Special Part : Manmok
สายตาของผมเคลื่อนตามร่างเล็กที่ลุกเดินไปยังทางขึ้นชั้นลอยด้วยความรู้สึกแบบ… ไม่รู้สิ ผมเองก็อธิบายไม่ถูก มันแอบขัดใจนิดหน่อยตอนที่ถูกมองเหมือนกำลังรอศาลพิจารณาโทษ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด แล้วผมก็ไม่ใช่พวกที่ใส่ใจหรือทำความเข้าใจในรายละเอียดลึกซึ้งของเพศตรงข้ามอย่างไอ้พายุซะด้วย ทีนี้ก็ยากเลย…
ตอนแรกคิดว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่ผมผิดสัญญา แต่คิดไปคิดมา… ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
“มึงจะอยู่แดกเหล้ากับพวกกูไหมเนี่ย”
แรงถองศอกเข้าต้นแขนทำผมสะดุ้งและหันขวับหาไอ้ลมด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นมันพยักพเยิดหน้าไปทางเจ้าของประโยคเมื่อครู่ ไอ้ตะวันกำลังจ้องผมตาเขม็ง
ไม่สิ…ต้องบอกว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ผม
“...ถามกูเหรอ”
“เออดิ ช่วงนี้มึงเป็นไรเนี่ย ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย แถมไม่ค่อยอยู่กับพวกกูด้วย เดี๋ยวแวบ เดี๋ยวหาย ดูยุ่งฉิบหายเลย มีธุระอะไรนักหนาวะ”
คำถามโง่ ๆ ของผมเป็นเหมือนกุญแจปลดล็อกระเบิดเวลาเลย ไม่รู้มันไปสั่งสมความอัดอั้นมาจากไหน จัดให้ชุดใหญ่จนผมถึงกับสตัน
“หรือมึงมีปัญหาอะไร”
น้ำเสียงจริงจังของไอ้ไฟเรียกให้ผมหันไปสบตา ก่อนจะไล่มองพวกมันเรียงตัว “ทำไมถึงคิดว่ากูมีปัญหา”
ผมเริ่มตงิดใจว่าพวกมันไปรู้อะไรมา บางที...นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยัยเตี้ยมองผมแปลก ๆ ด้วยก็ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบให้หายข้องใจ ไอโฟนในมือผมก็สั่นขึ้นมาซะก่อน
ครืด! ครืด!
พอหงายหน้าจอขึ้นดูก็ต้องหลุดถอนหายใจเฮือกยาว ถามถึงปัญหา…ปัญหาก็มาเลย
[เกิดเรื่องที่บ้านใหญ่แล้วค่ะ] น้ำเสียงของ ป้าแมว ผู้ดูแลความเรียบร้อยในบ้านซึ่งผมเคยอาศัย ยังคงตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องพูดประโยคนี้ ผิดกับผมที่แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แรก ๆ อาจมีบางที่ตื่นเต้นจนจับจังหวะหัวใจไม่ได้ แต่พอมันบ่อยเข้า บ่อยเข้า สมองผมก็ทำการบันทึกไปเรียบร้อยแล้วว่ามันคือเหตุการณ์ปกติ
“ครับ…” ผมตอบรับเรียบเฉย ก่อนจะกดวางสายแล้วผุดลุกจากโซฟา “เดี๋ยวกูมา”
บอกเพื่อนไปแบบนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองออกมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดอยู่ด้านหน้าและขับออกไปด้วยความเร็วสุดปลอก
ต่อให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่ไหน ใจผมก็กระวนกระวายอยู่ดี…
ความจริงผมก็เริ่มอยู่กับปัญหาพวกนี้ได้แล้วแหละ เวลามันทำให้ผมค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าลืมได้ สี่ปีก่อนตอนที่แม่จับได้ว่าเตี่ยแอบซุกเมียอีกคนไว้นานนับสิบปี นั่นเป็นการทะเลาะกันรุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการแยกย้าย แม่พาผมไปอยู่กับคุณยายที่นอร์เวย์ คือแม่ผมเป็นลูกครึ่งไทยนอร์เวย์น่ะ
ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยได้สัมผัสถึงช่วงเวลาแสนอบอุ่นของครอบครัวอีกเลย ทุกอย่างมันพังไปหมด แม่กลายเป็นคนดื่มเหล้าหนักมาก…มากชนิดที่ว่าต้องเข้ารับการบำบัด แม่ทำให้ผมเข้าใจถึงคำว่าเจ็บปวดเหมือนจะขาดใจเป็นครั้งแรก สภาพท่านย่ำแย่จนผมรับรู้ได้ถึงความแหลกสลายที่อยู่ข้างใน และผมพูดกับตัวเองเลยว่าจะไม่มีวันให้อภัยเตี่ยเด็ดขาด
แต่แล้วแม่ก็ทำลายปณิธานผมลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีในตอนที่รู้ว่าเตี่ยป่วย ผมที่ไม่เคยเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะสามารถรักใครได้มากกว่าตัวเองขนาดนั้น จนมาเจอคุณแมรี่เนี่ยแหละ… และผมก็ยิ่งตั้งคำถามว่าทำไมเตี่ยถึงหักหลังคนที่จงรักภักดีกับท่านได้ลงคอ
แม่พาผมกลับมาโดยไม่มีการไตร่ตรองใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนกับลืมไปเลยว่าเคยเจออะไรมาบ้าง ลืมไปเลยว่าเขาเคยทำให้แม่เจ็บปวดมากแค่ไหน คือมันอาจเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าผม หรือ คนอื่น ๆ จะเข้าใจ
ผมก็ไม่รู้ว่าแม่มีความสุขไหมที่ทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ห้าม อยากทำอะไรก็ทำ อยากดื่มก็ดื่ม อยากมาอยู่ใกล้ ๆ เขาก็มา ยังดีที่ตอนนี้แม่ไม่ได้นอนกอดขวดเหล้าแล้วหลับไป ไม่ได้ลืมตาตื่นก็ถามหาเหล้าก่อนลูก แต่ก็เท่านั้นแหละ...เพราะเวลาดื่มได้ที่ก็จะมาโผล่ที่บ้านใหญ่ทุกที เอากุญแจไปซ้อนก็แล้ว เอารถไปซ้อนก็แล้ว เอาคนมาคอยดูแลก็แล้ว เอาเขาไม่อยู่จริง ๆ
นึกว่ามีประตูโดเรม่อนเถอะ! อยากไปไหนเหมือนเสกได้ แต่กลับไม่ได้นะ ไม่รู้เป็นยังไง สงสัยประตูปิดมั้ง
และนี่ก็คือหน้าที่เดียวของผม...
“เมาขนาดนี้ยังขับรถมาถึงนี่ได้ เก่งจังเลยนะ” ผมบ่นให้คนที่นั่งกอดอกทำหน้ายู่อยู่บนเบาะฝั่งคนนั่ง พลางเหลือบมองสลับกับท้องถนนเป็นระยะ กว่าจะฉุดกระชากลากถูออกมาจากบ้านเตี่ยได้สำเร็จ เล่นเอาเหนื่อยเลย เพราะรอบนี้ท่านไม่ได้เมาหลับอย่างทุกครั้ง แต่อาละวาดจนบ้านเขาแทบแตก
“แม่แค่อยากมาทวงทุกอย่างที่มันควรเป็นของลูกคืน ปล่อยให้คนอื่นมาหน้าลอยตาอยู่ในบ้านที่เป็นสมบัติของลูกแม่ได้ไง มันไม่แฟร์!”
ผมโคลงศีรษะให้กับข้ออ้างเดิม ๆ ที่แม่หยิบยกมาพูดกรอกหูผม เหมือนผมเป็นเด็กห้าขวบ
“แต่หมอกไม่ได้อยากได้ไง ยายก็ทิ้งสมบัติไว้ให้แม่ตั้งเยอะ แม่จะไปอยากได้ของพวกเขาอีกทำไม”
“ไม่รู้แหละ ถ้าไอ้แก่นั่นมันตายเมื่อไหร่…”
“อย่าไปแช่งเขา” ผมขัดขึ้นเสียงแข็ง ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายทุกครั้งที่แม่พูดแบบนี้ ถึงจะโกรธแค่ไหน เตี่ยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด และถึงจะบกพร่องในหน้าที่ของสามี แต่หน้าที่ของพ่อเตี่ยทำมันได้ดีมาโดยตลอด นี่เป็นข้อเดียวที่ผมมิอาจปฏิเสธได้
“...”
“ตอนนี้สร่างรึยัง ไปกินข้าวต้มกันไหม” ผมทำลายความเงียบด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจ และมันก็ได้ผล ท่อนแขนที่กอดอกแน่นค่อย ๆ คลายออกแล้วเอื้อมมาจับแขนผมแทน
“ที่รักจะพาแม่ไปเหรอ”
“อือหือ” เพราะแม่ยืนหน้ามาใกล้เกินพอดี ทำให้กลิ่นเหล้าตีเข้าจมูกจนผมต้องเบือนหน้าหนี “นี่แม่กิน หรืออาบเนี่ย สภาพนี้ซื้อกลับไปกินที่บ้านเหอะ”
“แต่แม่อยากไปนั่งกินที่ร้าน ตั้งแต่มาไทย ที่รักไม่มีเวลาให้แม่เลยนะ เอาแต่ไปอยู่กับเพื่อน” งอแงไปเรื่อย
“ใช่เหรอ แม่เรียกตอนไหนหมอกก็กลับมาหาตอนนั้นเลยนะ ทุกวันนี้เพื่อนจะเลิกคบอยู่แล้วนะ ... ขอเถอะ อย่าขับรถตอนเมาได้ไหม”
“แต่แม่ไม่ได้เมา”
“แม่ คนบ้าก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองบ้า”
ท่านทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “...อันนี้ที่รักว่าแม่ไหม”
“เปล่า แค่เปรียบเปรย” ไม่ได้ตั้งใจว่าจริง ๆ แต่มันแค่หลุดปาก
“...ใช่เหรอ”
ถึงคุณแมรี่จะเป็นลูกครึ่ง แต่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในไทยมากกว่าประเทศบ้านเกิดเสียอีก เข้าใจในภาษาอย่างถ่องแท้เลยแหละ ใครมาแอบด่าไม่ได้นะ รู้หมดทุกคำ แถมด่ากลับได้ด้วย
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ที่พูดไปน่ะ เข้าใจไหม”
“...” คนถูกกำชับ เริ่มก้มหน้ามองมือตัวเองที่ลดลงว่างบนตักอย่างเชื่องช้า
“คุณแมรี่!”
“ก็ได้…ก็ได้ ดุจัง นี่ลูกคนหรือลูกหมาเนี่ย”
“เหอะ!” ผมฝืนหัวเราะแห้ง ๆ กลับไป ให้อีกไม่เกินสองวันหรอก เดี๋ยวผมก็จะได้รับสายจากผู้ดูแลที่บ้านใหญ่อีกเหมือนเดิม