“ขออนุญาตโทร. บอกเลขาผมว่าพวกเราอยู่ห้องไหนก่อนนะครับ”
เมื่อนิชาลีเดินตามหลังพนักงานเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวหญิงสาวก็พนมมือไหว้ทักทายสุรเกียรติที่เคยเจอกันแล้วอย่างสุภาพ ก่อนจะแจ้งกับพรนับพันเรื่องที่หาซื้อบลูเบอร์รีชีสเค้กที่เธอต้องการให้ไม่ได้
“เอ่อ คุณพายคะ พอดีดิฉันเดินหาร้านเบเกอรีในซอย S ตามที่คุณบอกแล้วไม่มี เลยไปดูซอยข้างกันอีกสามซอย แต่ก็ไม่พบร้านที่คุณบอกเลยค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
สุรเกียรติเลิกคิ้วมองหน้าลูกสาว พรนับพันทำหน้ารู้สึกผิดมากมายที่ทำให้นิชาลีเปลืองแรงและเสียเวลาโดยใช่เหตุ
“เหรอคะ เอ๊ะ หรือว่าพายจะจำผิด ขอโทษจริง ๆ นะคะที่ทำให้คุณเลขาต้องเหนื่อยเปล่า อุตส่าห์ลงไปเดินหาซื้อให้พาย”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นความสมัครใจของดิฉันอยู่แล้ว ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก” จริง ๆ ก็เหนื่อยอยู่หรอกแต่พูดแบบนั้นไม่ได้ไง เดินเขย่งบนส้นสูงสามนิ้วเข้าออกซอยตั้งสามสี่ซอยมองหาร้านที่ว่านั่น ไม่เหนื่อยก็ต้องมีเมื่อยกันบ้างล่ะ
“ไม่ได้หรอกค่ะ พายผิดเองที่จำร้านผิด... งั้นวันนี้คุณพ่อเป็นเจ้าภาพอาหารมื้อนี้นะคะ จะได้เป็นการขอโทษคุณเลขา” คุณหนูสาวหันไปอ้อนผู้เป็นพ่อ
“ได้เลยลูก” สุรเกียรติตอบรับแล้วยิ้มให้ลูกสาวอย่างเอ็นดู
“แล้ววันหลังพายค่อยขอเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณเลขากับพี่จิ๋นนะคะ” หันมายิ้มหวานกับจักรพรรดิ ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ซึ่งพรนับพันถือว่านั่นหมายถึงไม่ขัดข้อง
“เอ จะสั่งอาหารอะไรเพิ่มดีน้า คุณเลขาอยากทานอะไรสั่งมาได้เลยนะคะ”
“มะ ไ...ม่...” กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่หันไปเห็นสายตาคมที่ฉายแววดุหันมาจ้องคล้ายไม่อยากให้เธอขัดใจว่าที่ฮองเฮาของเขา
“เอ่อ งั้นอะไรก็ได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นเต้าหู้เหม็นก็แล้วกันนะคะ เป็นเมนูจานเด็ดของที่นี่เลยค่ะ แล้วก็เป็นเมนูโปรดของพระนางซูสีไทเฮาด้วย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพด้วยนะคะ แล้วก็ปลิงทะเลน้ำแดงก็แล้วกัน นี่ก็เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้”
“ค่ะ อะไรก็ได้ค่ะ” เคยได้ยินชื่อทั้งสองอย่างนั่นล่ะอย่างแรกเห็นคนรีวิวว่าอร่อยแม้ชื่อจะไม่ค่อยน่ากินเท่าไร แต่ไอ้อย่างที่สองนี่...อืม เอาเถอะอะไรก็ได้ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นของดำด้วยเนี่ย เธอไม่ใช่พระราหูเสียหน่อย
รอไม่นานอาหารที่พรนับพันสั่งให้นิชาลีก็ยกมาเสิร์ฟ เนื่องจากตัวเธอเองเพิ่งจะกินข้าวมันไก่สั่งแบบพิเศษเต็มจานจนอิ่มแปล้ไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี พอมาเห็นอาหารตรงหน้า แม้ทางร้านจะทำมาหน้าตาน่ากินไม่น้อย กระเพาะที่เต็มแน่นก็ทำท่าจะปฏิเสธให้รู้กันไป ถึงกับมีอาการอยากจะเรอ
“คุณเลขาเคยทานเต้าหู้เหม็นมั้ยคะ”
“ยังค่ะ ยังไม่เคยทานเลย”
“งั้นก็ลองทานดูสิคะ อร่อยนะ พายตักให้ค่ะ”
คุณหนูสาวอุตส่าห์ตักอาหารใส่จานให้เองกับมือแบบนี้ถ้าไม่ลองกินก็คงเสียมารยาทแย่ นิชาลีจึงใช้ช้อนตักเข้าปากชิมไปหนึ่งคำ รสชาติก็ไม่เลวนักหรอกสมกับเป็นอาหารมีชื่อแถมยังอยู่ในเมนูของภัตตาคารชื่อดัง แต่ติดที่ว่าตอนนี้ท้องของเธอเต็มไปด้วยข้าวมันไก่สั่งพิเศษที่ยังไม่ได้รับการย่อย เมื่อกินไปได้สองสามคำหญิงสาวจึงออกอาการเรอออกมาเบา ๆ
“หืม กินไปไม่กี่คำเอง อิ่มแล้วเหรอหนู”
เสี่ยสุรเกียรติเอ่ยยิ้ม ๆ ส่งสายตาคล้ายจะเอ็นดูเธอ แต่เมื่อมองลึกลงไปกลับไม่ใช่
“เอ่อ คือพอดีวันนี้ดิฉันทานมื้อกลางวันไปค่อนข้างเยอะ ยังรู้สึกอิ่ม ๆ อยู่น่ะค่ะ”
จักรพรรดิเหลือบมองนิชาลี จำได้ว่าตอนกลางวันเธอไม่ได้กินมากกว่าปกติ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะคลายออก
เมื่อจบมื้ออาหารและนั่งคุยกันต่อจนสมควรแก่เวลาที่ต้องแยกย้าย ในใจของพรนับพันคิดว่าถ้าไม่ติดว่ามีทั้งบิดาและเลขาของจักรพรรดิอยู่ด้วยเธอคงจะชวนเขาไปต่อที่ไหนสักแห่ง หรือถ้าเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเธอก็จะตอบรับอย่างไม่อิดออดแต่เหมือนจะไม่มีวี่แววในทางนั้น
“แล้วนี่หนูกลับยังไงล่ะ”
เป็นสุรเกียรติที่เอ่ยปากถามไปยังนิชาลี แล้วคนที่ตอบเรื่องนี้ออกมาก็เป็น
“กลับกับผมเองครับ วันนี้เราออกมาทำงานด้วยกัน”
“อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ คือเจ้านายส่งดิฉันตรงสถานีรถไฟฟ้าค่ะ แล้วดิฉันก็กลับคอนโดต่อเอง” นิชาลีขยายความตามที่ควรเพื่อกันไม่ให้ว่าที่พ่อตาของเขาเกิดข้อสงสัย
“เลขาของเจ้านายที่เก่งรอบด้านแบบคุณจิ๋นนี่คงไม่ธรรมดา ใช่มั้ยครับคุณจิ๋น” สุรเกียรติยิ้มให้จักรพรรดิ แล้วหันมาพูดกับนิชาลี
“หนูนี่คงทำงานเก่งมาก ดูคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน” เสี่ยใหญ่เอ่ยชม “ถ้าผมมีแบบนี้สักคน งานของผมคงคล่องตัวขึ้นอีกเยอะเลย”
ดวงตารีเล็กของสุรเกียรติมีแววหื่นกระหายวาบขึ้น
พูดจั่วหัวมาซะขนาดนี้ไม่ต้องจบปริญญาโทแบบเขาก็เข้าใจว่าเสี่ยสุรเกียรติกำลังสนใจเลขาของเขาแววตาของจักรพรรดิจึงเข้มขึ้นอีกเฉด แต่ริมฝีปากกลับผุดรอยยิ้ม หากไม่ใช่คนใกล้ชิดจริง ๆ จะไม่รู้ว่ายิ้มแบบนี้ของจักรพรรดิหมายถึงเขากำลังไม่พอใจอย่างแรง
“คงต้องให้ฝ่ายบุคคลสรรหาให้สักคนแล้วล่ะครับ เดี๋ยวนี้คนเก่ง ๆ เยอะ คงหาที่ดีแล้วก็เก่งถูกใจได้ไม่ยากครับ”
สุรเกียรติจับความนัยในน้ำเสียงนั้นได้ แต่แสร้งทำเป็นหัวเราะ
“นั่นสินะครับ”
พอเจ้านายกับเลขาเดินออกไปพ้นสายตา สองพ่อลูกก็หันมามองหน้ากัน พรนับพันแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“คุณพ่อว่าพี่จิ๋นกับยัยเลขานั่นมีอะไรมากกว่าเจ้านายกับลูกน้องมั้ยคะ”
ผู้เป็นบิดาหัวเราะอย่างคนที่ผ่านโลกมาก่อน และใช้สัญชาตญาณของผู้ชายที่มีอยู่ในตัวตัดสิน
“ไม่เหลืออยู่แล้ว น้ำมันใกล้กับไฟขนาดนี้”
“คุณพ่อ แต่ลูกไม่ยอมนะ”
“ก็ตอนนี้ลูกกับผู้ชายคนนั้นไปถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ”
“ก็อย่างที่คุณพ่อเห็น ก็คุย ๆ กันอยู่... แหม แต่ก็ดูท่าเหมือนคุณพ่อสนใจคุณเลขาของเขานะคะ”
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวสวมบทเป็นเจ้าหญิงเอาแต่ใจขึ้นมา
“เอาน่าลูก ยังไงพ่อก็ไม่ยกใครขึ้นมาเทียบกับแม่ของลูกที่ตายจากเราไปอยู่แล้ว”
เสี่ยสุรเกียรติโอบกอดลูกสาวที่ปั้นหน้างอน ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้พรนับพันก็รู้ดีว่าบิดาเลี้ยงผู้หญิงไว้หลายคน ทว่าเธอไม่ได้สนใจและไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนังเล็ก ๆ เหล่านั้นของบิดา กับผู้หญิงพวกนั้นมันคนละชั้นกับเธอ เธอมองว่าพวกหล่อนทั้งหลายนั่นก็แค่ของเล่นของผู้ชายคลายเหงา แค่อย่ามายุ่งวุ่นวายกับเธอก็พอ แต่พอได้รู้แบบค่อนข้างแน่ใจว่าจักรพรรดิก็มีเลขาเป็นนางบำเรออยู่ใกล้ตัว แบบนี้เธอยอมไม่ได้
“งั้นถ้าคุณพ่อรู้สึกชอบ คุณพ่อก็ช่วยจัดการแยกนังนั่นออกมาจากพี่จิ๋นให้ลูกด้วยนะคะ เห็นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“อะไรที่เป็นความสุขของลูกพายพ่อทำให้อยู่แล้ว”สุรเกียรติยิ้มร้าย
“ดีค่ะ”
^
^
^
***ลางไม่ดีแล้ว สองพ่อลูกนี่คิดทำไรหนมนิม กดหัวใจ คอมเม้นมาให้เยอะ ๆ นะคะ
ebook กำลังละเลงตอนพิเศษ ค่า