เข้าสู่เช้าวันสองหลังจากที่นางแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกการหมั้นกับองค์รัชทายาท เมื่อวานนี้ท่านพ่อของนางออกจากคฤหาสน์แต่เช้าพร้อมนำเอาหนังสือแจ้งขอถอนหมั้นกับองค์ชายอัสมัลติดตัวไปด้วย การพูดคุยคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะกว่าที่รถม้าของท่านดยุกลาซารัสจะกลับมาเทียบประตูคฤหาสน์ก็กินเวลาไปเกือบมืดค่ำ ถึงอย่างนั้น โรซาเรียก็ยังนั่งรอการกลับมาของเจ้าบ้านตระกูล เครสเซนเทียด้วยความนิ่งสงบ
จนเมื่อยามที่ทอดสายตาดูร่างสูงสง่าของผู้เป็นบิดาเดินลงจากรถม้า นางมองเห็นแววความอ่อนล้าผ่านดวงตาคมกริบของเขา กระนั้นเพียงรอยยิ้มบางเบาที่ผู้เป็นพ่อส่งมอบให้เล็กน้อย โรซาเรียก็รับรู้ได้โดยทันทีว่า หนทางสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของนางกำลังเริ่มขึ้นต่อจากนี้แล้ว
ด้วยเหตุนั้นเอง โรซาเรียจึงใช้เวลาหมดไปกับการจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อขนล่วงหน้าไปจัดเตรียมที่บ้านพักในเมืองฟาร์ลัสเสียก่อน ตอนนี้นอกจากพวกหนังสืออ่านเล่น ชุดเครื่องประดับและเสื้อผ้าไม่กี่ตัว โรซาเรียก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องนำติดตัวไปด้วยแล้ว
“คุณหนูคะ...นายท่านให้มาเชิญไปพบที่สวนค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากเดินก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ โรซาเรียที่เพิ่งเสร็จจากการบันทึกรายการตำราที่หยิบออกไปจากชั้นหันหน้ากลับไปมองยังผู้มาเยือนด้วยความฉงน นางทบทวนคำกล่าวของสาวใช้เบา ๆ
“ที่สวนหรือ”
“ใช่ค่ะ...ให้นำร่มกันแดดออกไปด้วยไหมคะ”
หล่อนยังคงเอ่ยถามพร้อมส่งรอยยิ้มให้อย่างนอบน้อม วันนี้ท่านดยุกลาซารัสลาหยุดซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับคนบ้างานเช่นเขาเป็นอย่างมาก ในหนังสือลาที่ถูกส่งออกไปเมื่อคืนนี้ท่านพ่อของนางระบุสาเหตุที่ไม่เข้ากระทรวงว่าไม่อาจทำใจจากบุตรสาวไปได้ จึงขอใช้เวลาอยู่กับครอบครัวก่อนลาจาก โรซาเรียที่ได้ยินคำรายงานจากท่านโทมัส เลขาคนสนิทของท่านพ่อ นางก็ทำได้แต่ส่งยิ้มไปให้อย่างจนปัญญาก็เท่านั้น
เมื่อเช้านี้ นางและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารมื้อเช้าด้วยกันไปแล้ว นับเป็นการร่วมโต๊ะของสองพ่อลูกในรอบหลายเดือน บรรยากาศไม่ได้เป็นไปอย่างอึดอัด แต่ทว่าก็ไม่ได้ครื้นเครงอยู่ดี เป็นเพียงการที่ต่างคนต่างตักอาหารเข้าปาก แล้วแยกย้ายกันไปทำธุระของตนต่อโดยไร้บทสนทนา เช่นนั้นแล้วการที่บิดาผู้ห่างเหินของนาง เรียกหานางอีกครั้งในยามบ่ายของวันเดียวกัน นี่ก็นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับโรซาเรีย
นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ช่วงบ่ายวันนี้อากาศค่อนข้างอบอุ่น ทั้งยังไม่ร้อนจนเกินไป สายลมที่หอบพัดทำให้กิ่งไม้โยกไหว เกิดเป็นภาพเงาร่มไม้เริงระบำปกคลุมบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี
“ไม่ต้องหรอก...รับลมบ้างก็คงดี” โรซาเรียเอ่ยตอบเช่นนั้นก่อนเดินออกจากห้องหนังสือเพื่อไปพบผู้เป็นบิดา
หลังจากเดินมาที่สวนด้านหลังคฤหาสน์ อันเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักกินลมชมบรรยากาศของผู้คนในตระกูลเครสเซนเทีย แต่หากให้กล่าวตามตรงนั้น...สวนแห่งนี้ก็เหมือนจะมีแต่นางเท่านั้นที่มาเยือนบ่อยครั้งที่สุด
ท่านพ่อและเหล่าพี่น้องไม่ใช่คนติดบ้านเท่าใดนัก พวกเขามักหายออกไปจากคฤหาสน์ในช่วงเช้า กลับมาอีกทีก็เกือบมืดค่ำ บางครั้งมีงานด่วนหรือต้องออกไปต่างเมือง บุรุษทั้งสามแห่งตระกูลเครสเซนเทียก็จะหายหน้าหายตาแล้วทิ้งนางเอาไว้ที่คฤหาสน์เพียงลำพังเสมอ ด้วยเหตุนี้คนที่พอจะมีเวลาอยู่บ้านมากที่สุดก็เห็นจะมีแต่นางที่เป็นบุตรสาวคนเดียวของบ้าน ทั้งยังไม่ได้มีงานมีการทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะเช่นพี่น้องหรือคนอื่น ๆ
เมื่อเดินเข้ามาได้สักพักก้าวขาผ่านแปลงดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ที่สุดปลายสายตา บริเวณศาลาหินอ่อนซึ่งตั้งอยู่มุมร่มรื่นใต้ต้นไม้ใหญ่ โรซาเรียมองเห็นแผ่นหลังกว้างอันแสนคุ้นตาของบิดาอยู่ไม่ไกล ดยุกลาซารัสอยู่ในชุดลำลองที่ชวนให้แปลกตาไม่น้อย
“สาวใช้แจ้งว่าท่านพ่อต้องการพบลูก”
“นั่งสิ”
ท่านพ่อของนางไม่ได้เหลือบสายตาขึ้นมามองสบ เขาเพียงเอ่ยสั่งแล้วจากนั้นก็เงียบไป โรซาเรียไม่เอ่ยอะไรออกไปให้มากความ นางนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงจ้องมองชากุหลาบกลิ่นหอมกรุ่นถูกรินลงในแก้วกระเบื้องสีขาวตรงหน้าของตน ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นต่อจากนั้น มีเพียงการปล่อยให้กาลเวลาไหลผ่านไปกับสายลมท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ
“นานมากแล้วนะ”
เป็นท่านพ่อของนางที่เอ่ยเปิดบทสนทนาการ เสียงของแก้วกระเบื้องวางกระทบลงบนโต๊ะหินอ่อนเรียกสายตาสีน้ำเงินเข้มทั้งสองคู่ให้มองสบกัน
“เรื่องใดหรือคะ” โรซาเรียเอ่ยถาม
“นานมากที่ไม่ได้มีเวลาได้นั่งสนทนาดื่มชากันเช่นนี้”
คำตอบของผู้เป็นบิดา เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏอยู่บนริมฝีปากอิ่ม เป็นจริงดังที่ท่านพ่อของนางเอ่ย เขาและนาง นานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้เวลานั่งดื่มชาและสนทนาภายใต้บรรยากาศที่ไม่ได้กดดันเช่นนี้
“ท่านพ่อเป็นกำลังสำคัญของอาณาจักร มีงานรัดตัวย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยง” โรซาเรียตอบกลับไปเช่นนั้น นางไม่ได้มีเจตนาประชดประชันใด ๆ แต่เป็นความจริงที่ว่าเราสองคนต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ก่อนหน้านี้ในหนึ่งเดือนพวกเขาเจอหน้ากันแทบนับครั้งได้ ไม่ใช่เพียงกับท่านพ่อเท่านั้น แม้แต่พี่ชายและน้องชายของนาง การได้พูดคุยกับพวกเขาสักหนึ่งประโยค ก็ดูเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
“พ่อยังไม่ได้แจ้งข่าวให้ทางตอนเหนือ”
คราวนี้หัวข้อสนทนาใหม่ถูกหยิบยกขึ้นมา คำว่าทาง ‘ตอนเหนือ’ ที่ออกมาจากปากของบิดาทำให้มือเรียวที่ถือแก้วกระเบื้องของโรซาเรียชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ปฏิกิริยานั้นจะหายไปในชั่วพริบตาราวกับว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
หากกล่าวถึงทางตอนเหนือของอาณาจักรมาฟิโอเรียแล้วนั้น พื้นที่แถบนั้นเป็นบริเวณลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการค้าและทำการเพาะปลูก เหนือขึ้นไปจากเมืองหลวงนครมาเลย์โทเนียนั้น ยังมีที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกสองแห่ง นั้นก็คือ เมืองบาร์เซนเน่ (Barsenne Town) และ หุบเขาเทียร์เพียล (Tearpeal Hill) ทั้งสองที่เป็นเมืองใหญ่ติดท่าน้ำ ทั้งยังเป็นจุดพักจอดเรือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางข้ามไปอาณาจักรข้างเคียง
โดยที่เมืองบาร์เซนเน่นั้น คือบ้านเก่าของมารดาของโรซาเรียเอง
“ท่านแม่เองก็มีเรื่องมากมายต้องดูแล...เรื่องของลูกเอาไว้ที่หลังได้ค่ะ”
โรซาเรียจ้องมองถ้วยชาในมือขณะที่เอ่ยปาก นางมองเงาสะท้อนของตนในนั้นด้วยแววตาซับซ้อน ขณะจมดิ่งลงในห้วงความคิด
เมื่อครั้งเยาว์วัยมีผู้คนมากมายบอกนางเสมอว่านางคล้ายมารดาของนางมาก ท่านหญิงเอวาลีน โรเซนเบิร์กเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่งามขนาดไหนนั้น โรซาเรียก็ไม่อาจที่จะยืนยัน เพราะตั้งแต่จำความได้ โรซาเรียได้พบมารดาแค่เพียงสองครั้งเท่านั้นและทั้งสองครั้งก็เป็นการพบกันที่ไม่น่าจดจำเท่าใด
ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของผู้เป็นมารดาในความทรงจำของนางจึงช่างแสนลางเลือน เมื่อยามนึกถึงผู้ให้กำเนิดขึ้นมา โรซาเรียก็ได้แต่อาศัยมองภาพตนเองในกระจก แล้วจินตนาการเอาเองว่ามารดาผู้นั้นของนางคงมีใบหน้าแบบนี้กระมัง
“จะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยหรือ”
อาจเพราะท่านพ่อรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เศร้าหมองลงของนาง เขาจึงเอ่ยถามถึงเรื่องอื่นขึ้นมาแทน เสียงเรียบนิ่งของเขาทำให้โรซาเรียหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด วันนี้นับว่าบิดาของนางมีความพยายามในการเปิดบทสนทนาไม่น้อยเลย
“ใช่ค่ะ”
“พ่อไม่ได้ไปส่ง”
“ลูกทราบค่ะ”
แต่ถึงกระนั้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ก็มีช่องว่างที่มองไม่เห็นอยู่ โรซาเรียไม่ใช่คนช่างพูดนัก นางได้แต่ตอบคำถามเขาไปสั้น ๆ และอาศัยการส่งยิ้มเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาอึดอัด ฝ่ายท่านพ่อของนาง เดิมก็เป็นท่านดยุกผู้เข้มงวดเย็นชาอยู่แล้ว การที่เขาพยายามเข้าหานางขนาดนี้ก็ถือว่าคงสุดความสามารถของเขามากแล้วจริง ๆ
“เลือกสาวใช้รึยัง” ท่านพ่อของนางยังคงเอ่ยถาม เห็นเขาพยายามอย่างมากขนาดนี้แล้ว นางก็ทำได้แค่รับความปรารถนาดีของเขาเอาไว้ในใจ ซึ่งจากคำถามของเขาแล้วก็นับนับเป็นเรื่องที่น่าขันกับการที่บุตรสาวท่านดยุกเช่นนาง ไม่มีสาวใช้ส่วนตัวอย่างที่บ้านอื่นเขามีกัน
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า...ก่อนหน้านั้นหญิงรับใช้ของนางทั้งหมดล้วนถูกส่งมาจากวังหลวง ราชวงศ์ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับว่าที่ราชินีคนต่อไป แต่เราทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าคนรับใช้เหล่านั้นก็ไม่ต่างจากการส่งมาเพื่อจับตาดูและคุมความประพฤติของนางก็เท่านั้น มองดูไปนางก็คล้ายกับตัวประกันที่ราชวงศ์ใช้กดข่มตระกูลของนางไว้เช่นกัน
แต่แน่นอนว่าพวกเขาคงใช้นางเป็นข้ออ้างกดข่มท่านพ่อเอาไว้ไม่ได้มากมายนัก เพราะเป็นที่ทราบกันดีทั้งเมืองหลวงว่าความสัมพันธ์ของโรซาเรียและคนในครอบครัวห่างเหินกันขนาดไหน
และเมื่อโรซาเรียกำลังถูกถอนหมั้นในอีกไม่กี่วันหรือสองวันนี้แล้ว สาวใช้พวกนั้นย่อมถูกส่งตัวกลับเพื่อรอปรนนิบัติว่าที่ราชินีคนต่อไปแทน
“ลูกคิดว่าจะไปเลือกเมื่อไปถึงที่หมาย” โรซาเรียเอ่ยตอบ เมื่อสิ้นคำพูดใบหน้าคมคายของบิดาก็นิ่งขึงขึ้นเล็กน้อย นางเหลือบเห็นว่าเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีกด้วย
“ไปอยู่คนเดียว...สะดวกสบายหรือ...ทำไมไม่เลือกคนรู้งานไปสักคนสองคน”
“เดิมลูกคิดเพียงว่าเมื่อไปถึงจะจ้างหญิงรับใช้และอัศวินอีกสักคน...จากนั้นก็ลองใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย...มองหาอะไรทำ...เติมสีสันให้ชีวิตที่เหลือ”
การที่คำพูดของโรซาเรียดูคล้ายบทสนทนาของคุณป้าวัยเกษียณที่วางแผนสำหรับบั้นปลายชีวิตแสนสงบก็ไม่ได้ดูเกินเหตุแต่อย่างใด เพราะไม่ว่านางจะเป็นคนโดนยกเลิกการหมั้นหรือเป็นฝ่ายร้องขอเอง แต่ความจริงที่ว่านางคือสตรีที่ถูกราชวงศ์คาร์โลไลน์ริบคืนตำแหน่งพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทก็จะกลายเป็นเรื่องที่นางไม่มีวันโต้แย้ง เช่นนั้นแล้วตลอดชีวิตนับจากนี้ไป ตราบใดที่นางยังคงชื่อ โรซาเรีย เครสเซนเทีย นางเองก็จำต้องแบกรับความอัปยศนี้ไปด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าโรซาเรียไม่ได้เอ่ยปากถึงเป้าหมายต่อไปที่นางคิดเอาไว้ให้กับผู้เป็นพ่อรับทราบ เพราะนางทราบดีว่าหากทั้งท่านพ่อและคนอื่น ๆ รับรู้ คงไม่วายเป็นกังวลมากกว่าที่เป็นอยู่เป็นแน่ ความต้องการที่จะเป็นแม่มด ช่างเป็นเป้าหมายที่แสนเพ้อฝันสำหรับคนที่แกนเวทมนตร์เสียหายเช่นนาง หากเรื่องนี้หลุดรอดไปเข้าหูใครในวงสังคม ตระกูลเครสเซนเทียจะไม่กลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่นหรือ
หลังจากนั้น...บทสนทนาของพวกเราทั้งคู่จึงดำเนินไปอย่างเรื่อยเฉื่อย บ้างท่านพ่อหยิบยกเรื่องร้านค้าที่น่าสนใจมาสอบถามความคิดเห็นของนาง บ้างนางออกปากถึงเรื่องสัพเพเหระที่แต่ก่อนไม่เคยพูดถึง อย่างเช่นขนมออกใหม่ร้านหนึ่งในตัวเมืองน่าจะถูกปากท่านพ่อและน้องชาย หรือไม่ก็เรื่องผ้าไหมสีเข้มที่เห็นพี่ชายติดมือกลับมาคราวก่อน หากท่านพ่อนำไปตัดเป็นเสื้อคลุมสำหรับงานฤดูหนาวก็คงงดงามมาก เป็นต้น
หัวข้อการพูดคุยจิปาถะเรื่องแล้วเรื่องเล่าดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งแสงอาทิตย์ยามบ่ายเริ่มอาบย้อมจนกลายเป็นสีส้ม พวกเขาจึงได้รู้สึกตัวว่าเวลาล่วงเลยไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว
ดยุกลาซารัสยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ โรซาเรียเองก็วางทิ้งแก้วชาที่เย็นชืดในมือของตนลงกับโต๊ะ แล้วจึงลุกขึ้นเพื่อย่อตัวทำความเคารพส่งท่านพ่อตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก่อนที่นางจะจับทรงกระโปรงแล้วโน้มตัวเพื่อทำความเคารพ ฝ่ามือแกร่งสองข้างที่ไม่เคยแตะสัมผัสตัวนางเลยนับตั้งแต่จำความได้ก็เอื้อมมาประคองไหล่ของนางเอาไว้ให้ยืนขึ้น โรซาเรียเงยหน้ามองสบแววตาสีน้ำเงินเข้มของบิดา อาจเพราะเขายืนหันหลังให้แสงแดดที่สาดส่อง นางจึงมองดูสีหน้าของผู้เป็นพ่อได้ไม่ชัดเจนนัก
“รับนี่ไว้ “
แต่ก่อนที่โรซาเรียจะได้เอ่ยถามสิ่งใด ดยุกลาซารัสก็ล้วงหยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้นาง
โรซาเรียรับวัตถุปริศนามาถือไว้ด้วยความฉงน เมื่อยิ่งมองให้ชัด คิ้วคันศรของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจเจตนาของบิดาเท่าใดนัก
“สมุดเบิกจ่ายเงินจากคลังประทับตราประจำตระกูล...เยอะถึงเพียงนี้จะไม่เป็นอันใดแน่หรือคะ”
“เอาไว้ใช้ยามจำเป็น” ดยุกลาซารัสเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ ซึ่งคำว่ายามจำเป็นของเขาดูออกจะเกินไปไม่น้อย สมุดเบิกจ่ายหนาเป็นปึกในมือนางยามนี้ มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินในคลังของตระกูลเครสเซนเทีย 1 ใน 3 เลยก็ว่าได้
“หากพี่ชายรู้เข้าคงว่าลูกใช้เงินมือเติบ”
“เบิกออกจากทรัพย์สินของพ่อ” คำตอบที่ได้รับมายิ่งแล้วใหญ่ ท่านพ่อของนางถึงขนาดให้นางสามารถเบิกจ่ายทรัพย์สินส่วนตัวจากบัญชีของเขาได้อย่างอิสระเช่นนี้ออกจะห่วงใยนางเกินไปหรือไม่
จริง ๆ ตัวนางเองก็ใช่ว่าไม่ได้มีสินทรัพย์ส่วนตัว เงินเก็บในบัญชีของตนที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ใช้ก็มีไม่น้อย อาจคงเพราะนางต้องไปอยู่ห่างไกล ทั้งยังไม่มีแผนจะทำธุรกิจอย่างจริงจัง การที่บิดาของนางจะแสดงความกังวลจนออกมาในรูปแบบนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก
“ความเมตตาที่ท่านพ่อมีต่อลูก...ลูกรับรู้แล้ว” โรซาเรียเอ่ยตอบ นางแย้มยิ้มกว้างด้วยความซาบซึ้งใจ
แม้เมื่อก่อนนางจะไม่ใช่ลูกสาวที่เป็นที่รัก แต่อย่างน้อยยามนี้บิดาผู้ห่างเหินของนางแสดงความห่วงใยให้ในแบบของเขาเองเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว
ชั่วขณะต่อมาอย่างเหนือความคาดหมาย ดยุกลาซารัสวางมือลงบนศีรษะบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนอย่างเบามือ มันเป็นสัมผัสอบอุ่นที่แสนบางเบาแต่ทว่าหนักแน่นในความรู้สึก โรซาเรียนิ่งค้าง หัวใจของนางพองโตไปด้วยความรู้สึกตื้นตันจนแทบจะล้นทะลัก
“รักษาตัว”
คำกล่าวเพียงสั้น ๆ ของบิดาเพียงคำเดียว ทำลายสิ้นทุกความกังวลที่นางลอบเก็บกดเอาไว้ในใจ โรซาเรียหลุบตามองต่ำ นางไม่กล้ามองสบแววตาที่ทอดส่งมาของบิดา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของนางวูบไหว ไม่รู้เพราะเหตุใดขอบตาจึงราวกับร้อนวูบวาบขึ้นมาเสียได้
“ค่ะ” แต่หญิงสาวก็ยังคงรักษามารยาท โรซาเรียเอ่ยตอบคำบิดาเสียงเบา
“ติดต่อมาบ้าง”
“ทราบแล้วค่ะ”
“จากนี้จงใช้ชีวิตตามที่ปรารถนาเถอะนะโรซาเรีย”
ใช้ชีวิตตามที่ปรารถนา เป็นคำที่ฟังดูง่ายดายแต่มีความหมายสำหรับคนที่เติบโตมาเพื่อเป้าหมายของผู้อื่นเช่นนางเหลือเกิน โซ่ตรวนที่ดึงรั้งนางเอาไว้ราวกับถูกปลดแอกออกด้วยคำกล่าวของบิดา อิสระที่โรซาเรียไม่เคยคิดหวังถึง ในยามนี้ราวกับสามารถเอื้อมมือจับคว้าได้ตามที่ใจโหยหามาเสมอ
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับอย่างตื้นตันใจ
ฝ่ามือที่อบอุ่นอย่างที่นางไม่เคยได้สัมผัสละจากไปแล้ว โรซาเรียที่เอาแต่หลุบตามองพื้นจึงเห็นเพียงร่างสูงสง่าของท่านพ่อของตนเดินผละจากไป เสียงก้าวเท้าของเขาดังก้องในใจนางท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่ภาพพื้นหินอ่อนที่นางจ้องมองอย่างเหม่อลอยนั่นจะเริ่มพร่ามัว ในตอนนั้นเองโรซาเรียจึงค้นพบว่านางกำลังหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน