Risk Friend : 04 - 2

1404 Words
Special Part : Manmok สายตาของผมเคลื่อนตามร่างเล็กที่ลุกเดินไปยังทางขึ้นชั้นลอยด้วยความรู้สึกแบบ… ไม่รู้สิ ผมเองก็อธิบายไม่ถูก มันแอบขัดใจนิดหน่อยตอนที่ถูกมองเหมือนกำลังรอศาลพิจารณาโทษ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด แล้วผมก็ไม่ใช่พวกที่ใส่ใจหรือทำความเข้าใจในรายละเอียดลึกซึ้งของเพศตรงข้ามอย่างไอ้พายุซะด้วย ทีนี้ก็ยากเลย… ตอนแรกคิดว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่ผมผิดสัญญา แต่คิดไปคิดมา… ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น “มึงจะอยู่แดกเหล้ากับพวกกูไหมเนี่ย” แรงถองศอกเข้าต้นแขนทำผมสะดุ้งและหันขวับหาไอ้ลมด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นมันพยักพเยิดหน้าไปทางเจ้าของประโยคเมื่อครู่ ไอ้ตะวันกำลังจ้องผมตาเขม็ง ไม่สิ…ต้องบอกว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ผม “...ถามกูเหรอ” “เออดิ ช่วงนี้มึงเป็นไรเนี่ย ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย แถมไม่ค่อยอยู่กับพวกกูด้วย เดี๋ยวแวบ เดี๋ยวหาย ดูยุ่งฉิบหายเลย มีธุระอะไรนักหนาวะ” คำถามโง่ ๆ ของผมเป็นเหมือนกุญแจปลดล็อกระเบิดเวลาเลย ไม่รู้มันไปสั่งสมความอัดอั้นมาจากไหน จัดให้ชุดใหญ่จนผมถึงกับสตัน “หรือมึงมีปัญหาอะไร” น้ำเสียงจริงจังของไอ้ไฟเรียกให้ผมหันไปสบตา ก่อนจะไล่มองพวกมันเรียงตัว “ทำไมถึงคิดว่ากูมีปัญหา” ผมเริ่มตงิดใจว่าพวกมันไปรู้อะไรมา บางที...นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยัยเตี้ยมองผมแปลก ๆ ด้วยก็ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบให้หายข้องใจ ไอโฟนในมือผมก็สั่นขึ้นมาซะก่อน ครืด! ครืด! พอหงายหน้าจอขึ้นดูก็ต้องหลุดถอนหายใจเฮือกยาว ถามถึงปัญหา…ปัญหาก็มาเลย [เกิดเรื่องที่บ้านใหญ่แล้วค่ะ] น้ำเสียงของ ป้าแมว ผู้ดูแลความเรียบร้อยในบ้านซึ่งผมเคยอาศัย ยังคงตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องพูดประโยคนี้ ผิดกับผมที่แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แรก ๆ อาจมีบางที่ตื่นเต้นจนจับจังหวะหัวใจไม่ได้ แต่พอมันบ่อยเข้า บ่อยเข้า สมองผมก็ทำการบันทึกไปเรียบร้อยแล้วว่ามันคือเหตุการณ์ปกติ “ครับ…” ผมตอบรับเรียบเฉย ก่อนจะกดวางสายแล้วผุดลุกจากโซฟา “เดี๋ยวกูมา” บอกเพื่อนไปแบบนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองออกมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดอยู่ด้านหน้าและขับออกไปด้วยความเร็วสุดปลอก ต่อให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่ไหน ใจผมก็กระวนกระวายอยู่ดี… ความจริงผมก็เริ่มอยู่กับปัญหาพวกนี้ได้แล้วแหละ เวลามันทำให้ผมค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าลืมได้ สี่ปีก่อนตอนที่แม่จับได้ว่าเตี่ยแอบซุกเมียอีกคนไว้นานนับสิบปี นั่นเป็นการทะเลาะกันรุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการแยกย้าย แม่พาผมไปอยู่กับคุณยายที่นอร์เวย์ คือแม่ผมเป็นลูกครึ่งไทยนอร์เวย์น่ะ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยได้สัมผัสถึงช่วงเวลาแสนอบอุ่นของครอบครัวอีกเลย ทุกอย่างมันพังไปหมด แม่กลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักมาก…มากชนิดที่ว่าต้องเข้ารับการบำบัด แม่ทำให้ผมเข้าใจถึงคำว่าเจ็บปวดเหมือนจะขาดใจเป็นครั้งแรก สภาพท่านย่ำแย่จนผมรับรู้ได้ถึงความแหลกสลายที่อยู่ข้างใน และผมพูดกับตัวเองเลยว่าจะไม่มีวันให้อภัยเตี่ยเด็ดขาด แต่แล้วแม่ก็ทำลายปณิธานผมลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีในตอนที่รู้ว่าเตี่ยป่วย ผมที่ไม่เคยเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะสามารถรักใครได้มากกว่าตัวเองขนาดนั้น