Risk Friend : 04 - 1

1635 Words
Risk Friend : 04 -------------- ผัวะ! “เชี่ย! ไรวะ!” ทันทีที่คนถูกลอบประทุษร้ายเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวแล้วหันมาเกรี้ยวกราดใส่ มือข้างนั้นของฉันก็ตวัดปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ วิญญาณผู้บริสุทธิ์เข้าสิงแบบฉับพลัน แสร้งตีหน้าตื่นตกใจราวกับไม่คิดไม่ฝันว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่ประตูทางเข้าแคนทีน “เอ้า…โดนเหรอ สงสัยแกว่งแขนแรงไปหน่อย” ฉันแอบยิ้มเยาะในใจขณะเดินอ้อมมานั่งข้างเฮียตะวัน ซึ่งเป็นตำแหน่งเยื้อง ๆ กับไอ้พายุจอมวุ่นวายที่กำลังเขม่นมองกันราวจะกินเลือดกินเนื้อ “เหี้ยเถอะ แม่ง…ตั้งใจตบเห็น ๆ” “หือ คิดมากไปแล้ว ใครจะทำเพื่อนได้ลงคอ” “อย่ามาสะตอ กูไม่อิน” ไม่ทันที่ฉันจะได้สวนกลับ เฮียตะวันก็แทรกขึ้นมาซะก่อน “แล้วเพื่อนมึงล่ะ” ความจริงก็ยังเหลือเพื่อนอีกตั้งสามคนนะที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะด้วย แต่ฉันดันรู้ในทันทีว่าเฮียถามถึงใครโดยไม่ต้องขอคำอธิบายเพิ่ม “จะไปรู้เหรอ ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลานะ” ฉันแยกกับม่านหมอกหลังลงมาจากดาดฟ้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เห็นเขารับสายใครบางคนแล้วบอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบไป แต่ไม่ได้ลงดีเทลว่าจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นั่นจึงเป็นเหตุที่ฉันไม่มีคำตอบดี ๆ ให้เฮีย “หราาาา” เสียงลากยาวน่าหมั่นไส้สอดเข้ามาทำให้สงครามที่หยุดชะงักกลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง “เสือก…” จากนั้นสารพัดสัตว์ก็เดินพล่านเต็มโต๊ะอาหารนานหลายนาทีแบบไม่มีใครยอมใคร “กูละปวดหัวกับพวกมึงฉิบหาย” เหลือบไปเห็นเฮียตะวันส่ายหน้าเหมือนเอือมระอาขั้นสุด ก่อนจะให้ความสำคัญข้าวผัดแสนอร่อยในจาน ไม่มีหรอก...ที่จะห่วงน้องนุ่ง หรือห้ามปรามไอ้เพื่อนชั่วบ้าง ต่างกับไฟลิบลับ เพราะถ้าไฟอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ พนันได้เลยว่าไอ้พายุโดนตบหัวทิ่มอีกรอบแน่ บางทีก็คิดนะ…ไม่ใช่มี๊อุ้มแฝดคนพี่ออกมาผิดตัวเหรอ ไฟดูมีความเป็นพี่ที่พร้อมปกป้องน้องอย่างฉันมากกว่าไอ้เฮียนี่เยอะเลย หลังจากศึกสงครามสงบลงแล้วฉันก็เริ่มประเด็นใหม่ทันที เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเหงาเกินไป “ว่าแต่ทำไมถึงพากันมากินข้าวที่นี่ ที่คณะไม่มีข้าวให้กิน?” “เสือก!” แน่นอนว่ามีคนรอจังหวะเอาคืน แต่มันสวนกลับมาด้วยเสียงที่หนักแน่นและชัดเจนกว่า ซึ่งการตอบสนองของฉันก็ไวไม่แพ้กัน ขวดน้ำใกล้ ๆ ถูกน้ำมาใช้เป็นอาวุธและฟาดเข้ากลางกระบาลไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเต็มเปา ปึก! “โอ๊ย อีเตี้ย!” “แต่ถึงกูจะเตี้ย แต่ก็ไม่เหี้ยเหมือนมึงนะ” “ถ้ากูเหี้ยก็ไม่มีคำนิยามให้พี่มึงแล้ว” “อ้าว ไอ้เวร…” คนถูกพาดพิงตาขวางขึ้นมาทันควัน ฉันรีบส่งขวดน้ำต่อให้เฮียตะวันอย่างรู้งาน พร้อมฉีกยิ้มสะใจในตอนที่ทุกอย่างรันซ้ำเหมือนเดจาวู และกว่าสองเพื่อนรักเขาจะรับประทานข้าวกันเสร็จ กว่าเราจะได้ย้ายแหล่งปักหลักออกมานอกห้องอาหารก็กินเวลาไปกว่าค่อนชั่วโมงเลย ซึ่งกิจกรรมที่มอวันนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญแล้ว พายุกับเฮียตะวันว่าจะไปหาตั้งวงรออีกสามภัยพิบัติที่เหลือ ส่วนฉัน…ก็คงกลับบ้านไปเล่นเกม “เออ…มึงรู้ไหมเรื่องเตี่ยไอ้หมอกไหม” เมื่อหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยน ฝีเท้าฉันก็หยุดชะงักกลางคันและเอื้อมรั้งแขนพายุให้หันกลับมา “เรื่องอะไร” ฉันโพล่งออกไปทั้งที่สมองยังประมวลผลไม่สำเร็จด้วยซ้ำ มันเป็นเหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกเซตไว้แล้ว “แล้วมันไม่เล่าอะไรให้มึงฟังเลยเหรอ” “ถ้าเล่าแล้วกูจะถามมึงไหม สมอง! ถามอะไรโง่ ๆ” “เอ้า เตี้ย…” “มึงช่วยเลิกกัดกันสักสามนาทีดิ” เฮียตะวันดึงแขนเพื่อนตัวเองกลับไปหาด้วยความหงุดหงิด ส่วนฉันก็เงียบอย่างตั้งใจฟัง “ก็วันก่อนพ่อกูไปกินข้าวกับลูกค้าแล้วไปเจออาม่ามันที่ภัตตาคาร อาม่าบอกว่าเตี่ยไอ้หมอกป่วย” ได้ยินแบบนั้น ฉันก็ย้อนนึกถึงตอนที่ม่านหมอกรีบร้อนออกไป ไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกันไหม แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงม่านหมอกก็ใจร้ายมาก ๆ นี่เขาไม่คิดจะบอกอะไรเพื่อนบ้างเลยเหรอ แล้วเตี่ยจะเป็นยังไงบ้างนะ... “มึงลอง ๆ ถามมันหน่อยดิ” พายุผลักดันภาระอันหนักอึ้งไปให้เฮียตะวัน “แล้วไมมึงไม่ถามเอง” แต่เฮียไม่รับแถมยังโยนกลับอย่างไว “ถามเหี้ยไรละ รู้อยู่ว่ามันเป็นไง” “ก็ใช่ไง แล้วจะให้กูไปถามเพื่อ” เอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครเป็นหน่วยกล้าตายหรอก แม้แต่ฉัน… เพราะทุกคนล้วนรู้จักนิสัยใจคอของกันและกันเป็นอย่างดี ม่านหมอกไม่ชอบพูดถึงเรื่องครอบครัว แล้วเขาก็จะโมโหมาก ๆ เวลามีใครมาซักไซ้ อย่างสี่ปีก่อนก็ไม่มีใครรู้เหตุผลแท้จริงจากปากเจ้าตัวเลยนะ มีแต่ข่าวลือในแวดวงผู้ใหญ่ว่าพ่อแม่เขามีปัญหากันจนต้องแยกทาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน ยิ่งถ้าเขาไม่เอ่ยถึง พวกเราก็ยิ่งไม่กล้าถาม “เป็นไปได้ไหมที่มันจะกลับมาเพราะเรื่องนี้” ถึงสิ่งที่พายุพูดจะมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้สูงมาก แต่ฉันก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเขาต้องมาด้วยเหตุผลบางอย่าง นั่นแปลว่าเขาก็ต้องกลับไปเมื่อบรรลุเป้าหมาย… ขนาดไม่รู้ว่าจริงไหม ฉันยังรู้สึกหวิวในใจเลย ... หลายอาทิตย์ต่อมา… “พวกมึงจะเอาด้วยไหม” เฮียตะวันถาม “ก็ได้หมดนะ” ลมก็ตอบง่าย ๆ ตามสไตล์ “กูว่าเจ๋งดี” ไฟก็ว่าแค่นั้น ก่อนมาสะดุดที่ไอ้ตัวปัญหาอย่างพายุเนี่ยแหละ “แต่จะไม่เจ๊งก่อนใช่ไหม” “ปากเสียฉิบหาย” ส่วนฉันยังคงนั่งกอดอกจ้องหน้าสมาชิกคนเดียวที่ไม่ออกความคิดเห็น เพราะยังไม่มีข้อสรุปจริง ๆ จัง ๆ ก็เลยวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่พายุบอกจนจับใจความสำคัญของนัดรวมตัวกันวันนี้ได้ไม่ดีนัก รู้แค่ตอนนี้เรากำลังนั่งสุมหัวกันอยู่ในทาวน์โฮมปูนเปื่อยสี่ชั้นสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ขนาดกว่าห้าร้อยตารางเมตร ซึ่งกำลังจะถูกประยุกต์ให้เป็นศูนย์รวมความบันเทิงระดับพรีเมียมใจกลางเมือง ภายใต้ชื่อ เอสเอเอ็มคลับ ที่มาจาก Sun And Moon ตะวัน กับ จันทร์เจ้า แต่สาเหตุมันไม่ได้มาจากจันทร์เจ้าเลยสักนิด ไหงต้องมารับผิดชอบร่วมด้วยก็ไม่รู้ เรื่องมันเกิดมาจากไอ้พวกบรรลัยทีมเนี่ยแหละ ไปกินเหล้ากันได้ทุกวี่ทุกวัน พอเมาก็ห้าวตีนไล่ตีรันฟันแทงเขาไปทั่ว ทำอดีตหัวหน้ามาเฟียใหญ่อย่าง เสี่ยมิ่ง ปู่สุดที่รักของฉันทนไม่ไหว และดัดสันดานมันด้วยการหาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาให้รับผิดชอบร่วมกัน ในเมื่อมันชอบเที่ยว ชอบกินเหล้านัก ปู่ก็เลยลงความเห็นว่าเปิดคลับให้มันซะเลย ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันดีมากนะ ดันสันดานตรงไหน มีคนลงทุนให้ แถมมีที่สิงสถิตโดยไม่เสียเงินอีก แต่ปู่บอกว่าถ้าที่นี่เจ๊ง เตรียมตัวย้ายสำมะโนครัวไปเป็นคนงานในพิทักษ์ฟาร์มของปู่ได้เลย สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างจะถูกริบคืน และที่แย่กว่านั้นคือเงินลงทุนอยู่ในส่วนแบ่งมรดกที่เราจะได้ เพราะงั้น…ถ้าเอสเอเอ็มคลับไปไม่รอด เราสองคนก็ตายอนาถด้วย ปู่เป็นคนใจดีมากก็จริง แต่ท่านก็เด็ดขาดหากได้ลั่นวาจา ตามแบบฉบับมาเฟียเป๊ะ ฟังจากหลาย ๆ เรื่องที่ป๊าเล่าให้ฟัง ใครจะเสี่ยงลองดีก็เชิญ แต่ฉันไม่! “แต่กูอยากได้พื้นที่ส่วนตัวว่ะ” ข้อเสนอของพายุทำฉันหันขวับ เด้งตัวขึ้นมานั่งตรงและยื่นหน้าเข้าไปแจม “ทำชั้นสี่เป็นห้องพักของพวกเราดีไหมเฮีย” “แต่กูไม่อนุญาตให้พาคนนอกขึ้นไปนะ กูอยากให้คนอื่นเข้าใจว่าที่นี่เป็นของปู่ ไม่ได้อยู่ใต้การดูแลของพวกเรา” “สบายมาก” ฉันตอบรับโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้มากเรื่อง เพราะฉันต้องการแค่ห้องสตรีมซึ่งไร้การจับตามองและข้อบังคับเหมือนที่บ้าน ส่วนไอ้คนอ้าปากร้องขอคนแรกก็หน้าจ๋อยไปดิ “จบละ สุดท้ายกูต้องได้เปิดคอนโดไว้เหมือนเดิม” พายุทิ้งแผ่นหลังกระแทกพนักพิงโซฟาอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก “มึงก็เพลา ๆ บ้าง ไอ้ห่า เข้ามาได้ไม่ถึงเทอมเอาจะครบทุกคณะแล้วมั้ง” เฮียตะวันว่า “เอ้า มีของดีก็ต้องใช้ไหม เก็บไว้แต่ในกางเกงแล้วใครจะรู้” “เหอะ…” ฉันทิ้งท้ายด้วยเสียงแค่นหัวเราะในคอ ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากวงสนทนาที่กำลังจะกลายเป็นสนามกาม การเป็นผู้หญิงท่ามกลางหนุ่มหล่อใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอกนะ บางทีพวกมันก็ลืมว่าฉันเป็นผู้หญิง…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD