19
ตลาดนัดพื้นบ้าน
สามล้อพ่วงข้างขับปาดหน้าจักรยานเบรกเอี๊ยดมาจอดดับเครื่องยนต์บริเวณลานโล่งแจ้ง ใบหน้าพริ้มเพราของกระดังงาฉาบฝุ่นดินแดงจนมอมแมม ผมยาวสลวยถูกเกล้ามัดมวยขึ้นหลุดลุ่ยเหมือนคนหนีตายเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรสักอย่าง ตรีศูลตวัดร่างลงมายืนยืดอกอย่างสบายใจ
“ตายแล้วลืมเสียสนิทเลยว่าจะเอาหยกมาขาย”
“หืม...ลุงขาลให้หยกเอ็งไม่ใช่ว่าเอ็งโดนเจาะไข่แดงแล้วหรอ แม่ข้าเล่าให้ฟังว่าคราวก่อนที่ลุงพลาดไปเจาะไข่แดงน้าเวียงหวันก็ให้ทรัพย์สมบัติเป็นหีบจนเป็นเศรษฐีหน้าใหม่เชียว” ตรีศูลหรี่หางตามองพิรุธจับผิดสหาย
“ถ้าเอ็งโดนเจาะไข่แดงเมื่อไหร่ก็ขูดเลือดขูดเนื้อลุงข้าให้มากหน่อย หยกนิดหน่อยจะไปคุ้มค่ากระไร เอามาเยอะๆ ลุงข้าน่ะรวยใช่เล่นเก็บไว้ก็ไม่เคยใช้หรอก”
“ยังย่ะ ฉันลงทุนลงแรงบีบนวดให้ลุงขาลของนายจนเส้นเอ็นในมือฉันมันร้องห่มร้องไห้อยู่หลายรอบแล้วเนี่ย แต่ไม่มีตังอ่ะยืมก่อนได้มั้ย ขายหยกได้เดี๋ยวใช้คืน”
“ไม่มีปัญหา แต่อย่าลืมคำที่ข้าเตือนล่ะว่าถ้าโดนเจาะไข่แดงเมื่อไหร่...”
“หุบปาก!” กระดังงาถลึงตาใส่ตรีศูล เรื่องน่าไม่อายพวกนี้ให้พญาขาลรับรู้เพียงผู้เดียวก็เกินพอ ถึงแม้ตรีศูลจะเป็นเพื่อนเธอแต่ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็เป็นผู้ชาย พูดออกมาโจ่งแจ้งแบบนี้เธอก็พอที่จะรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณสองข้างแก้ม
“หากเอ็งไม่หยุดพล่ามข้าจักออกไปฉีกปากเอ็งเสียให้เข็ด พูดกระไรไม่รู้จักขอบเขต!” เสียงข่มขู่ของเตียนคำลอยละล่องออกมาจากอบเงิน
“เตียนคำก็มาด้วยหรอนี่ ปากดีแบบนี้ระวังไว้เถิดเดี๋ยวจะโดนข้าจับทำเมียเข้าสักวัน อย่ามาร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนขอให้ข้าปล่อยก็แล้วกัน ผีกะก็ผีกะเถิดข้าหน้ามืดตามัววันใดก็วันนั้นแล” ตรีศูลผิวปากอารมณ์
“วิปริต!” เตียนคำแหวใส่
ตลาดนัดพื้นบ้านเป็นตลาดนัดที่ผุดขึ้นใหม่วนเวียนจัดตั้งไปตามหมู่บ้านอาทิตย์ละวัน ทุกวันศุกร์จะมาบรรจบ ณ หมู่บ้านคุ้มงาม สินค้าในตลาดนัดพื้นบ้านเป็นของดีที่มีจำเพาะในหมู่บ้านนั้น ทั้งรายการอาหาร พืชผักท้องถิ่นและจำพวกเนื้อสัตว์ ข้าวของเครื่องใช้และเครื่องนุ่งห่ม สาวน้อยพลัดถิ่นตื่นตาตื่นใจมองซ้ายแลขวาก็มีแต่สิ่งของแปลกตาที่หาไม่ได้ในชุมโจรหมานคำและระแวกใกล้เคียง กระดังงาหยิบนู้นจับนี่ซื้อของเต็มไม้เต็มมือพะรุงพะรัง
กระดังงาเดินชิดสนิทสหายใช้แผ่นหลังกว้างหลบเลี่ยงสายตารุ่มร่ามของชายหนุ่มและชายฉกรรจ์ทั้งหลาย จำพวกที่ใจกล้าหน่อยก็เดินเอาเนื้อตัวมาบดเบียดร่างระหงหอมกรุ่นของกระดังงา ตรีศูลจึงแจกหมัดแจกมวยใส่ผู้กล้าเหล่านั้นเนื้อแตกปากแตกสะบักสะบอมกลับไป
“พวกผีหิวโซเอ็งอย่าไปใส่ใจเลย ขืนพวกมันกล้ามาแหยมเอ็งอีกเดี๋ยวข้าจะแจกส้นตีนให้พวกมันอิ่มท้องเอง คงเห็นเอ็งหน้าแปลกกระมัง”
“แปลกหน้าย่ะ!” กระดังงารีบแก้ไขคำพูดให้
“เรามันเด็กเปรตเหมือนกันย่อมต้องช่วยเหลือกันเป็นไงข้าดูพึ่งพาได้ใช่หรือไม่” ตรีศูลยืดอกผ่ายไหล่ผึ่ง
ขณะที่กระดังงากุมขมับปวดหัวส่ายหน้าละเหี่ยใจเล็กน้อย เพื่อนเพียงคนเดียวพึ่งพาก็พึ่งพาได้อยู่หรอก แค่ความคิดความอ่านเหมือนจะลากเธอไปเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มจิ๊กโก๋เสียให้ได้ เจ้าตรีศูลเสมือนว่าตนเองอยากจะเป็นจอมอันธพาลสร้างปัญหาอันดับหนึ่งของสถานที่แห่งนี้เต็มประดา
“ดีแต่ใช้กำลัง!” เตียนคำพูดโพล่งขึ้นมา
“กระดังงาข้าจับผีเลี้ยงเอ็งกดลงกับเตียงได้หรือไม่ ข้าถามจริงจัง” ตรีศูลเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง
“มีความสามารถก็ลองดู” กระดังงาหัวเราะร่า
“นางน้อย!” เตียนคำส่งเสียงฮึดฮัด
“ว้า...พี่เตียนคำโกรธซะแล้ว กะจะถามซะหน่อยว่าเซ่นไหว้วันพรุ่งนี้อยากจะดื่มกินอะไรเป็นพิเศษ”
“พี่เตียนคำไม่โกรธนางน้อย ข้าโกรธเจ้าเด็กหนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้ต่างหาก พูดจาสามหาวเกี้ยวพาราสีพี่เตียนคำ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้างเลย”
“เอ็งอยู่ล่างข้าอยู่บน ข้ารู้จักสิที่ต่ำที่สูงแบบนั้นน่ะ” ตรีศูลยังคงเย้าแหย่เตียนคำจนผีเลี้ยงสาวหุบปากไม่ตอบโต้อีก
“จับจ่ายหนำใจหรือยังข้ามีที่หนึ่งจะพาเอ็งไป”
“อืมพอแล้วล่ะ” หญิงสาวก้มดูข้าวของในมือพลางพยักหน้าเล็กน้อย
ตรีศูลเดินนำพาหญิงสาวลัดเลาะเข้ามาในตรอกซอกซอย สถานที่ลึกลับแฝงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตที่จับต้องไม่ได้ กระดังงาหน้านิ่วคิ้วขมวดกลิ่นอับและความชื้นแฉะของสถานที่แห่งนี้ บรรยากาศน่าอึดอัดซ่อนเร้นจากหูตาชาวบ้านที่เดินขวักไขว่กันอยู่ในตลาดนัด ไม่นานนักหลังจากเดินทะลุตามตรอกซอกซอยก็มาโผล่ท้ายวัดใกล้ริมตลิ่ง อันมีแผงค้าขายของกลุ่มคนนิรนามปูผ้าขายของเก่ามือสองกันอย่างเนืองแน่น
“เค้าขายอะไรกันอะตรีศูล”
“แผงของเก่ามือสองข้าชอบมาเดินเล่นที่นี่มากกว่า ตอนแรกแผงขายพวกนี้ก็อยู่รวมกับแผงขายตลาดข้างนอกนั้นแล แต่พวกพ่อค้าแม่ค้าพวกนั้นรังเกียจก็เลยได้แบ่งแยกเป็นสองตลาดระหว่างของใหม่กับของเก่า ข้าเห็นเอ็งเคยซื้อผีเลี้ยงมาที่นี่ก็มีเหมือนกัน”
“จริงหรอ!”
“ดูอย่างเดียวก็พอผีที่ขายที่นี่ส่วนมากเป็นวิญญาณเร่รอนเสียมากกว่าไม่มีฤทธิ์เดชสู้แม่ยอดยาหยีของข้าดอก” ตรีศูลยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ผู้ใดเป็นแม่ยอดยาหยีของเอ็งกัน!” เตียนคำเหลือจะอด ตรีศูลไม่ได้สนใจว่าตนเองจะถูกแม่ยอดยาหยีตำหนิติเตียน เขายังคงสาธยายเกี่ยวกับแผงขายระแวกนี้ให้เพื่อนสาวที่กำลังรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ข้าวของเครื่องใช้มือสองพวกนี้มีเจ้าของเก่าสิงสู่อยู่แทบทุกชิ้น ของบางอย่างก็มีมนต์ขลังของมันเอ็งว่าไหม” ตรีศูลเหลือบมองข้าวของเก่าเหล่านั้นตาเป็นประกาย อยากจะได้มาครอบครอง ทว่า...แอบซื้อกลับยามใดมักจะถูกผู้เป็นพ่อจับได้และทำลายทิ้งทุกครา พูดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก
“อืม” กระดังงาพยักหน้า
หญิงสาวเดินดูแผงขายสินค้าของเก่ามือสองเชื่องช้า ราวกับกำลังพินิศพิจารณาสินค้าเก่าเก็บเหล่านั้น ของมือสองบางชิ้นยังดูใหม่เอี่ยมเหมือนใหม่ แต่บางชิ้นก็ดูเก่าเกรอะสนิมขึ้นจนทำลายรูปลักษณ์เสียหมด สายตาระยิบระยับจ้องมองตาเป็นประกาย ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ ณ ร้านค้าปูผ้าสีแดงกำมะหยี่เร่ขายผีอย่างให้ความสนอกสนใจ เสียงร้องตะโกนเรียกลูกค้าของชายฉกรรจ์ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจนเดินมาเบียดเสียดอัดแน่นกันอยู่หน้าร้าน
“เร่เข้ามาจ้าเร่เข้ามา วันนี้มีผีหลากหลายชนิดให้พ่อแม่พี่น้องเข้ามาเลือกดูเลือกชมเลือกซื้อ ผีใหม่ผีเก่าราคากันเองสอบถามได้จ้า ร้านเรานานๆ มาทีพ่อแม่พี่น้องก็รู้ ทุกครั้งก็หอบหิ้วของดีของเด็ดมาด้วยทุกรอบ” ชายฉกรรจ์ใช้โทรโข่งป่าวประกาศเรียกลูกค้า
ร้านขายผีมีผู้คนให้ความสนใจจนบริเวณหน้าร้านไม่มีพื้นที่ว่างให้ลูกค้าได้ยืนดูผีในหม้อดินถูกมนต์สะกดผ้ายันต์สีแดงขีดเขียนอักขระกำกับไว้ หม้อดินวางเรียงรายหลายสิบใบบนผ้าปูสีแดงกำมะหยี่ที่ซุกซ่อนมนต์สะกดอีกชั้นเอาไว้ กระดังงารีบสะกิดสหายหนุ่มให้เดินไปตามเสียง
“ตรีศูลฉันอยากไปดูร้านขายผี”
“อ๋อ...นั่นลูกศิษย์จากสำนักทักษิณา ชอบเอาผีที่กำราบมาเร่ขาย เคยมีชาวบ้านเขาเล่ากันว่ามีผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเราเจ็บออดๆ แอดๆ เหมือนเทียนใกล้ดับแสงมาซื้อผีร้านนี้ไปเลี้ยงก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนคนตายแล้วฟื้นเชียวล่ะ ตั้งแต่นั้นมาผีร้านนี้ก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า”
“แต่ข้าว่ามันไม่ปกติแค่ดูพอห้ามซื้อโดยเด็ดขาด” ตรีศูลกำชับ
“เข้าใจแล้ว”
กระดังงาผู้มาช้ายืนอยู่ทางด้านหลังสุด พยายามเขย่งฝ่าเท้ามองดูหนึ่งในลูกศิษย์สาธยายความเก่งกาจของดวงวิญญาณแต่ละดวงที่พ่อครูเจ้าสำนักขึ้นเหนือล่องใต้ไปกำราบมา ดวงวิญญาณแต่ละดวงมีความสามารถแตกต่างกันไปโดยระบุกำกับว่าหม้อไหนใช้กับเรื่องไหน ซึ่งแต่ละหม้อจากที่เธอยืนฟังก็เป็นเพียงดวงวิญญาณอาฆาตมีที่มาที่ไปแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
“หลอกขายหรือเปล่าทำไมจากที่ฟังก็เป็นดวงวิญญาณผีตายโหงไม่ก็พวกสัมพเวสีทั้งนั้น เอามาใช้กับดวงหน้าที่การงาน ดวงความรักมันจะไปกันรอดหรอ” กระดังงากระซิบกระซาบเอ่ยถามตรีศูล
หญิงสาวมั่นใจว่าน้ำเสียงของตนเองไม่ได้ดังพอจะทำให้ใครบางคนที่กำลังยืนมองลูกค้าได้ยิน เจ้าของร่างสูงโปร่งมีร่องรอยบากบนใบหน้าหันขวับมาทางกระดังงา รอยยิ้มเย็นยะเยือกกระตุกยิ้มมุมปาก ชายหนุ่มนิรนามเดินแหวกกลุ่มฝูงชนมาหยุดยืนประจันหน้ากับหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามพิลาสล้ำเหนือหญิงใด
“……”
กระดังงาเหลือบมองชายนิรนามเบื้องหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตรฉับพลัน เรียวขาทั้งสองถอยร่นสองก้าวทิ้งระยะห่างจากผู้มาเยือนพร้อมลากตรีศูลที่ยังยืนทำหน้าเหรอหรามาด้วย ดวงตาเฉี่ยวสังเกตชายนิรนามตั้งแต่ศรีษระจรดปลายเท้าก็เห็นอักขระยันมนตราทั่วเรือนร่าง ทั้งในและนอกร่มผ้า ใบหน้าดูอ่อนโยน แววตาเป็นมิตร มีรอยบากแผลเป็นตั้งแต่หน้าผากบากครึ่งหน้า สวมเสื้อผ้าเหมือนชาวบ้านธรรมดา สัญชาตญาณของเธอย้ำเตือนว่าน้ำจิตน้ำใจไมตรีที่ชายนิรนามปั้นแต่งนั้นเป็นของลวงเหยื่อล่อ
“ข้าชื่อ...ปราณ เป็นศิษย์เอกของสำนักทักษิณา หากแม่นางสงสัยใคร่รู้ ข้ายินดีจะมอบผีเลี้ยงให้เอ็งแบบไม่คิดเงินดีหรือไม่ แต่ข้าขอดูลายมือเอ็งหน่อยว่ามีดวงสมพงศ์กับผีตนใด”
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะจ๊ะ ฉันไม่สนใจผีเลี้ยงพวกนั้นหรอกจ๊ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจไมตรีของอ้ายปราณ” กระดังงาสวมหน้ากากยิ้มแย้มอ่อนหวาน
“ข้าคิดจะให้แล้วก็คือให้และไม่รับคืน ยื่นมือมาเถิด” ชายหนุ่มนามว่าปราณฉีกยิ้มละมุนละไม ที่แม้แต่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นเป็นต้องระทวยลุ่มหลงกันเป็นแถบ แต่กับพวกเดียวกันอย่างกระดังงาที่มีพิษสงพอกัน ดูออกว่ามันเป็นรอยยิ้มกึ่งบังคับ
“ข้าไม่สะดวกใจจะให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวนะจ๊ะ ผัวฉันค่อนข้างจะสันดานเสีย ปากก็หมา คิดเล็กคิดน้อยไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวฉัน ถ้าผัวฉันรู้เข้าเกิดแยกเขี้ยวอาละวาดใครจะรับผิดชอบชีวิตน้อยๆ ของฉันกันล่ะ” กระดังแสร้งทำตัวอ่อนแอบอบบางปาดน้ำตาบริเวณหางตาเล็กน้อย ประหนึ่งสายลมเย็นๆ ก็เพียงพอที่จะพัดโอบร่างระหงของเธอให้ปลิวลอยตามลม
“ไม่ต้องร้องกระดังงาไม่ต้องร้อง” ตรีศูลเข็นเรือตามน้ำ ปลอบประโลมเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำราวว่าต้องการปกป้องหญิงสาวจากการถูกคนรังแก
“ยื่นมือมา!” ชายหนุ่มหน้าบากขมวดคิ้วเข้มเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟัน มือสากหยาบกร้านหมายจะคว้าข้อมือเรียวขาวผ่องมาตรวจดูลายเส้นใต้ฝ่ามือ
ท่าทีอุกอาจกลางตลาดไม่มีใครคาดคิดว่าชายนิรนามหน้าบากตรงหน้าหมายจะตะครุบตรวจดูลายนิ้วมือของเธอ ทำให้หญิงสาวที่กำลังแสร้งทำตัวอ่อนแอไม่ทันระแวดระวัง ในจังหวะที่เนื้อตัวของเธอกำลังจะถูกเขาตะครุบไว้ ร่างกำยำมหึมาโผล่มาจากที่ใดไม่อาจทราบได้ปราดมากระชากเรียวแขนของหญิงสาวให้ถลาถอยร่นได้พอดิบพอดี
หมับ!