จนมาเจอคุณแมรี่เนี่ยแหละ… และผมก็ยิ่งตั้งคำถามว่าทำไมเตี่ยถึงหักหลังคนที่จงรักภักดีกับท่านได้ลงคอ แม่พาผมกลับมาโดยไม่มีการไตร่ตรองใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนกับลืมไปเลยว่าเคยเจออะไรมาบ้าง ลืมไปเลยว่าเขาเคยทำให้แม่เจ็บปวดมากแค่ไหน คือมันอาจเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าผม หรือ คนอื่น ๆ จะเข้าใจ ผมก็ไม่รู้ว่าแม่มีความสุขไหมที่ทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ห้าม อยากทำอะไรก็ทำ อยากดื่มก็ดื่ม อยากมาอยู่ใกล้ ๆ เขาก็มา ยังดีที่ตอนนี้แม่ไม่ได้นอนกอดขวดเหล้าแล้วหลับไป ไม่ได้ลืมตาตื่นก็ถามหาเหล้าก่อนลูก แต่ก็เท่านั้นแหละ...เพราะเวลาดื่มได้ที่ก็จะมาโผล่ที่บ้านใหญ่ทุกที เอากุญแจไปซ้อนก็แล้ว เอารถไปซ้อนก็แล้ว เอาคนมาคอยดูแลก็แล้ว เอาเขาไม่อยู่จริง ๆ นึกว่ามีประตูโดเรม่อนเถอะ! อยากไปไหนเหมือนเสกได้ แต่กลับไม่ได้นะ ไม่รู้เป็นยังไง สงสัยประตูปิดมั้ง และนี่ก็คือหน้าที่เดียวของผม... “เมาขนาดนี้ยังขับรถมาถึงนี่ได้ เก่งจังเลยนะ” ผมบ่นให้คนที่นั่งกอดอกทำหน้ายู่อยู่บนเบาะฝั่งคนนั่ง พลางเหลือบมองสลับกับท้องถนนเป็นระยะ กว่าจะฉุดกระชากลากถูออกมาจากบ้านเตี่ยได้สำเร็จ เล่นเอาเหนื่อยเลย เพราะรอบนี้ท่านไม่ได้เมาหลับอย่างทุกครั้ง แต่อาละวาดจนบ้านเขาแทบแตก “แม่แค่อยากมาทวงทุกอย่างที่มันควรเป็นของลูกคืน ปล่อยให้คนอื่นมาหน้าลอยตาอยู่ในบ้านที่เป็นสมบัติของลูกแม่ได้ไง มันไม่แฟร์!” ผมโคลงศีรษะให้กับข้ออ้างเดิม ๆ ที่แม่หยิบยกมาพูดกรอกหูผม เหมือนผมเป็นเด็กห้าขวบ “แต่หมอกไม่ได้อยากได้ไง ยายก็ทิ้งสมบัติไว้ให้แม่ตั้งเยอะ แม่จะไปอยากได้ของพวกเขาอีกทำไม” “ไม่รู้แหละ ถ้าไอ้แก่นั่นมันตายเมื่อไหร่…” “อย่าไปแช่งเขา” ผมขัดขึ้นเสียงแข็ง ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายทุกครั้งที่แม่พูดแบบนี้ ถึงจะโกรธแค่ไหน เตี่ยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด และถึงจะบกพร่องในหน้าที่ของสามี แต่หน้าที่ของพ่อเตี่ยทำมันได้ดีมาโดยตลอด นี่เป็นข้อเดียวที่ผมมิอาจปฏิเสธได้ “...” “ตอนนี้สร่างรึยัง ไปกินข้าวต้มกันไหม” ผมทำลายความเงียบด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจ และมันก็ได้ผล ท่อนแขนที่กอดอกแน่นค่อย ๆ คลายออกแล้วเอื้อมมาจับแขนผมแทน “ที่รักจะพาแม่ไปเหรอ” “อือหือ” เพราะแม่ยืนหน้ามาใกล้เกินพอดี ทำให้กลิ่นเหล้าตีเข้าจมูกจนผมต้องเบือนหน้าหนี “นี่แม่กิน หรืออาบเนี่ย สภาพนี้ซื้อกลับไปกินที่บ้านเหอะ” “แต่แม่อยากไปนั่งกินที่ร้าน ตั้งแต่มาไทย ที่รักไม่มีเวลาให้แม่เลยนะ เอาแต่ไปอยู่กับเพื่อน” งอแงไปเรื่อย “ใช่เหรอ แม่เรียกตอนไหนหมอกก็กลับมาหาตอนนั้นเลยนะ ทุกวันนี้เพื่อนจะเลิกคบอยู่แล้วนะ ... ขอเถอะ อย่าขับรถตอนเมาได้ไหม” “แต่แม่ไม่ได้เมา” “แม่ คนบ้าก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองบ้า” ท่านทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “...อันนี้ที่รักว่าแม่ไหม” “เปล่า แค่เปรียบเปรย” ไม่ได้ตั้งใจว่าจริง ๆ แต่มันแค่หลุดปาก “...ใช่เหรอ” ถึงคุณแมรี่จะเป็นลูกครึ่ง แต่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในไทยมากกว่าประเทศบ้านเกิดเสียอีก เข้าใจในภาษาอย่างถ่องแท้เลยแหละ ใครมาแอบด่าไม่ได้นะ รู้หมดทุกคำ แถมด่ากลับได้ด้วย “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ที่พูดไปน่ะ เข้าใจไหม” “...” คนถูกกำชับ เริ่มก้มหน้ามองมือตัวเองที่ลดลงว่างบนตักอย่างเชื่องช้า “คุณแมรี่!” “ก็ได้…ก็ได้ ดุจัง นี่ลูกคนหรือลูกหมาเนี่ย” “เหอะ!” ผมฝืนหัวเราะแห้ง ๆ กลับไป ให้อีกไม่เกินสองวันหรอก เดี๋ยวผมก็จะได้รับสายจากผู้ดูแลที่บ้านใหญ่อีกเหมือนเดิม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD