอะไรสนุกๆ ทำเพื่อฆ่าเวลาก่อนจะเข้าไปรายงานตัว ซึ่งมันก็นานกว่าสองเดือน’
ในคำเกี้ยวพานี้ หากมิมีข้อตกลงกันไว้เมื่อก่อนหน้า เฉินลี่หลินคงเผลอเคลิ้มฝันว่าอีกฝ่ายพึงใจนางเป็นแน่แล้ว “อ่อ” หน้าเคร่งขรึมลงอัตโนมัติ ก่อนจะปรับสภาพอารมณ์ของตนแล้วแสร้งนิ่งเฉย เอ่ยถามอีกหนึ่งบุรุษ “คุณชายโหยวเล่า มีธุระอันใดรึเจ้าคะ”
“ข้ามาเพราะท่านพ่อสั่งให้มา” ในความเกรงใจต่อฮูหยินเอกที่นี้ร่วมอยู่ในห้องนี้ ทำให้โหยวซานซุนต้องเอ่ยตามมารยาท
“จำได้ว่าข้าเคยบอกแล้วมิใช่รึ ว่าเราอย่าได้ข้องแวะกันอีก หรือข้าต้องเอ่ยซ้ำว่าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า”
พรึ่บ! โหยวซานซุนผุดลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ความอับอายลามเลียไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ในร่มผ้า ในอดีตที่ผ่านมาไม่พ้นสามวัน เฉินลี่หลินยังวิ่งไล่ตามเขา มอบของขวัญให้มิเคยว่างเว้น เขาเคยไล่นางด้วยถ้อยคำร้ายกาจ นางยังมิเคยหายหน้า แต่เหตุใดวันนี้จึงกล้า ‘หรือนางกำลังคิดว่าตนเองเหนือกว่าเพราะเขามาหานางก่อน จึงคิดว่าเขาหลงรักนาง!’ “เจ้าชมชอบข้ามานานเกินกว่าที่จะแสร้งปดข้าได้” ความโกรธถูกกดลงจนลึก ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำ ผิดไปจากที่บิดาสั่ง “เอาเถอะ ข้าให้โอกาสเจ้าถึงแค่วันนี้ ให้มาขอโทษข้าที่จวนสกุลโหยวเสีย” เขาสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นสตรีสูงวัยผู้เป็นฮูหยินของจวนจ้องหน้าโดยปราศจากรอยยิ้ม เขาจึงเอ่ยนอบน้อมต่ออีกฝ่ายตามมารยาท “ขออภัยจางฮูหยิน ข้าอาจจะพูดว่าร้ายบุตรสาวของท่านไปบ้าง แต่ทุกคำนั้นล้วนเกิดขึ้นจริงขอรับ คุณหนูเฉินชมชอบข้าเกินกว่าจะถอนใจได้”