“ไสหัวไป!”
สุรเสียงแหบห้าวกดเสียงต่ำตวัดหางตามองชายหน้าบากในท่วงท่าแข็งกร้าว ดุดันและเย็นชา ดวงตาเป็นประกายสีดำกดดันพาดผ่านจ้องชายหน้าบากอย่างไม่เกรงกลัว กลิ่นอายของบุรุษเพศผู้อีกฝ่ายอ่อนด้อยคนละชั้นเมื่อยืนประจันหน้ากับพญาขาล สายตาของสมิงร้ายจดจ้องมองเข้าไปลึกในจิตวิญญาณของชายหน้าบากผู้นี้ เขาเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น...
จิตวิญญาณผู้ครอบครองกายเนื้อของชายหน้าบากผู้นี้หาใช่เจ้าของร่างโดยแท้จริง สายตาก็พลันเหลือบมองไปทางด้านหลังลูกศิษย์ลูกหาที่กำลังกู่ร้องเร่ขายผีเลี้ยงแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่ผิดแปลกแตกแยกจากร่างเดิม หรือเรียกว่าสิงสู่ยึดร่างโดยแท้จริง
ดวงวิญญาณที่พวกมันนำมาเร่ขายคงจะเป็นดวงวิญญาณญาติมิตรชิดสหายในเครือวงศาคณาญาติ ไม่ก็ศิษย์สำนักเดียวกันที่ลาโลกไปแล้ว มาโป้ปดหลอกลวงชาวบ้านว่าผีเลี้ยงเหล่านี้สามารถเกื้อกูลหนุนดวงชะตา หารู้ไม่ว่าผีเลี้ยงที่พวกเขาซื้อไปนั้นคอยกัดกินพลังชีวิตรอคอยให้ร่างภาชนะที่มีดวงสมพงศ์กับพวกมันอ่อนแอลงจึงครอบครองกายเนื้อโดยไล่จิตวิญญาณเจ้าของเดิมออกไปกลายเป็นผีเร่ร่อน
อวิชาน่ารังเกียจโผล่หางเผยพิรุจ!
“พวกกาฝากริอ่านเอื้อมสูงคิดว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องสารยำตำบอนของพวกเอ็งสินะ” พญาขาลกระตุกยิ้มเย็นเยียบ
“ไม่ทราบว่าเอ็งหมายถึงกระไร ข้าไม่ค่อยรู้ความมากนัก ข้าเพียงอยากจะดูลายนิ้วมือนางว่าสมพงศ์กับผีตนใดก็เท่านั้นเอง” ปราณหรือชายหน้าบากเผยรอยยิ้มอ่อนโยนล้ำลึก ไม่สามารถคาดเดาความคิดความอ่านของเขาได้เลย
“ไว้มีโอกาสข้าจะสอนเอ็งให้รู้ความ” ใบหน้าคมคร้ามกระตุกเสมือนโทสะที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ความนิ่งสงบใกล้ปะทุเต็มที
“นี่แหละผัวฉัน” กระดังงายิ้มล้อหลอก
“อ้ายขาลเรากลับกันเถอะจ๊ะ ฉันบอกอ้ายปราณแล้วว่าผัวฉันน่ะขี้หึงอ้ายปราณก็ไม่เชื่อฉันเป็นไงล่ะ ไม่รู้กลับไปต้องโดนลงโทษกี่ยก เฮ้อ…” กระดังงาทนไม่ไหวเห็นสองหนุ่มส่งสายตาข่มขู่กันไปมาจึงเอ่ยคำพูดหน้าไม่อายเหล่านี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ มิเช่นนั้นคงได้เห็นพญาขาลกลายร่างเป็นเสือสมิงกระซวกอ้ายหน้าบากผู้นั้นโดยไม่สนใจสายตาประชาชีเป็นแน่นับว่าเธอช่วยต่อชะตาอายุของชายผู้นั้นให้ยาวนานขึ้นหรอกนะ จึงโบกสะบัดฝ่ามือพัลวัลกึ่งลากกึ่งจูงพญาขาลออกมาจากบริเวณนั้นเร่งด่วน
สถานการณ์อึดอัดเงียบเชียบท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านโดยรอบจึงกลับมาเป็นปกติ พวกเขาทั้งสามเดินหันหลังแหวกฝูงชนออกมาโดยที่สายตาล้ำลึกของใครบางคนยังคงทอดสายตามองมาทางพวกเขาจนลับสายตา หญิงสาวชาวบ้านที่เคยเป็นเจ้าของข่าวลือว่าซื้อผีเลี้ยงจนหายเจ็บป่วยเดินมากระซิบกระซาบหนุ่มหน้าบาก
“ข้าอยากได้ร่างมันพี่ทำให้ข้าได้หรือเปล่า ข้าเบื่อร่างอ่อนแอของนางผู้นี้นัก เนื้อตัวมีแต่กลิ่นหยูกยา”
“กระไรที่เอ็งอยากได้พี่จะแย่งชิงมาให้เอ็งนวลฉวี วางใจเถิด ร่างมันเอ็งจักได้ครอบครอง”
ทางด้านกระดังงาที่ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวว่ามีใครบางคนหมายปองเรือนร่างของตนเองก็เกาะท่อนแขนกำยำเหมือนปลิงดูดเลือดไม่ยอมปล่อย ข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือก็ชนเข้ากับร่างกำยำสันทัดจนเขารู้สึกรำคาญ เอื้อมมือไปคว้าข้าวของในมือนางมาถือไว้เอง มือข้างที่ว่างก็พยายามงัดแงะมือปลาหมึกเหนียวหนึบให้ออกห่างจากร่าง
“อย่ามาเกาะแกะข้า ข้ารำคาญ!”
“กระดังงาอยากเกาะแกะอ้ายขาลนี่จ๊ะ” คนมีความผิดออดอ้อนหนักเข้าเพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ยินประโยควาจาว่าร้ายของตนเองหรือเปล่า ตาเฒ่าผู้นี้หูตาไวอย่าบอกใครเชียว เกิดได้ยินแล้วคืนนี้เธอถูกไล่ตะเพิดออกมานอนนอกเรือนอีกใครจะรับผิดชอบ
“เอ็งช่างเก่งกาจมีความสามารถ มาตลาดยังจะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวได้ เรื่องแกว่งเท้าหาเสี้ยนไม่มีผู้ใดเกินเลย” พญาขาลพูดน้ำเสียงละเหี่ยใจ
“กระดังงาแค่มายืนดูก็เท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่าอ้ายผู้นั้นจะหน้าหนาเพียงนั้น ได้ยินคำพูดที่กระดังงากระซิบกระซาบ หูดีชะมัดเลย”
“สบายใจเถิด ไม่มีผู้ใดหน้าหนาเทียมเอ็งดอก”
“นี่ชมใช่มั้ยจ๊ะ...แล้วอ้ายขาลมาได้ยังไงไหนบอกว่าไม่ชอบความวุ่นวายผู้คนพลุกพล่าน” กระดังงาแนบศรีษระเข้ากับต้นแขนกำยำแอบกรอกตาไปมาพร้อมเบะปาก
“ข้ามาดูหลานข้าว่าจะก่อเรื่องอันใดอีก”
“โห...ลุงขาล ข้าตัวโตอย่างกับควายแล้ว อย่ามาอ้างชื่อข้าหน่อยเลยมาตามดูนางก็บอกตามตรง ไยต้องอ้อมไปอ้อมมา” ตรีศูลเหน็บแนม
“หุบปาก!” พญาขาลขึงตาใส่หลานรักจอมปากเปราะ