6
พญาขาลร่างยักษ์ตื่นจากภวังค์รีบสะบัดหน้าหนีผละห่างจากกระดังงาเป็นการด่วน ก่อนจะพบว่าตนเองนั้นตกหลุมพรางมนต์เสน่หาของกระดังงาโดยไม่ทันตั้งตัว นับว่านางกล้ากระตุกหนวดเสือลูบคมเขาอย่างแท้จริง สายตาเอาเรื่องตวัดมองหญิงสาวที่ทำท่าลุกลี้ลุกลน รีบยกมือปกป้องหน้าอกหน้าใจของตนให้หลบหลีกสายตาของผู้มาเยือนเป็นการใหญ่
“มาทำกระไร” พญาขาลเอ่ยเสียงเย็น
“มาดูว่านางตายในกำมือเจ้าหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นข้าคงเสียดายแย่ กว่าจะเจอคนที่สมน้ำสมเนื้อกับเจ้าไม่ง่ายเลย” ไอยศูรย์ยืนกอดอกปรายหางตามองกระดังงา เขารู้สึกอยากสนับสนุนนางให้ปั่นหัวสหาย เห็นท่าทีที่ควบคุมตนเองไม่ได้ของพญาขาลในครานี้ ยิ่งทำให้เขาอยากจะดันหลังนางให้กระทำซ้ำ
“หากเจ้าอยากได้ก็เอาไป ข้าจะถือว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง” แววตาพญาขาลฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์
“อย่ามาสุมไฟเรือนข้า เจ้าช่างใจจืดใจดำแท้หนา ปล่อยให้แม่นางตัวน้อยนั่งตากฝนทั้งคืนเช่นนี้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าให้บุหงานำเสื้อผ้า ที่นอนหมอนมุ้งมาปูให้เอ็งนอนชานเรือนก็แล้วกัน หากมันไม่ยอมให้เอ็งนอนในห้องหับแบบสบาย” ไอยศูรย์กล่าวอมยิ้ม
“กรรร รรร”
“จะชานเรือนมันก็คือเรือนข้า ธุระกงการกระไรของเจ้ามาวุ่นวายอนุญาตให้ผู้ใดมาอยู่อาศัยก็ได้หรือ เจ้าช่างใจกว้างนัก!” พญาขาลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหนัก
“กลับไปใจกว้างที่เรือนเอ็ง”
“ข้ารับคำชมนี้ไว้แล้วสหาย!” ไอยศูรย์ตีหน้ามึนรับคำชม เขาต้องพยายามยื่นมือช่วยแม่นางน้อยให้ได้อยู่อาศัยร่วมชายคากับสหาย มิเช่นนั้นเกิดนางป่วยตายก่อนก็อดดูเรื่องสนุกพอดี
“ขอบใจจ๊ะ” กระดังงาพนมมือไหว้สหายของพญาขาล พลางนั่งทำตาปริบๆ คล้ายบนใบหน้ามีตัวอักษรว่า ‘ไม่ใช่ความผิดเธอสักหน่อย’
“เจ้ามันหน้าตายนัก!” ประโยคนี้ไม่แน่ใจว่าเขาเอื้อนเอ่ยต่อว่าผู้ใด แต่ดูเหมือนว่าจะกระทบทั้งสองนั้นแล ว่าจบสมิงร่างยักษ์ก็กระโจนเข้าป่าพร้อมเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่มองมาทางกระดังงาสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
“จะรีบไปตายที่ไหน” ไอยศูรย์ตะโกนตามหลัง
“ไปตายบนหัวบิดาเอ็งกระมัง!” พญาขาลตะคอกกลับ
“แต่ข้าไม่มีบิดาเสียหน่อย” ไอยศูรย์ยกยิ้มพึงใจที่ตนสามารถเย้าแหย่สหายรักให้หัวเสียได้
ไม่นานนักภายหลังสหายของพญาขาลกลับเรือนของตน ก็ส่งบุหงาพร้อมศิลาและสิบทิศที่ช่วยกันแบกผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้ง มาจัดแจงที่หลับที่นอนให้กระดังงาพร้อมเสื้อผ้าของบุหงาที่ไม่ใช้แล้วให้หญิงสาวหลายสิบชุด
กระดังงายื่นมือไปลูบผ้าซิ่นผ้าแพรผืนเก่าของบุหงาแต่เป็นผืนใหม่ของเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้น ผ้าซิ่นสีสันสดใสสมวัยน่าจะมีราคาแพงอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่เกิดมาชุมโจรหมานคำก็ประสบเคราะห์กรรมทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอ มักจะเป็นอาภรณ์ตัวเก่าของมารดาที่ผ่านการปะเย็บครั้งแล้วครั้งเล่าจนสีเก่าหมอง
อย่าว่าแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ดี ๆ จะมีใส่เหมือนหญิงสาวหมู่บ้านอื่นเลย ข้าวสารกรอกหม้อในแต่ละวันยังลำบากเรียกได้ว่าอดมื้อกินมื้อก็ว่าได้ มิเช่นนั้นเธอคงไม่มีรูปร่างเพรียวระหงแบบนี้
“วันนี้ไม่ต้องไปช่วยน้าทำกับข้าวหรอก นอนพักผ่อนก่อนคงจะไม่ได้นอนทั้งคืนเลยสิท่า ขอบตาถึงได้ดำคล้ำแบบนี้ ตากฝนทั้งคืนไม่สบายก็บุญโขแล้ว พี่ขาลนะพี่ขาล” บุหงาเหลือบมองใบหน้าพริ้มเพราดูเฉลียวฉลาดของกระดังงา พลางส่ายหน้าละเหี่ยใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้แล้วล่ะว่าคงจะต้องเป็นเช่นนี้
“ขอบคุณน้าบุหงานะจ๊ะสำหรับข้าวของพวกนี้ กระดังงาจะไม่ลืมพระคุณเลยจ๊ะ” หญิงสาวก้มโค้งยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อมจริงใจ
“ไม่เหนือบ่ากว่าแรงน้าหรอก คราวหลังอยากได้อะไรก็บอกน้า” บุหงายกมือขึ้นมาลูบศรีษระกระดังงาทำราวกับว่านางเอ็นดูแม่หนูนางนี้นัก นับตั้งแต่เห็นนางในชุดซอมซ่อก็พอจะเดาได้ว่าฐานะทางบ้านของเด็กคนนี้อาจจะไม่ดีนัก การจะดีกับใครคนหนึ่งก็ใช่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ
กระดังงาพยักหน้าซาบซึ้งใจ เมื่อทุกคนเสร็จธุระแล้วก็ปล่อยให้กระดังงาพักผ่อน แต่ว่าเธอนั่งตากฝนมาทั้งคืน แม้ร่างกายจะแข็งแรงต้านความหนาวเหน็บได้ ก็ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วค่อยเข้านอนอยู่ดี
ซ่า!
ขันพลาสติกในตุ่มโอ่งถูกตักขึ้นมารดรินราดเรือนร่างระหงที่ใช้ผ้าซิ่นผืนเก่าคาดอกบดบังเรือนร่างอันเย้ายวนชวนเสน่ห์ เผยให้เห็นแผ่นหลังนวลเนียนอันมียันต์มหาเสน่ห์มนตราสักอยู่กลางแผ่นหลัง อาบน้ำยังไม่ทันเสร็จ สุรเสียงเข้มก็เอ่ยทักจากทางด้านหลังส่งผลให้กระดังงาสะดุ้งโหยงจนขวัญแทบหาย
“!!?!!”
“ที่แท้ก็เป็นแม่หญิงเล่นของ ข้านึกว่าเอ็งจะมีเพียงวิชาเสน่ห์ติดตัวมา ผิดคาดโดยแท้ โปรดสัตว์ยังได้บุญหากข้าโปรดเอ็งเล่าจะได้กระไรได้งูเงี้ยวเขี้ยวขอรอวันแว้งกัดมาเลี้ยงกระมัง” พญาขาลในร่างชายกำยำยืนกอดอกพิงเสาเรือนมองหญิงสาวที่กำลังอาบน้ำอย่างถือวิสาสะ ที่นี่เป็นเรือนของเขาจะทำกระไร หากต้องเกรงใจผู้อื่นคงไม่ใช่นิสัยเขา
“ของเขิงอะไรกันจ๊ะ นี่มันยันต์มหาเสน่ห์ต่างหาก ยืนอยู่ไกลอาจจะดูไม่ชัด ไม่เข้ามาดูใกล้ ๆ จะได้ไม่เข้าใจผิดกระดังงา” เธอเหลียวหลังกลับมามองชายหนุ่มหน้าตาใสซื่อ มือเรียววางขันในตุ่มพลางขยับผ้าซิ่นผืนบางที่แนบชะลูดไปกับเรือนร่างระหง
ท่วงท่าขยับเขยื้อนเปี่ยมเสน่ห์ไปหมดจนผู้แข็งกร้าวตะลึงงันเสียอาการที่เคยวางมาดเอาไว้ สุ้มเสียงอ่อนหวานของนางเทียบเท่าหยาดน้ำหวานบนปลายยอดกิ่งเกสรของมวลบุปผา…
กระดังงาเดินตรงมาทางพญาขาล สีหน้าของนางเปล่งประกายระยิบระยับดุจดั่งดวงดาราบนฟากฟ้าในยามราตรี หยดน้ำเกาะกลุ่มบนผิวเนียนค่อยๆ หยดติ๊งทีละเม็ดลงบนพื้นตามทาง หญิงสาวมายืนจ่อเบื้องหน้าพญาขาลที่ปั้นหน้าบึ้งตึงพลางเบี่ยงกายให้เขาเชยชมยันต์มหาเสน่ห์เต็มสองตา
“ของชั้นต่ำ...” เขาไม่คิดแม้แต่จะมองกลับเอ่ยวาจาเย้ยหยันดูถูกจนหัวใจดวงน้อยของกระดังงาคันยุบยิบอยากจะข่วนใบหน้าบึ้งตึงตรงหน้าให้หายหมั่นเขี้ยว
“บรมครูชั้นสูงต่างหาก อ้ายขาลช่างโง่เขลา” หญิงสาวไม่ถือสาวาจาเจ็บแสบเหล่านั้น
“เอ็งหลอกด่าข้า?” เขาเลิกคิ้วยกมุมปากขึ้น
“มะ...ไม่ใช่นะจ๊ะ กระดังงาปากพล่อยเอง อ้ายขาลทั้งเฉลียวฉลาด รูปโฉมก็หล่อเหลาเอาการราวกับเทพบุตร กระดังงาต่างหากที่โง่เขลาเบาปัญญา แม้แต่หนทางที่จะได้ปรนนิบัติอ้ายขาลยังคิดไม่ออก” กระดังงาเอ่ยยาวเหยียวเลี้ยวลกเข้าเรื่องอย่างว่าอย่างเป็นธรรมชาติ
“สมองเอ็งมันคิดแต่เรื่องอย่างว่างั้นสิ หากเอ็งคันคะเยอมากก็ไม่ให้อ้ายกำจายช่วยเล่า” เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
“หากมันแทนกันได้ก็ดีสิจ๊ะแต่ติดที่ว่ามันแทนกันไม่ได้นี่สิ” ดวงตากลมช้อนมองใบหน้าคมคร้ามเพ่งพินิศอยู่นาน ริมฝีปากเล็กขบเม้มเป็นเส้นตรง
เธอพยายามเบียดเสียดเรือนร่างอันเย้ายวนแนบชิดกายแกร่ง มือเรียวขาวละเอียดเคลื่อนไปกอบกุมความเป็นชายอันมีกางเกงสะดอสีดำปกปิดตัวเดียว เธอไล่วนสัมผัสความยิ่งใหญ่ของเขาราวกับย่ามใจ ดวงตาซุกซนปกปิดความตกตะลึงทันทีที่ได้สัมผัส
‘แม่เฒ่าไม่ได้บอกว่ามันจะยาวใหญ่ขนาดนี้!’
‘มันจะเข้าไปได้จริงหรอ!’
‘ไม่ยักรู้ว่าของเสือสมิงจะอลังการเพียงนี้!มา
“ใหญ่โตกว่าชาวบ้านชาวช่อง”
“อย่ามาใช้วิชาเสน่ห์ชั้นต่ำกับข้า” พญาขาลเหลือบมองฝ่ามือแน่งน้อยที่ซุกซนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กระนั้นก็ยอมปล่อยให้นางได้สัมผัสความเป็นชาย
สายตาใคร่รู้ของนางไร้เดียงสาแม้จะมีจริตจก้านชวนให้ลุ่มหลงแต่แต่แฝงความตื่นตระหนกกลบไม่มิด ครานี้เขาไม่ได้หลงกลไปกับวิชาเสน่ห์มัวเมาจิตวิญญาณให้ทำตามคำสั่งของนาง
“อ้ายขาลไม่ลิ้มลองจะรู้ได้ไงละจ๊ะว่าสูงหรือต่ำ”
“หึ...” ชายหนุ่มวัยกลางคนแค่นยิ้ม เคลื่อนใบหน้าแข็งกร้าวเฉียดพวงแก้มนุ่ม ราวกับจงใจให้นางคิดเตลิดไปไกลว่าเขานั้นติดกับหลุมพราง
อึก!
ในขณะที่กระดังงาพยายามจะยั่วยวนชายหนุ่มตามที่เคยฝึกฝนเล่าเรียนมาจนช่ำชอง มือสากกร้านพลันยกขึ้นมาบีบลำคอขาวแน่นเต็มแรง ไม่คิดปรานีนางแม้แต่น้อย รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดพรายบนใบหน้าคมคร้ามดุดัน แรงบีบที่ช่วงลำคอทำให้กระดังงาตกใจจนใจตกลงไปที่ตาตุ่ม กระนั้นกลับไม่ส่งเสียงขอร้องอ้อนวอน ยืนแน่นิ่งหายใจไม่ออกให้เขาระบายโทสะเหมือนเป็นหุ่นไล่กา
“!!?!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า ข้าบอกแล้วให้ไสหัวไป หากเอ็งยังดึงดันรั้งอยู่ต่อ ข้าก็จะให้เอ็งสัมผัสคำว่านรกบนดินมันเป็นอย่างไร ข้าจะทรมานเอ็งไม่ต่างกระไรจากที่ข้าเคยทำกับผู้คนในชุมโจรหมานคำของเอ็ง!” รอยยิ้มเย็นเยียบเปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งคลี่ยิ้มขู่ นัยน์ตาสีชาดลุ่มลึกยากคาดเดาว่าเขาอยากจะฆ่าเธอทิ้งเสียตอนนี้หรือไม่
“โดยเฉพาะกับพ่อของเอ็ง ลุงของเอ็ง และอาของเอ็ง พวกมันมีจุดจบเช่นไรคงไม่ต้องให้ข้ากล่าวย้ำเตือนความทรงจำดอกหนา”
“จำใส่กระโหลกโง่เขลาของเอ็งไว้!”
“ว่าข้าขยะแขยงสายเลือดชุมโจรหมานคำของเอ็ง!”
อึก!
พญาขาลเค้นบีบลำคอขาวจนแดงเผือด ไม่หวั่นเกรงว่าจะทำให้นางแหลกลาญคามือ ไม่กริ่งเกรงว่าจะทำให้นางกระดูกคอหักดังกรอบสิ้นใจในคราเดียว ใบหน้าคมคร้ามฉายแววชิงชังเกินเยียวยา สตรีนางนี้ช่างร้ายกาจและหน้าหนากว่านางเวียงหวันผู้น่ารำคาญผู้นั้นเสียอีกไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไว้หน้านาง
“อยากจะอยู่ก็อยู่แต่ข้าไม่รับรองความปลอดภัยของเอ็งว่าจะกลับไปหาพ่อแม่ได้ครบสามสิบสองประการหรือไม่!”
“หากเอ็งอยากจะอยู่ข้าก็จะสรรหาร้อยแปดพันวิธีมาทรมานเอ็งเล่น ยิ่งเห็นจริตจอมปลอมของเอ็งข้าก็แทบอดรนทนไม่ไหวที่จะเห็นเอ็งเจ็บปวด…”
ว่าจบพญาขาลก็โยนหญิงสาวทิ้งจนก้นจ้ำเบาะ เขารีบสะบัดฝ่ามือทำเหมือนขยะเเขยงหญิงสาวเสียเต็มประดา หางตาสีชาดมีแต่จะดูถูกเหยียดหยามกระดังงา หญิงสาวก็สั่งน้ำตารื้นหน่วยแวววาวราวกับไข่มุกในดวงตา ท่าทางน่าทะนุถนอมประคองไว้บนฝ่ามือ พญาขาลถอนหายใจพรืดใหญ่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงสาว
“เลิกเสแสร้งแกล้งทำได้แล้ว ข้าเอียนอยากจะสำรอก”
“จ๊ะ” หญิงสาวรับคำ คล้อยหลังชายหนุ่มเดินออกไปไกลจนสุดสายตา เธอพลันถอนหายใจโล่งอกอย่างน้อยก็หาวิธีอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาได้แล้ว
แม้จะต้องทนฟังวาจาบาดจิตหยั่งลึกถึงภายใน รอยยิ้มเยาะปรากฎบนดวงหน้าพริ้มเพรา ไม่มีอาการคล้ายคนจะร้องไห้เช่นเมื่อครู่เลยสักนิด
อาการหุนหันพลันแล่น อารมณ์เกรี้ยวกราดเอาแน่เอานอนไม่ได้ คำพูดคำจาดูถูกเย้ยหยันสายเลือดของเธอและอาการหวงเนื้อหวงตัวจนเธอยากจะเข้าใกล้เพื่อใช้วิชาเสน่ห์ควบคุมจิตวิญญาณ ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้ทำให้เธอยากจะรับมือเขาเลย เธอชินชากับความรู้สึกเหล่านั้นตั้งแต่เล็กจนโต ร่ำเรียนวิธีรับมือพญาขาลโดยเฉพาะและฝึกปรือจนคล่องแคล่ว สายตาเย้ยหยันของเขาไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้เธอได้เท่าครึ่งหนึ่งของสายตาผู้คนในชุมโจรหมานคำ ที่มองเธอราวกับเป็นสิ่งของที่สามารถปลดผนึกความคับแค้นของพญาขาล
ในระหว่างที่กระดังงากำลังนั่งเหม่อลอย เงาตะคุ่มโปร่งแสงเผยรูปทรงเป็นแม่หญิงล้านนาแต่งกายโบราณ เกล้ามวยผมยาวสลวยขึ้นกลางหัว ผ้าคาดอกสีเนื้อพร้อมผ้าซิ่นปักเลี่ยมทอง ผิวขาวซีดราวกับสีกระดาษ ใบหน้านวลเนียนแฝงความดื้อรั้น นางเคลื่อนฝ่ามือเย็นยะเยือกสัมผัสหัวไหล่เนียนของผู้เป็นนาย
“นางน้อยไยยืนให้อ้ายขาลกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเล่าเจ้าคะ” เตียนคำ ผีเลี้ยงของกระดังงาเอ่ยถามนึกโกรธแทนผู้เป็นนาย
“ดูเถิดลำคอมีแต่รอยมือน่ากลัวนัก เจ็บมั้ยเจ้าคะ” น้ำเสียงห่วงหาอาทรเอื้อนเอ่ยถาม
“ไม่เจ็บไกลหัวใจตั้งเยอะ พี่เตียนคำมีเรี่ยวแรงสู้อ้ายขาลหรือ ดีไม่ดีอ้ายผู้นั้นอาจจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่ากระดังงาเลี้ยงผี” กระดังงายันกายลุกขึ้นปัดเศษหินดินทรายบริเวณชายผ้าซิ่น เธอไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนถึงขนาดที่ว่าจะทำให้เสียการใหญ่ จุดมุ่งหมายที่เธอถ่อจากดินแดนเหนือมาหาเขาถึงที่นี่มาเพื่ออะไรเธอไม่ลืม
“อ้ายขาลจะให้นางน้อยละทิ้งพี่เตียนคำหรือเจ้าคะ” เตียนคำหน้าถอดสี
“ถึงให้ทำกระดังงาก็ไม่ทำหรอก เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนานผ่านอะไรมาด้วยกันก็ตั้งเยอะ” กระดังงายื่นมือขึ้นมาหมายจะลูบใบหน้านวลเนียนขาวซีดของเตียนคำ ทว่าหยุดยั้งแลออกคำสั่งแทน
“หมู่นี้พี่เตียนคำอย่าพึ่งออกมาเลยดีกว่า อ้ายขาลยังเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ในอบเงินก่อน”
“เจ้าคะนางน้อย” สายตาเป็นห่วงไล่มองสำรวจเรือนร่างของนางน้อยตั้งแต่ศรีษระจรดปลายเท้าก่อนจะถอนหายใจหนักอึ้งออกมา
ถูกคนในครอบครัวและชาวบ้านใช้ประโยชน์นางน้อยคงไม่ได้รู้สึกดีนักดอก คงจะมีเพียงนางและมารดาของนางน้อยที่เจ็บปวดรวดร้าวใจราวกับถูกควักดวงใจออกมาขย้ำ! นางสงสารชะตากรรมที่ไม่สามารถเลือกเองได้ของนางน้อยนัก…
เมื่อครั้งเยาว์วัยกระดังงาอายุเข้าเจ็ดขวบปีกระมัง มีแม่เฒ่าต่างถิ่นสวมชุดสีดำทะมึนตั้งแต่หัวจรดล่าง ถือตะกร้าสานใบเก่าด้านในมีดอกไม้ธูปเทียนเครื่องบูชา ยืนกวักมือเรียกกระดังงา เธอจึงเดินตามไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แม่เฒ่าผู้นั้นก็คือหมอผีที่มาเร่ขายผี ยื่นอบเงินใส่สมุนไพรให้เธอหนึ่งใบแลกกับกำไลทองบนข้อแขน เวลานั้นเธอยอมแลกเปลี่ยนโดยอาศัยความไร้เดียงสา ทำให้แม่เฒ่าเลือกผีกะชั้นสูงทรงพลังและอำนาจให้เธอ
ใช่ว่ากระดังงาไม่รู้ว่าแม่เฒ่าผู้นั้นคือแม่เฒ่าขายผีอันมีชื่อเสียงเลื่องลือ ทว่าเธอต้องการผี นับตั้งแต่ที่รู้ว่าตนนั้นแบกความหวังอันหนักอึ้งของชาวบ้านชุมโจรหมานคำ เธอก็ตระเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ อาศัยความเยาว์และแสดงออกอย่างไร้เดียงสาให้แม่เฒ่าขายผีเห็นใจ ยินยอมมอบผีกะชั้นสูงที่ในอดีตเชื้อพระวงศ์ล้านนาเคยประโยชน์
ผีกะคือผีที่แม่หญิงล้านนานิยมเลี้ยงไว้ เพื่อเพิ่มพูนอำนาจ วาสนา และเสน่หามายาให้เพศตรงข้ามลุ่มหลง เลี้ยงดีก็เป็นคุณ หากเลี้ยงไม่ดีก็จะโดนผีกะแว้งทำร้ายจนเสียสติหรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
คราแรกที่เตียนคำปรากฎกาย ดวงวิญญาณของนางเจือกลิ่นอายสังหาร ลึกลับ และน่าขยาดหวาดกลัว กระดังงาขัดเกลาเตียนคำด้วยบุญกุศลทุกวัน แรกเริ่มนางดื้อรั้นและถือดีไม่ยอมรับบุญกุศลและไม่ยอมรับเธอเป็นเจ้านายใหม่ ในอดีตนางนั้นเคยรับใช้แต่พระนางราชวงศ์สูงศักดิ์ ไฉนจะสามารถยอมรับเพียงเด็กสาวตัวน้อยที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
กระดังงาหาได้ถือสาเตียนคำ เธอยังคงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เตียนคำเป็นประจำทุกวัน เซ่นไหว้อาหารคาวหวานไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่ไม่ยอมใช้นางในด้านเสน่ห์เพราะถือว่าตนนั้นร่ำเรียนวิชาเสน่ห์อยู่แล้ว นานไปจนเตียนคำชินชาเริ่มเปิดใจยอมรับแม่นางน้อย กลายมาเป็นพี่สาวแลน้องสาวที่สนิทสนม มือของนางก็ไม่เคยเปื้อนเลือดยกระดับดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกหนึ่งระดับ
ดวงวิญญาณของนางอาจจะไม่ได้มีรูปลักษณ์น่าขยาดหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังแฝงกลิ่นอายของดวงวิญญาณชั้นสูง มีพลัง อำนาจ แลบารมี ข่มขวัญดวงวิญญาณระดับล่าง นั้นจึงเป็นที่มาของเตียนคำ ไม่ว่าผีร้ายอ้ายอีตนใดก็ไม่สามารถทำร้ายหรือกล้ำกลายนางน้อยได้แม้แต่ไรผม
แต่กับพญาขาลเสือสมิงร่างมหึมาตนนี้กลับทำให้เตียนคำรู้สึกหวาดหวั่นเป็นคราแรก ทำลายความหยิ่งผยองภายในใจของนางจนไม่กล้าปรากฎตัวเพราะเกรงว่าจะถูกอ้ายขาลตนนั้นจับได้แลทำลายดวงวิญญาณของนางให้มลายสิ้น นางไม่ได้อยากกลับไปเกิดใหม่ นางภูมิอกภูมิใจที่ตนเองนั้นเป็นดวงวิญญาณชั้นสูง คอยกดข่มดวงวิญญาณระดับล่างที่มีพลังน้อยกว่าตน
“เฮ้อ...งานนี้ยากนัก แม้จะเป็นแม่นางน้อยก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ ข้าหวั่นใจนัก” เตียนคำสิงสู่อบเงินพึมพำ น้ำเสียงเคร่งเครียด หากเป็นชายอื่นนางยังพอจะยื่นมือเข้าช่วยกระดังงาได้แต่กับอ้ายสมิงเฒ่าผู้นี้นอกจากช่วยไม่ได้และยังต้องกลับมานั่งหวาดระแวงจนเนื้อตัวสั่นเทา