ตอนที่ 5

3946 Words
“กำลังจอดรถน่ะ เดี๋ยวคงมาพักต์กับคุณฝนสุดาคุณแววตาสั่งอาหารรอตาจุลเลยครับ” เกริกวิทย์บอกอดีตภรรยากับเพื่อนให้สั่งอาหารรอลูกชายเพราะวันนี้เขาไม่รีบมีเวลาให้อดีตภรรยาคุยธุระจนกว่าเธอจะพอใจ “ฝนกับครูแววสั่งเลยจ้ะ อาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่างเลยจ้ะ” พักต์พริ้งบอกสาวสาวใหญ่แล้วเธอก็สั่งอาหารเผื่อลูกชายของเธอ “สั่งให้พี่ด้วยสิครับพักต์” เกริกวิทย์บอกอดีตภรรยาเบาๆ “คุณก็สั่งเองสิคะ” “ไหนๆพักต์ก็สั่งให้ลูกแล้วก็สั่งให้พี่ด้วยนะครับ” เกริกวิทย์พูดกับอดีตภรรยาแล้วยิ้มเมื่อเธอค้อนเขา “ก็ได้ พักต์เห็นแก่เด็กๆหรอกนะถึงสั่งให้” พักต์พริ้งพูดตรงๆเพราะเธอปล่อยวางทุกอย่างไม่อยากจดจำเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับสามีไม่งั้นชีวิตของเธอก็จะจมอยู่กับอดีตไปสามารถก้าวเดินต่อไปได้ตอนนี้ถามว่ารู้สึกยังไงที่เจอกับอดีตสามี เธอบอกได้เลยว่าเกริกวิทย์เป็นแค่คนรู้จักคนหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและก็ผ่านไปเท่านั้น ในเมื่อเธอเลือกเดินออกมาจากชีวิตเขาแล้วก็จดจำแต่เรื่องดีๆไว้และตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วหากตอนนั้นเป็นเธอก็ต้องเลือกแม่เหมือนเขาเช่นกัน “ขอบคุณครับ” เกริกวิทย์ยิ้มให้อดีตภรรยาไม่ว่าพักต์พริ้งจะด่าจะว่าเขายังไงเขายอมรับผิดทุกอย่างเพราะได้ทำผิดต่อเธอจริงหากเขาหนักแน่นมากกว่านี้ก็คงจะดี อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอไม่ลำบากเพราะแลกเปลี่ยนกับแม่ยกหุ้นในบริษัทให้พักต์พริ้งไม่งั้นเขาไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เลือกให้ตามที่ท่านต้องการและขอแค่ได้ดูแลเธออยู่ห่างๆก็พอใจแล้ว “เรามาคุยกันรออาหารและรอตาจุลก่อนดีกว่านะคุณเกริก” พักต์พริ้งดึงสติอดีตสามีที่นั่งมองเธอ “ได้ครับ พักต์กับคุณฝนคุณแววต้องการให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยครับ ผมยินดีให้ความช่วยเหลือเพราะปกติคุณแม่กับพี่นวลและบริษัทของเราก็บริจาคเงินสนับสนุนการเรียนการศึกษาให้สถานสงเคราะห์ทุกปีและยังมีบริษัทในเครือและพันธมิตรมากมายก็ช่วยกันบริจาคด้วยครับ” เกริกวิทย์พูดกับสามสาวต่างสไตล์ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือเด็กอยากไร้ที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งและมีอุดมคติเดียวกันน่ายกย่องนับถือหัวใจของพวกเธอจริงๆแล้วเขาจะนิ่งดูดายได้ยังไง “ก็ตามที่พักต์เล่าให้คุณฟังนั่นแหละว่าอยากสร้างบ้านพักให้เด็กๆมีโรงอาหาร มีสนามฟุตบอลและมีบ้านพักของแม่ครัวและครูอาสาบนที่ดินห้าไร่แค่นี้แหละค่ะ” พักต์พริ้งเป็นคนพูดกับอดีตสามีสำหรับเกริกวิทย์เป็นเรื่องง่ายมากเพราะเป็นงานของเขาไม่ว่าจะเป็นโปรเจคเล็กใหญ่ทำได้หมด “ที่ดินห้าไร่จะเพียงพอสำหรับเด็กๆเหรอครับ” “พอค่ะ ที่เดิมก็มีที่ดินห้าไร่เหมือนกันยังมีเหลือให้เด็กปลูกผักด้วยค่ะ” แววตาตอบเกริกวิทย์เพราะบ้านมาลัยรักก็มีพื้นที่ห้าไร่เพียงพอสำหรับเด็กๆหากบ้านหลังใหม่จะสร้างห้องพักให้เด็กๆเพิ่มขึ้นก็คงจะดี “แล้วต้องการบ้านพักของเด็กๆเป็นแบบไหนครับ ตอนนี้มีเด็กกี่คนครับ” นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ถามรายละเอียดของเด็กๆในบ้านมาลัยรักเพื่อนจะได้คำนวนถูกว่่าจะสร้างบ้านแบบไหน “ที่เดิมเป็นตึกสองชั้นค่ะ ตอนนี้มีเด็กทั้งหมดแปดสิบคนก็อยู่ห้องละสามคนสี่คนเพราะทางคุณมาลัยท่านแก่แล้วลูกหลานก็ไม่อยากให้สร้างเพิ่มแต่เด็กๆก็พออยู่ด้วยกันได้ค่ะ” “ที่ดินห้าไร่สร้างบ้านพักให้เด็กๆและบ้านพักครูอาสาสองไร่โรงอาหารหนึ่งไร่สนามฟุตบอลหนึ่งไร่ปลูกผักหนึ่งไร่ประมาณนี้ได้มั้ยครับ เราจะสร้างเป็นตึกสามชั้นเป็นรูปตัวยูและสร้างสำนักงานบ้านพักครูอาสาและแม่ครัวตรงกลางเพื่อจะได้ดูแลเด็กๆสะดวก ครูแววตา คุณฝนสุดาและพักต์คิดว่ายังไงครับ” เกริกวิทย์เสนอโครงการใหม่ของอดีตภรรยาเพราะมันเป็โจทย์ง่ายมาก “ครูแววกับฝนว่ายังไงจ้ะ” “เธอว่าไงฝน ฉันว่ามันโอเคเลยนะ” “ฉันก็ว่าดีนะครูแวว พี่พักต์ว่ายังไงล่ะคะ” “พี่ก็เห็นด้วยกับคุณเกริกเหมือนกันจ้ะ” พักต์พริ้งเชื่อมือของอดีตสามีเพราะเขาเป็นคนออกแบบตึกรามบ้านช่องมามากมาย “ผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ ตรงนี้เป็นที่ดินห้าไร่พื้นที่ด้านหลังตึกหนึ่งไร่สำหรับเด็กๆปลูกผักสวนครัวตรงนี้เป็นบ้านพักของเด็กๆบ้านพักและสำนักงานและฝั่งซ้ายมือเป็นโรงอาหารและฝั่งขาวมือเป็นสนามฟุตบอล นี่ผมวางแผนไว้คร่าวๆแต่ต้องไปดูที่ดินก่อนว่าจะทำได้ตามที่ผคิดไว้หรือเปล่า “คุณเกริกอธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายมากมองเห็นภาพเลยค่ะ” ฝนสุดาออกปากชมเกริกวิทย์ที่สามารถคิดงานออกมาได้เป็นฉากๆและยังอธิบายให้ฟังเข้าใจง่าย “แล้วจะสร้างห้องพักเผื่อไว้มั้ยครับ” “ไม่ต้องค่ะ ร้อยห้องก็น่าพอแล้วค่ะส่วนมากเด็กเล็กจะอยู่ด้วยกันฉันอยากให้มีห้องใหญ่สำหรับเด็กเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะได้อยู่รวมกันและดูแลกันได้ง่ายด้วยค่ะ” แววตาบอกผู้อุปถัมภ์คุณคนใหม่ที่จะสร้างบ้านพักให้เด็กๆ “คุณเกริกคิดว่าจะใช้เวลากี่เดือนคะ เพราะทางโน้นให้เวลาย้ายเด็กๆออกแค่สามเดือนค่ะ” พักต์พริ้งถามอดีตสามีเพราะทางลูกชายของคุณมาลัยให้เวลาแค่สามเดือน “ที่จริงสามเดือนก็เสร็จนะแต่เผื่อเหลือเวลาไว้สักเดือนก็น่าจะดีเผื่อเฟอร์นิเจอร์ เดี๋ยวผมไปคุยทางนั้นเองเพราะเขาจะให้บริษัทของผมสร้างบ้านตรงนั้นพอดี” เกริกวิทย์พูดกับสามสาวเพราะอุทัยว่าจ้างให้บริษัทของเขาสร้างคอนโด “จริงเหรอคะคุณเกริก” “ครับ ถ้าเขาชื่อคุณอุทัยนะครับ” กริกวิทย์ตอบครูแววตาเพราะนายอุทัยใช้บริการบริษัทของเขาสร้างคอนโดและอาพาร์ทเมนท์หลายแห่งและคุ้นเคยดันดีแต่ไม่รู้ว่าแม่ของอุทัยเป็นผู้อุปถัมภ์บ้านเด็กกำพร้าเพราะติดต่อแค่เรื่องงานเท่านั้น “ใช่ค่ะ คุณอุทัยเขาต้องการที่ดินไปสร้างบ้านให้ลูกชายค่ะ” ครูแววพูดแล้วก็รู้สึกเสียใจที่ลูกชายของคุณมาลัยไม่ยอมผ่อนปรนให้เธอได้จัดการเรื่องที่อยู่ของเด็กๆก่อนเพราะที่ให้ย้ายไปไม่มีอะไรเลยแล้วเด็กๆจะกินนอนยังไงจะเอาไปฝากที่สถานสงเคาระห์ที่รู้จักห้องพักก็เต็มเธอจึงต้องดิ้นรนเพื่อทุนสร้างที่อยู่ให้เด็กๆ “งั้นไม่มีปัญหาครับ แต่เขาไม่ได้สร้างบ้านนะเขาให้บริษัทของผมสร้างคอนโดครับ เดี๋ยวเรื่องเวลาผมจะจัดการเองครับ” เกริกวิทย์บอกให้ทั้งสามรู้ว่าที่ดินตรงบ้านมาลัยรักนั้นอุทัยจะสร้างคอนโดเพราะมันสร้างรายได้ให้เขามากกว่าสร้างบ้าน “ก๊อกกๆๆ..” เสียงเค่ะประตูดังขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่สมาร์ทหล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเดินตามพนักงานเข้ามาในห้องอาหารแล้วยกมือไหว้พ่อแม่และสองสาวใหญ่เพื่อนของแม่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน “สวัสดีครับพ่อ คุณแม่ คุณน้า” “นั่งก่อนลูก นี่น้าฝนกับน้าแววเพื่อนแม่จ้ะ นี่ตาจุลลูกชายของพี่จ้ะ” พักต์พริ้งแนะนำลูกชายให้รู้จักเพื่อนรุ่นน้องทั้งสอง “ลูกของผมด้วยครับ” เกริกวิทย์พูดขึ้นยิ้มๆแล้วได้รับค้อนจากอดีตภรรยา “น้าเคยเห็นคุณจุลแต่ในทีวีก็ว่าหล่อแล้วตัวจริงหล่อกว่าในทีวีมากเลยจ้ะ” ฝนสุดาชมลูกชายของสาวรุ่นพี่ที่หล่อราวกับดารามิน่าล่ะถึงเนื้อหอมมีข่าวกับสาวๆบ่อยทั้งที่มีแฟนแล้ว “ขอบคุณครับคุณน้า” จุลภัทรขอบคุณเพื่อนของแม่ “อาหารมาแล้ว กินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกันนะลูก” พักต์พริ้งพูดกับลูกชายลูบหลังไปมาแล้วยิ้มมีความสุขที่ได้เจอลูก “ครับคุณแม่” จุลถภัทรยิ้มให้แม่และทุกคน จากนั้นทุกคนก็รับประทานอาหารกลางวันอิ่มแล้วก็ดื่มกาแฟคุยกันเรื่องสร้างบ้านพักให้เด็กๆหลังจากฟังแม่และเพื่อนของท่านคุยให้ฟังจุลภัทรเลยตัดสินใจจะไปดูที่ดินและออกแบบให้ด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาเขาก็ไปบริจาคร่วมกับย่าและป้าทุกปีแต่ไม่เคยรับรู้เรื่องแบบนี้ทำให้เขาสงสารเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งยังต้องมาถูกไล่ที่อีกเขาใจดำไม่ลงจริงๆ “คุณแม่คกับคุณน้าว่างวันไหนครับ จะได้ไปดูที่ดินด้วยกัน” “พรุ่งนี้ได้มั้ยลูกแม่กับน้าๆว่างพอดี” “ได้ครับคุณแม่งั้นพรุ่งนี้ผมไปรับนะครับ” “ได้ลูก งั้นแม่กับน้าฝนน้าแววกลับก่อนนะจ้ะ” พักต์พริ้งพูดกับลูกชายอย่างอ่อนโยน “ครับคุณแม่ ขับรถดีๆนะครับ” จุลภัทรรู้ว่าแม่ชอบขับรถเองท่านบอกว่าหากหยุดขับก็กลัวจะขับไม่ได้เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องพึ่งคนอื่นตลอดก็เลยขับรถเองยกเว้นออกต่างจังหวัดถึงจะให้คนขับรถให้ “ขอบคุณคุณเกริกกับคุณจุลมากนะคะ เป็นบุญของเด็กๆที่คุณเกริกกับคุณจุลและพี่พักต์ช่วยเหลือไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะช่วยเหลือเด็กๆต่อไปได้ยังไง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” แววตายกมือไหว้ขอบคุณเกริกวิทย์กับพักต์พริ้ง “ไม่เป็นไรครับคุณแวว อันไหนผมกับครอบครัวพอจะช่วยได้ก็ขอให้บอกนะครับ พวกเรายินดีครับ” เกริกวิทย์รับไหว้เพื่อนของอดีตภรรยาและบอกไม่ต้องเกรงใจเขาเต็มใจช่วยและมองตามอดีตภรรยากับเพื่อนเดินออกไปจากห้องอาหาร “คุณแม่ออกไปนานแล้วครับพ่อ” จุลภัทรพูดกับพ่อที่มองตามแม่ของเขาทั้งที่ออกไปนานแล้ว “เออ..รู้แล้วน่า” เกริกวิทย์หันมามองลูกชายที่มองเขาอย่างจับผิด “แกไม่ต้องมองพ่อแบบนั้นเลยนะ” “มองแบบไหนครับ” “ก็แบบที่แกมองอยู่ตอนนี้ไง แกไม่เข้าใจหรอกนะจุลว่าการที่เราตัดสินใจทำเพื่อคนที่รักและเคารพมันทำให้คนที่เรารักสุดหัวใจต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน” คนเป็นพ่อพูดแล้วถอนหายใจเพราะเขาทำให้อดีตภรรยาเสียใจเพราะเลือกแม่ทำให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลวและหย่าร้างกัน “แล้วทำไมตอนนั้นพ่อถึงเลือกปล่อยมือคุณแม่ล่ะครับ” เขาโตพอที่จะเข้าใจเรื่องของหัวใจและทุกครั้งที่พ่อเจอแม่ท่านจะดีใจมากจนเก็บอาการไม่อยู่จะแสดงความรักและห่วงใยอย่างออกนอกหน้าปกติจะเจอกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกรับประทานอาหารด้วยกันแค่ปีละครั้งในวันครบรอบวันเกิดของเขาและถ้าไม่จำเป้นจริงๆแม่จะไม่เจอพ่อเหมือนครั้งนี้ที่ท่านจำเป็นถึงได้นัดมาคุยเพราะไม่อยากมีปัญหากับครอบครัวใหม่ของพ่อ “ตอนนั้นพ่อมันโง่เองแหละที่คิดว่าตัวเองทำเพื่อแม่ แต่มันไม่ใช่ พ่อเป็นคนทำลายความรักและความไว้เนื้อเชื่อใจแม่ของลูกพ่อทำร้ายแม่ของลูกจนไม่น่าให้อภัย ทำให้พ่อรู้สึกผิดต่อแม่ของลูกมาจนถึงทุกวันนี้ ยังดีที่แม่ของลูกให้อภัยพ่อถึงแม้จะไม่ได้เจอกันแต่พ่อยังได้ข่าวแม่ของลูกจากลูกจากเพื่อนๆน้องๆว่ามีความสุขดีแค่นี้พ่อก็สบายใจแล้ว จุลเองก็เหมือนกันนะลูกจะทำอะไรก็คิดให้ดีเรื่องงานพ่อรู้ว่าจุลทำได้ดีมากแต่เรื่องหัวใจต้องใช้หัวใจตัดสินอย่าใช้อารมณ์หรือเห็นแก่คนอื่นแม้คนนั้นจะเป็นพ่อแม่ไม่งั้นชีวิตของลูกจะไม่มีความสุข” เกริกวิทย์พูดกับลูกชายที่ไม่ค่อยได้เจอกันเพราะต่างก็ทำงานและลูกชายอยู่บ้านย่าเขาอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งกับครอบครัวใหม่มีลูกอีกสองคนและลูกก็ไม่ได้มีปัญหากัน “ผมยังมีอะไรให้ทำอีกมากมายครับพ่อ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้หรอกครับ” จุลภัทรก็ไม่ได้โทษพ่อหรือแม่เพราะพวกท่านก็มีเหตุผลของตัวเองและเขารู้เหมือนกันว่าหากมันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจะตัดสินใจยังไงหากให้เลือกระหว่างพ่อแม่กับผู้หญิงเขาคงเลือกพ่อแม่แน่นอน “แล้วเรื่องแฟนของลูกล่ะ พ่อได้ข่าวว่าทางโน้นอยากให้แต่งงานไม่ใช่เหรอลูก” คนเป็นพ่อถามลูกชายเขาได้ข่าวพ่อแม่ของผู้หญิงต้องการให้ลูกสาวแต่งงาน “ผมกับปุ้มเราคบกันยังไม่ถึงขั้นแต่งงานครับ ผมยังไม่พร้อมจะแต่งงานหากเธอจะแต่งงานเจ้าบ่าวก็คงไม่ใช่ผมครับ” เขาไม่ได้เจอกับพัชรียามาตั้งแต่เจอกันครั้งล่าสุดเมื่ออาทิตย์ก่อนและเธอเป็นฝ่ายบอกเลิกกับเขาแต่เขายังให้เลขาโอนเงินให้เธอไปเที่ยวกับเพื่อน “จุลจะคบใครรักใครพ่อไม่ว่าขอให้รักกันจริงไม่ใช่แต่งงานกันเพราะความเหมาะสมทางสังคมเพราะมันจะทำให้ลูกไม่มีความสุข” คนมีประสบการณ์มาก่อนสอนลูกชายไม่อยากให้เป็นเหมือนตัวเอง “ครับพ่อ แล้วนี่พ่อจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ” “พ่อว่าจะไปหาย่าลูกน่ะ พอดีจะคุยเรื่องนี้ด้วยเพราะคอนเน็คชั่นของย่ามีเยอะหากจะระดมทุนช่วยเหลืออย่างจริงจังและเพื่ออนาคตก็ต้องหาตัวใหญ่ๆมาเป็นผู้มีอุปถัมภ์และจัดการในภายในบ้านให้เป็นระบบต่อไปจะได้ไม่มีปัญหาเหมือนตอนนี้” เขารับปากอดีตภรรยาแล้วก็จะช่วยเหลือเต็มที่ “งั้นก็ทำเป็นมูลนิธิให้คุณย่ากับป้านวลดีมั้ยครับพ่อ แล้วเราก็แบ่งเงินปันผลออกมาบริจาคทุกปีผมว่าไม่น่าจะมีใครคัดค้านนะครับ” จุลภัทรพูดกับพ่อเพราะเงินปันผลจากรายได้ทั้งหมดของบริษัทที่เป็นเงินกงสีและทุกคนจะได้ตามสัดส่วนของตัวเองตามที่ปู่ได้จัดการไว้ให้ลูกหลานและย่าก็ทำมาตลอด “งั้นเราไปคุยกับย่าของลูกกันเลยมั้ย” “ก็ได้ครับพ่อ” จากนั้นสองพ่อลูกก็ตรงกลับบ้านเพื่อคุยเรื่องนี้กับแม่และพี่สาวซึ่งจะรอช้าไม่ได้เพราะเด็กๆไร้ที่อยู่อาศัยและการจัดตั้งมูลนิธิก็มีขั้นตอนแต่ไม่ยอกหากมีจุดประสงค์ชัดเจนในการช่วยเหลือเด็กกำพร้าหรือเด็กด้อยโอกาสเพื่อการศึกษาของเด็กๆให้เติบโตมาเป็นคนดีของสังคม เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน วันนี้จุลภัทรเพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากไปดูงานที่ชลบุรีที่กำลังรีโนเวทโรงแรมหรูหกดาวริมทะเลที่บางแสนและสร้างใหม่อีกทีแห่งหนึ่งพอเข้าบ้านก็พบย่าและเพื่อนของป้าพาลูกสาวมาแนะนำให้รู้จักทำเอาชายหนุ่มถึงกับเซ็งแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ “ใครโทรมาเหรอตาจุล” คุณหญิงพิมลวรรณ วัฒนพรหมสรณ์ หญิงเหล็กแห่งวงการธุรกิจก่อสร้างที่สานต่องานของสามีที่เสียชีวิตจากเครื่องบินเล็กตกที่ต่างประเทศขณะไปติดต่อธุรกิจทำให้คุณหญิงพิมลวรรณต้องดูแลธุรกิจก่อสร้างต่อจากสามีและตอนนั้นลูกสาวคนโตวัยยี่สิบสี่ปีเรียนจบปริญญาโทพอดีจึงมาช่วยงานแม่ ส่วนลูกชายคนกลางวัยยี่สิบสองปีเรียนมหาลัยปีสุดท้ายและคนเล็กเรียนมหาลัยปีสอง นวลพรรณลูกสาวคนโตก็กลับมาช่วยแม่บริหารงานและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ากลับมาและยังขยายกิจการครอบคุมครบวงจรและยังสร้างบ้านสร้างคอนโดหรูหราหลายแห่งทำให้ชื่อของคุณพิมลวรรณขึ้นเป็นหนึ่งในสิบของนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยฉายาหญิงเหล็ก ส่วนนวลพรรณก็ไม่น้อยหน้าแม่ได้รับฉายาว่าดอกไม้เหล็กแห่งวงการธุรกิจ พอเกริกวิทย์เรียนจบปริญญาโทรจาอเมริกาก็มารับผิดชอบงานด้านบริหารขยายกิจการเป็นโรงแรมตามเมืองใหญ่แหล่งท่องเที่ยวของประเทศมีบริษัทในเครือกว่าห้าสิบบริษัทแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์กลลายเป็นมหาชน และคุณหญิงพิมลวรรณก็เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลก่อนจะเกษียณตอนอายุหกสิบปีให้ลูกสาวลูกชายบริหารต่อและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยจนมารุ่นหลานของท่านคือ จุลภัทร วัฒนพรหมสรณ์ หลานชายคนโตหัวแก้วหัวแหวน “คุณแม่ครับ ผมขอตัวคุยกับคุณแม่ก่อนนะครับคุณย่า” จุลภัทร วัฒนพรหมสรณ์ วัย30ปี หนุ่มหล่อคมเข้มทายาทคนโตของเกริกวิทย์นักธุรกิจชื่อดังกับพักต์พริ้งอดีตดาวมหาลัยที่เคยทำงานในบริษัทตำแหน่งผู้จัดการการตลาดก่อนจะลาออกมาแต่งงงานกับเกริกวิทย์มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนก่อนจะเลิกกันแล้วจำใจยอมให้ลูกชายอยู่กับพ่อเพราะเขามีฐานะมั่นคงสามารถทำให้ลูกชายอยู่สุขสบายไม่งั้นแม่สามีจะฟ้องร้องขอเลี้ยงดูหลานยังดีที่ให้แม่ลูกเจอกันไม่กีดกันเธอกับลูกชาย “เย็นนี้แม่จันกับหนูลูกปัดก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ” คุณหญิงพิมลพรรณบอกแขกทั้งสองจะว่าเป็นการดูตัวก็ได้ท่านอยากให้หลานชายแต่งงานกับคนที่เหมาะสมคู่ควรไม่ใช่สาวไฮโซที่เป็นนางแบบสาวที่แต่งตัวล่อเสือล่อจะเข้อวดเนื้อหนังมังสาให้คนดูทั้งประเทศถึงจะมีชาติมีตระกูลแต่ข้างในกลวงโบ๋หากแต่งงานกับหลานชายก็คงสูบเลือดสูบเนื้อแน่ท่านจึงไม่ยอมรับแฟนสาวของหลานชายคนโปรด “ค่ะคุณหญิงป้า/ค่ะคุณหญิงย่า” สองแม่ลูกมองหน้ากันแล้วยิ้มเมื่อคุณหญิงพิมลวรรณชวนทานอาหารเย็นจึงรับปากทันทีเพื่อให้ลูกสาวได้ใกล้ชิดกับจุลภัทรหากจับพลัดจับพลูได้เป็นหลานสะใภ้คุณหญิงลูกสาวของเธอไม่ต้องทำงานทำการก็สบายไปทั้งชาติ จากนั้นก็คุยเรื่องสวยๆงามๆและเครื่องเพชรเครื่องทองตามประสาผู้หญิงเพื่อรอจุลภัทรที่หายออกไปคุยโทรศัพท์ครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่กลับเข้ามาแต่คุณหญิงพิมลวรรณก็พอจะรู้แล้วว่าหลานชายกำลังหาทางซิ่ง “ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักกันหนา แม่นวลไปดูหลานหน่อยสิแล้วบอกให้มาคุยกับหนูลูกปัดหน่อยคุยกับคนแก่นานๆคงเบื่อแย่คุณหญิงพูดเสียงขุ่นเล้กน้อยที่พักต์พริ้งโทรมาหาหลานชายได้จังหวะพอดเหมือนกับรู้ว่าเธอนัดผู้หญิงมาให้หลานชายดูตัว ตอนนี้เธอเหมือนไม้ใกล้ฝั่งก็อยากให้หลานมีครอบครัวจะได้หมดห่วง “เดี๋ยวตาจุลก็มาค่ะคุณแม่ นวลไปดูในครัวก่อนละกันถ้าอาหารเสร็จแล้วจะได้ตั้งโต้ะเลย” นวลพรรณพูดกับแม่สำหรับเธอนั้นเข้าใจอดีตน้องสะใภ้ดีและเห็นใจทั้งน้องสะใภ้และน้องชายที่ถูกกดดันเพราะเธอไม่ยอมแต่งงานแต่เรื่องมีลูกไม่มีใครสามารถบังคับกะเกณฑ์ฝืนธรรมชาติได้ในเมื่อมีลูกได้คนเดียวก็ไม่แปลกแต่แม่ของเธอไม่ยอมถึงขนาดจะจ้างผู้หญิงมาอุ้มบุญแต่พักต์พริ้งไม่ยอมจึงทะเลาะกันใหญ่โตแล้วพักต์พริ้งก็ให้สามีเลือกซึ่งน้องชายเธอก็เลือกแม่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองขาดสะบั้นแต่เธอก็ยังพบปะนัดทานข้าวดื่มกาแฟพาหลานชายไปเจอแม่บ่อยๆ “ลูกปัดไปช่วยค่ะคุณป้า” ฉัตรธิดาพูดจบก็ลุกขึ้นทั้งที่ทำอาหารไม่เป็นแต่ก็อยากไปช่วยเพื่อเอาหน้าผู้ใหญ่จะได้เอ็นดู “ไม่เป็นไรจ้ะหนูลูกปัด ป้าแค่ไปดูเด็กเขาน่ะ” “ ให้ลูกปัดไปช่วยเถอะจ้ะนวล ถึงลูกปัดจะทำอาหารไม่เป็นช่วยเสิร์ฟก็ยังดีนะเธอ” จรรยาสนับสนุนลูกสาวให้ไปช่วยเพื่อนในครัวและพูดตรงๆว่าลูกสาวทำอาหารไม่เป็น “ตอนนี้ยังไม่เป็นแต่อนาคตก็ต้องหัดทำนะหนูลูกปัด หากแต่งงานไปก็จะต้องดูแลสามีกับลูกจะมาพึ่งแต่คนใช้คงไม่ได้หรอกนะ” คุณหญิงพูดขึ้นเมื่อได้ยินเพื่อนของลูกสาวบอกว่าลูกสาวทำอาหารไม่เป็นยังไงผู้หญิงก็ต้องพอทำเป็นบ้างหากแต่งงานไปแล้วจะดูแลสามีกับลูกยังไง “ค่ะคุณหญิงย่า” “งั้นให้ยัยปัดมาเรียนกับเธอได้มั้ยนวล” จรรยาถามเพื่อนเพราะเธอเองก็ทำอาหารไม่เก่งเหมือนเพื่อน “ได้สิจัน ว่าแต่หนูลูกปัดจะทำงานไม่ใช่หรือไงแล้วจะมีเวลามาหัดทำอาหารเหรอ” เธอยินดีสอนลูกสาวเพื่อนแต่ท่าทางของลูกปัดจะไม่ได้ชอบทำอาหารและเธอก็เห็นลูกเพื่อนมาตั้งแต่เด็กและไม่ได้เจอช่วงที่ไปเรียนต่อเท่านั้น “ได้ค่ะคุณป้านวล ตอนนี้ลูกปัดเพิ่งกลับมาก็อยากจะพักก่อนสักเดือนสองเดือนเพราะเรียนมาตั้งนานค่ะ” แค่สองเดือนเธอน่าจะสนิทกับจุลภัทรได้หากมาที่นี่บ่อยก็ต้องเจอเขาและจะเอาชนะใจเขาให้ได้เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเธอเท่าทายาทตระกูลวัฒนสิริสรณ์ อีกแล้ว “งั้นไปกันเถอะจ้ะ” นวลพรรณพูดกับลูกสาวเพื่อนแล้วเดินนำไปในครัว “ตู้ดด..” “ว่าไงตาจุล” “ผมมีธุระวันนี้ไม่อยู่ทานข้าวด้วยนะครับ ป้านวลบอกคุณย่าให้ผมหน่อยนะครับ” จุลภัทรโทรบอกป้าเขาไม่อยากอยู่ทานข้าวกับย่าที่มักจะพาลูกหลานของเพื่อนท่านและเพื่อนของป้ามาให้เขาดูตัว เขาหาเมียเองได้เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมเขาคิดว่ายังมีอีกหลายอย่างที่สำคัญกว่าการแต่งงานจึงทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอแฟนสาวแต่ก็รู้ข่าวคราวบ้างก็ไม่ได้สนใจหากพัชรียาเลือกจะไปจากเขาก็ให้เธอเป็นคนตัดสินใจเองเพราะเขาไม่สามารถให้คำสัญญากับใครได้จะว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้เพราะความสุขทั้งชีวิตหากคิดไม่ดีเลือกผิดชีวิตก็เหมือนตกนรกดีๆนี่เองเห็นได้จากคนรอบข้าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD