9
กระดังงาคุยสัพเพเหระเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับเวียงหวันเสร็จสรรพก็นำพาร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงเดินออกมาทางหน้าเรือน ทางนั้นจำต้องผ่านเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่กำลังนอนอาบแดดและทันทีที่ฝีเท้าของหญิงสาวย่างเข้าไปใกล้เจ้าพิรุณ เสือโคร่งลายพาดกลอนตัวเมียก็ผงกศรีษระขึ้นมาคำรามขู่แยกเขี้ยวใส่กระดังงาในทันที เจ้ากำจายที่กำลังนอนหลับก็สะดุ้งตื่นตกใจ รีบแยกเขี้ยวขู่คำรามด้วยความรำคาญใจ
“กรรร รรร”
“กรรร รรร”
“อย่านะ! ฉันไม่ได้เดินไปใกล้พวกแกสักหน่อย!” กระดังงาถลึงตาใส่เสือโคร่งลายพาดกลอนสองตัวที่นอนอิงแอบแนบชิดกัน ทว่า...สองพี่น้องหาได้สนใจคำพูดของเธอไม่
“แฮร่!”
เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายถูกรบกวนเวลานอนก็ยิ่งหงุดหงิดหัวเสียคล้ายจะถอดนิสัยพญาขาลเสียสิ้น มันลุกพรวดมาทางหญิงสาว ใบหูหนาปกคลุมด้วยไรขนอ่อนสีส้มตั้งโด่ ลักษณะคล้ายกำลังจะตะครุบเหยื่ออันโอชะแสนหวาน หญิงสาวเห็นกรงเล็บแหลมคมเผยออกมาจากอุ้งเท้ามหึมาก็รีบวิ่งโกยอ้าวหน้าตั้งไปเรือนน้าบุหงาในทันที
ส่วนทางด้านเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายก็วิ่งไล่กวดหญิงสาวแบบเอาเป็นเอาตาย พร้อมเสียงทุ้มต่ำคำรามขู่ หมายใจจะเอาเนื้ออ่อนของกระดังงามาแทะเล่นให้หายคันปาก ยิ่งเห็นกระดังงาวิ่งหนีไม่คิดชีวิต พวกมันก็วิ่งไล่กวดด้วยพละกำลังอันฮึกเหิมแกมสนุกแต่สองเท้าหรือจะวิ่งเร็วเท่าสี่เท้าที่เปี่ยมล้นด้วยพละกำลังวังชาของสัตว์ป่าดุร้ายผู้อยู่เหนือห่วงโซ่อาหาร
“กรี๊ดดดด!”
โครม!
อึก!
แคว่ก!
เจ้าพิรุณกระโจนใส่กระดังงาจนหน้าคว่ำ ร่างอรชรอวบอิ่มไถลลงไปกับพื้น โชคยังดีที่เธอมีหน้าอกหน้าใจใหญ่เกินตัวจึงรองรับเรือนร่างของเธอแทน แต่กระนั้นทรวงอกของเธอก็ถูครูดไปกับพื้นจนแสบทรวงสาบเสื้อโดนฉีกทึ่งเป็นทางยาวจนขาดออกจากกันดังแคว่ก เผยแผ่นหลังขาวผ่องดุจเกล็ดหิมะ
จนพิรุณอดที่จะสรรสร้างลวดลายศิลปะบนพื้นผิวนุ่มเสียไม่ได้ กรงเล็บแหลมคมขีดข่วนแผ่นหลังและท้องแขนของหญิงสาวจนเลือดซิบ เธอจุกเกินจะเปล่งเสียงร้องได้แต่ยกเรียวแขนยันกับพื้น หวังจะลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็โดนเจ้าพิรุณกระโดดทับกลางหลังซ้ำ
“อย่าข่วนมันจะทิ้งรอยแผลเป็น!”
“พิรุณฉันหนักนะ!” กระดังงาร้องเสียงหลง ทำให้เจ้าพิรุณยิ่งได้ใจกระโดดโหยงเหยงบนเรือนร่างของหญิงสาวทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโอดครวญน่าเวทนา
เท่านั้นยังไม่พอเจ้ากำจายยังอ้าปากงับศรีษระเธอเล่น ทำเหมือนจะกลืนศรีษระกระดังงาลงท้องแต่ก็ไม่กลืน แทะศรีษระของเธอเล่นเหมือนกระดูกชิ้นโตเอาไว้ขัดฟันแก้คันเขี้ยวส่งผลให้น้ำลายเหนียวหนืดหยดย้อยไหลลงมาชโลมท่วมดวงหน้างาม
“ยี๋! น้ำลาย กำจายพ่อแกไม่เคยแปลงฟันให้เลยใช่มั้ยเนี่ย แอว๋ะ! เหม็นจนอยากจะอ้วก” กระดังงาโดนเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายวิ่งไล่กวดจนเหนื่อยหอบ ได้แต่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง สงบจิตใจปล่อยให้เสือโคร่งสองตัวเล่นสนุกกับร่างกายเธอ
“พิรุณ กำจาย” เสียงทุ้มต่ำพึ่งแตกหนุ่มของตรีศูลเอ่ยเรียกเสือโคร่งนิสัยเสียสองตัวที่ถูกพญาขาลตามใจตั้งแต่เด็ก น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายสะดุ้งเฮือก
“!!?!!”
สายตาคาดโทษมองการกระทำอันไม่เหมาะสมของเสือโคร่งอารมณ์ร้ายสองตน เจ้าพิรุณถอนหายใจพรืดใหญ่ไม่ฝนกรงเล็บเข้ากับแผ่นหลังนวลเนียนซ้ำสอง ยอมเดินลงมาจากเรือนร่างนุ่มนิ่มของกระดังงาแต่โดยดีส่วนเจ้ากำจายก็รีบถอนริมฝีปากกว้างที่มันใช้แทะศรีษระเล็กเล่นจนน้ำลายเหนียวหนืดไหลเป็นทางยาว อาบชุ่มเรือนผมดำขลับยาวสลวย
หมดสภาพ!
“เป็นไงลุกไหวมั้ยเอ็ง”
ตรีศูลคลุกคลีกับพญาขาลมาตั้งแต่เล็ก ทำให้ติดเรียกเอ็งข้าจนเป็นนิสัย เขาปรายหางตามองหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันนอนคว่ำหน้าหมดสภาพไร้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างอเนจอนาถ เขากลั้นขำส่ายหน้าเอือมระอา ไม่แคล้วส่งสายตาดุให้เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายอีกรอบจนพวกมันหลุบสายตาหนี
“ไหว”
หญิงสาวยันกายลุกพรวดขึ้นมาทีเดียวจากพื้น มองสภาพเรือนร่างของตนเอง ก่อนจะรีบยกท่อนแขนเรียวปกปิดอกอวบอิ่มที่เผยเนินเนื้อหมิ่นเหม่
ตรีศูลขมวดคิ้วกับท่าทีของกระดังงา เขาหาได้รู้สึกสเน่หาหญิงสาวตรงหน้าแค่รู้สึกว่าชอบนิสัยแก่นแก้วและความเฉลียวฉลาดปนความเจ้าเล่ห์ของเธอเพราะนิสัยของเธอเหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“โอ๊ย! ข้าไม่มองนมเอ็งดอก”
“ใครใช้ให้มองเล่า! หันกลับไป!” กระดังงาขึงตาใส่ตรีศูล ตรีศูลหัวเราะร่าพยักหน้ายกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วกลับหลังหัน ยอมศิโรราบเธอแต่โดยดี
“ข้าอยากเป็นสหายกับเอ็ง ข้าจะช่วยเอ็งจับลุงขาลให้อยู่หมัด เอ็งว่าข้อเสนอนี้ไม่เลวกระมัง” ตรีศูลยอมหันหลังกอดอก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเหมือนบิดาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบาย
“นึกครึ้มอะไรอยากมาเป็นเพื่อนกับฉัน ได้ข่าวว่าสนิทกับอ้ายขาลไม่ใช่หรอ ไม่ใช่ว่านี่เป็นแผนที่รวมหัวกับลุงรักไล่ฉันกลับชุมโจรหมานคำหรอกนะ” กระดังงาขบคิด ไม่ไว้วางใจตรีศูลออกจะตั้งแง่ใส่ด้วยซ้ำ
“ก็สนิท แต่ไม่บ่อยหรอกหนาที่จะเจอผีประเภทเดียวกัน เค้าเรียกว่าผีเห็นผีกระมังเลยอยากจะช่วยเหลือ” น้ำเสียงทะเล้นของตรีศูลเอ่ย
“หืม”
“เราไปเป็นผีประเภทเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
“ผีเปรตไง!? เห็นหน้าเอ็งคราแรกก็รู้เลยว่าเอ็งน่ะมันเด็กเปรตเหมือนข้า” ตรีศูลพูด เขามักจะถูกบิดาและชาวบ้านเรียกว่าเด็กเปรตเสมอ แต่คำนั้นก็ทำให้เขาชอบไม่เบา
“!!?!!” กระดังงาอึ้ง
“ใครเค้าอยากเป็นเด็กเปรตเหมือนนายกัน!”
“ว่าไงถ้าตกลงเป็นสหายกับข้า ข้าจะช่วยให้เอ็งปีนขึ้นเตียงลุงข้าอีกแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะข้าจะบอกไว้ก่อน ลุงข้าค่อนข้างจะหวงเนื้อหวงตัว เข้าขั้นจำศีลได้กระมัง” ตรีศูลลูบปลายคางของตนเอง จะว่าไปลุงขาลของเขาได้เด็กเปรตเป็นเมียก็ดูเหมาะสมเหมือนกิ่งทองใบรับรองแพทย์เหมือนกัน หน้าตาก็งดงามพิลาสล้ำ นิสัยก็เจ้าเล่ห์ รู้ทันลุงขาลไปหมดทุกอย่าง
ไม่มีอะไรลงตัวเท่านี้แล้ว!
ตรีศูลลอบสังเกตเหตุการณ์มาตั้งแต่ค่ำวาน จึงเห็นว่ากระดังงาใช้มารยาบีบคั้นจนลุงขาลของเขาไม่ได้นอนทั้งคืน รายนั้นนิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน หวงการนอนของตนเป็นที่สุด แต่กลับไม่หักคอเธอตั้งแต่แรกนี่ไม่นับว่ามีใจจะเรียกว่ากระไร ในฐานะหลานรักก็อยากจะแปลงกายเป็นกามเทพแผงศรปักดวงใจลุงสุดที่รักด้วยน้ำมือตนเอง
“แล้วนายจะได้อะไรจากการช่วยฉัน” กระดังงาหรี่สายตามองตรีศูล
“ข้าไม่ต้องการกระไร ข้ามีพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง อยากหาอะไรทำแก้เบื่อ ทำบุญทำทานให้ลูกหมาลูกแมวมันน่ะ คนไม่มีสหายก็เปรียบเสมือนงูไม่มีพิษ”
“ว่างเสียจริงพ่อคุ๊ณ ก็ได้...ตกลง แต่ถ้านายวางแผนตลบหลังฉัน ฉันสาบานเลยว่าจะแก้เผ็ดจนนายซูดปากร้องไห้หาพ่อหาแม่” กระดังงาค่อนขอด
“ฮะ…ฮ่า ฮ่า ซูดปากเลยรึ”
“อืม...ต่อไปนี้เอ็งกับข้าคือตัวแทนคณะเด็กเปรต จะคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เอ็งคือสหายรักคนแรกของข้ากระดังงา” ตรีศูลทำหน้าตาจริงจัง ในที่สุดความฝันของเขาที่ต้องการรวบรวมเด็กเปรตก็เป็นจริงเสียที กระดังงาคือสมาชิกคนแรก ส่วนเจ้าศิลาและสิบทิศ น้องชายฝาแฝดของตนเองนั้น หัวอ่อนว่านอนสอนง่ายเกินไป ไม่เข้าพวกปัดตกตั้งนานแล้ว
“คณะเด็กเปรต…” เธอทวนคำ
“เชยชะมัด! อยู่กับตาเฒ่านั่นมากไประวังจะตกยุคนะตรีศูล” กระดังงากรอกดวงตาไปมาละเหี่ยใจ
“เอ็งเลี้ยงผีด้วยใช่มั้ย ข้าขอดูหน่อย ระแวกนี้ไม่ค่อยเห็นผีกะชั้นสูงของเอ็งเท่าใด ข้าอยากเห็น” ตรีศูลทำท่าจะหันมาแต่ถูกกระดังงาแหวใส่เสียก่อน
“อย่าหันมา! ให้ฉันไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อนได้มั้ยเล่า ทั้งตัวเหม็นน้ำลายเจ้ากำจายไปหมดแล้ว”
“อืม...ไปเถิด ข้ารอเอ็งที่เรือนก็แล้วกันสหาย”
“จัดการเจ้าพิรุณกับเจ้ากำจายให้ฉันด้วยละกัน ฉันเจ็บนมไปหมดแล้ว!” กระดังงาบ่นอุบอิบ ในเมื่อตกลงเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เปิดใจคุยกันได้มั้ง
“......” ตรีศูลโบกมือไล่กระดังงาแทนคำตอบ ในสายตาเขาไม่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงนานแล้วเหมือนเห็นสหายผู้ชายมากกว่า
ส่วนเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายก็ถูกตรีศูลรั้งไว้ด้วยสายตาดุจเหยี่ยว เจ้าแห่งท้องนภากวาดสายตามองเสือโคร่งตัวผู้และตัวเมียที่เอาแต่เบนหน้าหนีความผิด กระดิกหางใส่กันไปมา มันสองตัวคงคิดในใจว่า...
ก็พ่อบอกว่าให้จัดการยังไงก็ได้นี่นา ไม่ใช่ความผิดพวกข้าเสียหน่อย พวกข้าก็แค่เล่นสนุกตามประสาเมื่อคืนพ่อพวกข้าเล่นแรงกว่านี้อีก!
“พวกเอ็งว่าระหว่างข้ากับพวกเอ็ง ลุงขาลรักใครมากกว่า” น้ำเสียงยียวนเอ่ยถาม มุมปากยกยิ้มเหลือร้าย
“......” ดวงตาสีอำพันของพิรุณและกำจายปราดมองตรีศูลคราหนึ่ง ส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจ ถามมาได้ก็ต้องเป็นเด็กเปรตที่เขาภูมิใจประคบประหงมมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างเอ็งน่ะสิ!
“ถ้ารู้คำตอบในใจแล้ว ก็อย่าทำร้ายสหายข้าอีก นางเป็นสหายรักข้า หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกข้าจะถอนขนพวกเอ็งมาทำเสื้อคลุมลายเสือ เข้าใจหรือไม่พิรุณ กำจาย” ตรีศูลข่มขู่เสียงเย็นยะเยือก ทำให้เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายแยกเขี้ยวใส่หนหนึ่ง ก่อนจะกระโจนหนีหายเข้าพงไพร ระบายโทสะในป่าลึกจนสัตว์ป่าน้อยใหญ่ร้องเสียงหลงวิ่งหนีแตกกระเจิงกันเป็นแถว
“เฮ้อ...เหมือนมีลุงขาลสามตนจริง ๆ ” ตรีศูลคลี่รอยยิ้มพึงใจมองเสือโคร่งสองตน
เสียงตำพริกแกงดังโป้กป้ากในครัวคละเคล้าเสียงคุยจ้อแจ้ไม่หยุดของตรีศูล ที่มานั่งยองคุยโวโอ้อวดว่าตนนั้นร่ำเรียนวิชาคาถาอาคมมาจากบิดาและลุงขาล กระดังงาพยักหน้ารับฟังเเบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา บุหงาเหลือบมองบุตรชายที่นึกครึ้มอะไรมาตีสนิทกระดังงาก็เผยรอยยิ้มมุมปาก เด็กสองคนนี้นิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะถอดแบบกันมา
“เวลาพูดอย่าอ้าปากกว้างได้มั้ย น้ำลายจะกระเด็นลงไปในพริกแกงหมด” กระดังงายกสากอันเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยส่วนผสมพริกแกง หมายจะเผ่นกบาลใส่ตรีศูลสักทีสองที
“เออ ข้ารู้แล้วน่า ตกลงว่าไงคืนนี้จะไปปราบผีห่าก้อมกับข้ามั้ย”
ผีห่าก้อมที่ตรีศูลได้ยินเรื่องราวมาจากหมู่บ้านป่าสัก ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านป่าสักตระเวนหาพ่อหมอผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้ามากพอจะปราบ พญาผีปอบตนนี้ ที่ระยะนี้ออกอาละวาดดูดกินพลังชีวิตของคนในหมู่บ้านเกือบร้อยศพ ชาวบ้านต่างหวาดผวาบ้างก็ออกจากหมู่บ้านไปขออยู่กับญาติพี่น้องต่างหมู่บ้าน บ้างก็ปิดประตูอยู่แต่ในบ้านไม่ออกมาทั้งกลางวันและกลางคืน ส่งผลให้พืชสวนไร่นายืนต้นตายไร้คนทะนุบำรุง สัตว์เลี้ยง เป็ด ไก่ วัว ควาย ก็ทยอยล้มตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ สร้างความเสียหายให้ชาวบ้านป่าสักจำนวนมากและร้ายแรง
“ผีห่าก้อม!? จะบ้าหรอตรีศูล นั่นมันโคตรปอบเลยนะ รู้จักมั้ยคำว่าโคตรพ่อโคตรแม่ของปอบ ผีตัวนี้ดุร้ายกว่าผีกะยักษ์อีก ได้ยินแม่เฒ่าเล่าให้ฟังว่าผีตนนี้น่ะเทพาอารักษ์ ผีสางนางไม้เห็นยังตกใจขวัญกระเจิงกันหมด ลำพังนายกับฉันไปจะเอาอะไรไปสู้กับมัน” กระดังงายั้งมือกุมสาก กระซิบกระซาบกับตรีศูลเสียงแผ่ว
“จะให้เอาสากไปตะบันหน้ามันหรอได้โดนมันตะบันหน้าแหกกลับมาล่ะไม่ว่า”
“เอ็งไม่เชื่อใจข้าหรือกระดังงา” ตรีศูลขมวดคิ้วหนารู้สึกโดนสบประมาทอย่างแรง
“เออสิ! นายไม่เคยปราบผีจริงๆ สักหน่อย ไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหน”
“เอ็งกับข้าไม่ตายดอก เอ็งเลี้ยงผีด้วยไม่ใช่หรอ”
“ผีของฉันเป็นเพียงผีกะจะเอาอะไรไปสู้กับพญาปอบ ระดับพญาปอบต้องสู้กับพญาขาลอย่างลุงขาลของนายนู้น” กระดังงาบุ้ยริมฝีปากไปทางเรือนของอ้ายขาล
“อ๋อออ...ที่แท้เอ็งก็อยากให้ว่าที่ผัวไปด้วยงั้นหรือ” สีหน้าตรีศูลยียวนกวนประสาทสหายคนใหม่อย่างรู้ใจ
“ว่าที่ผัวอะไรของนาย เค้าเรียกว่าหาคนคุ้มกะลาเถอะ บอกตามตรงนะฉันไม่ไว้ใจวิชาอาคมของนายเลยตรีศูล แน่ใจนะว่าเรียนสำเร็จแล้วทำไมไม่มีออร่าบารมีเหมือนพ่อหมอคนอื่นเค้าบ้างเลยแบบบารมีข่มขวัญดูแล้วน่าเกรงขามอะไรแบบนี้อะ” กระดังงาปรายหางตามองเพื่อนชายสีหน้าย่ำแย่ประเดี๋ยวเขียวคล้ำประเดี๋ยวม่วงเข้ม
“กระดังงาเอ็งกับข้าเลิกเป็นสหายกันเถิด” ตรีศูลกล่าวเสียงเย็น บ่งบอกว่าขุ่นเคืองเต็มกำลัง
“ล้อเล่นน่า เพื่อนของฉันออกจะองอาจดูกราวใจเป็นที่สุด ผู้หญิงคนไหนเห็นเป็นต้องชายตาแลมองสะบัดม้วนแก้เขินทุกราย เออไปก็ไป ไปกี่โมงก็ว่ามา...” กระดังงาผละจากครกไม้หันมาบีบนวดให้สหายรักพัลวัล ทว่าภาพนั้นล้วนปรากฎสู่สายตาคมกริบของผู้มาใหม่
หญิงสาวรีบผละปล่อยมือจากบ่าแกร่งคลี่รอยยิ้มเจื่อนฝืดเฝื่อนให้พญาขาลทันที
“......” พญาขาลเดินมาฝากท้องที่เรือนไทยทรงโบราณตามปกติ ริมฝีปากสีเข้มพลันกระตุกยิ้ม จนบรรยากาศโดยรอบขมุกขมัวน่าอึดอัด
“ดูท่าแม่หนูผู้นั้นจะสนิทสนมกับลูกชายข้าหลานรักเอ็งน่าดู” ไอยศูรย์ที่กำลังนั่งบนแคร่ตัวยาวโดยมีเจ้ามิ่งคอยนวดบ่าแกร่งให้เอ่ยสุมไฟสีหน้าระรื่น
“เกี่ยวกระไรกับข้า ดีเสียอีกจะได้ไปพ้นหูพ้นตาข้าเสียที ข้าอยากจะไล่นางไปตายซะประเดี๋ยวนี้เห็นแล้วรำคาญหูรำคาญตา เอ็งก็รับไว้เป็นลูกสะใภ้ซะเลยสิ” พญาขาลเหยียดกายนอนบนแคร่ตัวยาวเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แสดงอาการไม่ยี่หระ
“ข้าได้ยินว่าสองคนนั้นนัดแนะจะไปปราบห่าก้อมที่หมู่บ้านป่าสัก” ไอยศูรย์เงี่ยหูฟังบทสนทนามานานเหมือนตาลุงแก่ข้างบ้านพูดขึ้น
“ผีห่าก้อมเลยหรือพ่อครู จะไหวหรอ ได้ข่าวมาว่าพ่อครูหลายตำหนักยังส่ายหน้าไม่กล้าไปลูบคมพญาผีปอบตัวนั้นเลยหนา แต่ข้าว่าหากเป็นพ่อครูหรือว่าพญาขาลไปอาจจะไหวอยู่” เจ้ามิ่งที่นิ่งเงียบมานานโพล่งปากถาม
“ข้าไม่อยากไปพัวพันชะตากรรมของผู้ใด งานหยาบ” ไอยศูรย์ถอนหายใจพรืดใหญ่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาพัวพันยุ่งเหยิงเปลี่ยนแปลงกับชะตาชีวิตผู้อื่นมามากพอแล้ว ครานี้คงต้องปล่อยตามเวรตามกรรม มิเช่นนั้นกฎฟ้าชะตาเมืองอาจลงทัณฑ์เขาได้
“หาใช่ธุระกงการกระไรของข้า ไยข้าต้องเสียเหงื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย พวกมันอันเชิญบูชาพญาปอบเอง หาเรื่องใส่ตัวพอเดือดร้อนขึ้นมาก็วิ่งเร่หาพุทธศาสนา สิ่งที่ควรกราบไหว้บูชาไม่กราบ ดันไปกราบไหว้บูชาพญาปอบ ช่างโง่เขลา...” พญาขาลเอ่ย
ต้นสายปลายเหตุเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดทั้งมวล ก็มาจากความละโมบโลภมากของชาวบ้านป่าสัก ที่คิดเร่งหาวิธีลัดนำรูปปั้นของพญาปอบหรือผีพญาห่าก้อมมาตั้งในหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชาขอโชคขอลาภ ทว่า...ผู้ควบคุมไม่มีอำนาจบารมีข่มผีพญาห่าก้อม เรื่องราวจึงได้ล่วงเลยบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้