บทที่ 06 : หนทาง ( 1 )

4998 Words
พี่ชายของนางจากไปแล้ว… โรซาเรียยืนมองส่งรถม้าของเขาวิ่งห่างออกไปจนลับตา ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้านพักของตน บ้านพักที่โรซาเรียต้องอาศัยอยู่นับจากนี้ไปอีกพักใหญ่ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มี 4 ห้องนอน 1 ห้องโถงรับรอง 1 ห้องรับประทานอาหารและอีก 1 ห้องครัว ตัวบ้านตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง บริเวณด้านหน้ามีศาลาหินอ่อนกลางสวนดอกไม้บานสะพรั่ง ส่วนบริเวณด้านหลังก็มีโรงจอดรถเกวียนและคอกเลี้ยงม้า คนงานในบ้านหลังนี้มีเพียงไม่กี่คน นอกจากหัวหน้าแม่บ้านและสาวใช้ที่จะผลัดเปลี่ยนเวรกันมาทำงานราว 2 - 3 คน ก็จะมีคนสวนและคนขับรถม้าอีกอย่างละ 1 คนเท่านั้น เพราะบ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดที่มีห้องพักสำหรับคนงานทุกคนเหมือนกับที่คฤหาสน์เครสเซนเทียในเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้การจ้างงานจึงเป็นไปในรูปแบบระบุเวลาการทำงานเริ่มเช้าเย็นกลับแทบเป็นส่วนใหญ่ จะมีคนงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสัญญาว่าจ้างระยะยาวและอาศัยอยู่ที่บ้านพักด้วยกันตลอด 24 ชม. เพราะโรซาเรียไม่มีหญิงรับใช้ส่วนตัว และสาวใช้คนอื่นก็ไม่คิดจะยุ่มย่ามรบกวนเจ้านายคนใหม่ พวกเขาปฏิบัติตัวต่อคุณหนูของบ้านด้วยระยะห่างอย่างเหมาะสม ห้องนอนของโรซาเรียที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้คือห้องที่ใหญ่ที่สุดของบ้านหลังนี้ หญิงสาวเดินก้าวเข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม กลิ่นของผ้าปูที่นอนเพิ่งซักสะอาดลอยเข้าจมูก แม้จะหอมกรุ่นแต่ก็นับเป็นกลิ่นแปลกใหม่ที่นางไม่คุ้นชิน รสนิยมของผู้คนที่นี่ค่อนข้างต่างจากเมืองหลวงไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเครื่องหอม สีสันเครื่องแต่งกาย รสชาติอาหาร หรือแม้กระทั่งวิธีการตกแต่งสวนและบ้านเรือน แต่สำหรับ โรซาเรียสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ย่ำแย่จนขนาดปรับตัวไม่ได้ ข้าวของเครื่องใช้ของนางถูกเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จะมีก็แต่กระเป๋าเดินทางส่วนตัวเพียงเท่านั้นที่ยังไม่ผ่านการแตะต้อง นับว่าสาวใช้ที่ท่านพ่อจัดหามาให้ก็ค่อนข้างรู้มารยาทไม่น้อย โรซาเรียปล่อยความคิดของตนให้ลอยฟุ้งซ่าน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหม่อมองเพดานห้องในขณะที่หัวสมองว่างเปล่า สองวันนี้นางร้องไห้ง่ายมาก เพียงเจอเรื่องกระทบจิตใจเล็กน้อย น้ำตาก็หลั่งรินไม่ขาดสาย คงจริงที่คนเขาบอกว่าคนที่ไม่ค่อยได้เสียน้ำตา พอได้ร้องไห้สักหนก็จะร้องจนหยุดไม่อยู่ แต่การปล่อยให้ต่อมน้ำตาที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้ทำงานบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายนัก หลังจากที่โรซาเรียเผยความอ่อนไหวในใจตนออกมา พอเสียน้ำตาไปจนขอบตาแดงก่ำ โรซาเรียก็เหมือนจะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เมื่อก่อนนั้นนางไม่เคยได้มีเวลามาเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้สักครั้ง สิ่งที่ต้องทำในฐานะพระคู่หมั้นมียาวเป็นหางว่าว ไหนจะยังมีเรื่องมาคอยกวนให้รำคาญใจไม่ได้หยุดได้หย่อนอีก พอมาถึงวันที่ได้มานอนโง่ ๆ มองเพดานอย่างคนไม่มีอะไรทำ ก็นับว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับตนเอง หญิงสาวคุดคู้ร่างกายของตน ในมือของนางยังคงกำตราสัญลักษณ์ของพี่ชายเอาไว้แน่น แล้วปลดปล่อยความคิดที่มักจะยุ่งเหยิงอยู่เสมอให้ล่องลอยไปไกล หลับตาลงและนับถอยหลังเฝ้ารอเช้าวันใหม่มาเยือน "คุณหนูจะออกไปข้างนอกหรือคะ" เสียงของหัวหน้าแม่บ้านเป็นผู้เอ่ยถาม นางมีนามว่า มีเรียม เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร มีเรียมเป็นคนงานหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำสัญญาว่าจ้างระยะยาวกับตระกูลเครสเซนเทีย เดิมนางถูกว่าจ้างให้มาดูแลทำความสะอาดบ้านพักหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเมื่อวันก่อนทราบข่าวว่าบ้านพักไร้คนอาศัยหลังนี้จะมีผู้มาพำนักอยู่ มีเรียมที่ได้รับความไว้ใจมาเป็นเวลานานจึงถูกทาบทามตัวเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านทันที โรซาเรียทอดสายตามองหัวหน้าแม่บ้านของตน มีเรียมเองก็แย้มยิ้มสดใสให้กับเจ้านายคนปัจจุบันเช่นกัน เพราะคนที่นี่ไม่ได้รู้จักโรซาเรียเหมือนคนที่เมืองหลวง บรรยากาศการสนทนาจึงไม่ได้ดูกดดันหรืออึดอัดอะไร "ใช่...ข้าอยากออกไปเดินเล่นในตัวเมืองหน่อย...ไม่ต้องตามไปหรอก" โรซาเรียเอ่ยตอบ วันนี้นางอยู่ในชุดเสื้อสีขาวแขนสั้นคู่กับกระโปรงสีเทาดูเรียบง่าย ซึ่งชุดนี้เป็นหนึ่งในเสื้อผ้าที่ท่านพี่โลเวลล์ซื้อให้นางเมื่อวาน ผมสีดำสนิทของโรซาเรียถูกรวบถักเปียเอาไว้ลวก ๆ บรรยากาศรอบตัวของคุณหนูเพียงคนเดียวแห่งบ้านเครสเซนเทียดูผ่อนคลายอย่างที่เป็นไปได้ยากนักที่จะได้เห็นก่อนหน้านี้ "ไม่ได้หรอกค่ะ...จะไปเดินในเมืองคนเดียวได้ที่ไหนกัน...ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเล่าคะ" มีเรียมเอ่ยตอบโดยทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจ้านายของบ้าน สำหรับนางโรซาเรียเป็นเพียงลูกคุณหนูจากต่างเมืองที่ไม่เคยอยู่แปลกถิ่น การที่เจ้าตัวเอ่ยว่าจะออกไปข้างนอกเพียงลำพังทั้งยังไม่มีคนนำทาง นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากทัดทาน "เมืองฟาร์ลัสไม่ใช่เมืองที่ผู้คนพลุกพล่านอย่างเกร์เต้ที่เป็นเมืองท่าเสียหน่อย" "ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ...ให้หาคนติดตามไปด้วยสักคนสองคนเถอะนะคะ" การเจรจาต่อรองของสองนายบ่าวเกิดขึ้นที่หน้าเชิงบันได โรซาเรียเข้าใจในความกังวลที่หญิงตรงหน้ามีต่อนาง แต่อย่างไรก็ต้องออกไปร้านสารพัดนึกตามความตั้งใจให้จงได้ จะให้รอจนกว่าจะว่าจ้างอัศวินหรือคนคุ้มกันน่ะไม่เอาด้วยหรอก! "ออกไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น...มีคนรถไปด้วยไม่เป็นไรหรอก" "ตาลุงทีโมนจะไปเดินซื้อของกับคุณหนูได้ที่ไหนกันเล่าคะ...ข้าว่าคุณหนูรอสักครู่...ข้าจะไปตามสาวใช้สักคนให้ไปเป็นเพื่อน" มีเรียมเสนอความคิดก่อนจะตัดสินใจเดินไปทางห้องครัวเพื่อเรียกสาวใช้สักคนที่พอจะออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนคุณหนูได้อย่างรู้งาน สำหรับโรซาเรียนางไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่จะได้สาวใช้สักคนเป็นคนนำทาง แต่ใจจริงก็ไม่อยากได้คนช่างพูดหรือรู้มากเท่าใดนัก ความคิดที่จะศึกษาเวทมนตร์ยังคงเป็นความลับที่นางเลือกที่จะปิดบังกับคนในครอบครัว และโรซาเรียก็ไม่รู้ว่าสาวใช้ที่นี่เก็บความลับได้เก่งแค่ไหน เอาไว้ค่อยติดสินบนคงได้กระมัง… โรซาเรียคิดเช่นนั้นในใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นว่าที่ประตูห้องครัว มีเด็กชายคนหนึ่งยืนชะโงกหน้าออกมาอยู่ เขาเป็นเด็กอายุราว 7-8 ขวบที่มีท่าทางซุกซนสมวัย นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววสนอกสนใจอย่างปิดไม่มิด เมื่อทอดสายตาประเมินโรซาเรียรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีโครงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหัวหน้าแม่บ้านของตนถึงกว่า 9 ส่วน "ถ้าอย่างนั้น...นอกจากคนขับรถม้าแล้ว ก็ให้ลูกชายหัวหน้าแม่บ้านไปด้วยคงได้กระมัง" "ฟลีคหรือคะ? ...จะดีหรือคะคุณหนู...ฟีลีอัคลูกชายข้าซนเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้ จะไม่สร้างความรำคาญใจให้แน่หรือคะ" เมื่อชื่อของตนถูกเผยออกมาจากปากมารดา เด็กชายสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วส่งสายตาไปมาอย่างเลิ่กลั่ก โรซาเรียมองปฏิกิริยาของเขาด้วยความรู้สึกเอ็นดู ครั้งหนึ่งน้องชายของนางก็เคยมีท่าทางเช่นนี้ ตอนนั้นเลนนอลอายุได้ราว 7 ขวบ เจ้าน้องเล็กหลบแม่นมมาเพื่อแอบมองนางที่หน้าห้องหนังสือ เขาใช้บานประตูซ่อนตัวอยู่นานทำราวกับว่าตนเองสามารถล่องหนหายตัวได้ ทั้งที่ความจริงทุกคนก็มองเห็นเขาอยู่ทนโท่ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้โรซาเรียก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของน้องชายของตน ที่มาแอบยืนจ้องนางอยู่นาน 2 - 3 ชั่วโมงไม่ยอมไปไหน ตอนนั้นพอตัดสินใจที่จะเดินไปถามให้รู้ความ น้องชายของนางก็วิ่งหนีไปหน้าตื่นเสียแทน หลังจากวันนั้นนางก็ได้ข่าวว่าเลนนอลถูกท่านแม่สั่งกักบริเวณไปอีกกว่าสัปดาห์ ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่ได้พบน้องชายของตนมายืนด้อม ๆ มอง ๆ อีกเลย "ให้ข้าไปได้หรือครับ" เด็กชายฟีลีอัค หรือสามารถเรียกสั้น ๆ ว่า ฟลีค ส่งเสียงร้องถามพี่สาวคนงามที่เขาแอบมอง เด็กน้อยทราบว่าอีกคนคือเจ้านายของแม่ ส่วนคำว่าเจ้านายหมายถึงอะไร เขาไม่ได้สนใจเท่าใดนัก รู้เพียงแต่เป็นคนที่ออกคำสั่งและแม่ของเขาก็ต้องทำตามแค่นั้นเอง สำหรับเด็กชายวัย 7 ขวบ ในความคิดเขามีแต่เรื่องที่ว่า หากสามารถผูกมิตรกับคนที่ออกคำสั่งมารดาผู้เข้มงวดของเขาได้ นั่นย่อมหมายถึงเขาจะไม่ถูกดุหากแอบเอาผักใบเขียวไปทิ้งที่หลังสวน ด้วยเหตุนี้เด็กชายจึงมีท่าทางกระตือรือร้นอย่างมาก โรซาเรียมองเด็กตัวเล็กที่โยกตัวไปมาพลางส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความหวังไปให้ผู้เป็นมารดา นางเห็นเขาสดใสเช่นนี้ก็ได้แต่แย้มยิ้มบางส่งให้ "ให้เขาไปเถอะ...มองเขาแล้วข้านึกถึงน้องชาย...คงสบายใจมากกว่าต้องพาสาวใช้ไปแทน" เจ้านายของบ้านกล่าวเช่นนั้น มีเรียมผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านจะเอ่ยขัดอะไรได้อีก นางจึงทำได้แค่หันไปขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของลูกชาย แล้วกำชับบอกให้เจ้าตัวแสบทำตัวดี ๆ "จอดรออยู่ตรงนี้เถอะ...ข้าไปแค่ใกล้ ๆ นี่...ให้ฟลีคตามมาคนเดียวก็พอ" โรซาเรียเอ่ยบอกกับคนขับรถม้าทันทีที่ก้าวขาลงจากตู้โดยสาร ฟีลีอัคโบกมือลาลุงทีโมน แล้ววิ่งตามหลังร่างของคุณหนูของตน ซึ่งคำว่าคุณหนูคืออะไรเขาก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน... หรือไม่ก็อาจจะเป็นชื่อเรียกกระมัง พี่สาวคนนี้ชื่อแปลกจริง ๆ ...ฟีลีอัค คิดเช่นนั้นในใจ "คุณหนูอยากไปที่ไหนหรือครับ...ในเมืองฟาร์ลัสไม่มีซอกหลืบไหนที่ข้าไม่รู้จัก" ฟีลีอัคร้องถามหลังจากที่ออกเดินมาได้สักพัก แต่ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าคุณหนูผู้เป็นเจ้านายของแม่จะแวะเข้าที่ร้านค้าใด โรซาเรียมองเด็กชายที่เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า "ข้าอยากไปร้านสารพัดนึกที่อยู่ทางใต้" สิ้นคำกล่าวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฝ่ายเด็กชายผู้ฟังที่เดิมมีสีหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ ๆ ก็กลับแข็งค้างไปเสียอย่างนั้น โรซาเรียที่มองเห็นใบหน้าที่เริ่มซีดของผู้นำทางตัวน้อยของตนก็ได้แต่เอ่ยถาม "ทำไมหรือฟลีค...เป็นอะไรไป" "คุณหนูอย่าไปที่นั่นเลยครับ" "? " ฟีลีอัคตอบกลับแทบจะทันที ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยมีกระแสความหวั่นวิตกเจือเข้มจนคู่สนทนาอย่างโรซาเรียได้แต่ทำสีหน้าฉงน และคงเพราะสีหน้ามึนงงของโรซาเรียชัดเจนจนเกินไป ฟีลีอัคที่รู้สึกเหมือนอยู่ ๆ ก็น้ำท่วมปาก จึงทำได้เพียงมองซ้ายมองขวาสอดส่องสายตา ทำราวกับว่าหลบซ่อนอะไรบางอย่าง จากนั้นเด็กชายจึงขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วเขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นหมายกระซิบบอกคำที่ข้างหูหญิงสาว "กะ...ก็...ร้านนั้นน่ะ...เขาว่ากันว่าเจ้าของร้านเป็นแม่มดน่ะสิครับ" พูดจบเจ้าตัวก็ทำท่าทางขนลุกขนพอง ในใจของเด็กน้อยนั้นคิดไปว่าคำพูดของตนที่เอ่ยเตือน คงพอจะสามารถทำให้พี่สาวคนงามตรงหน้าล้มเลิกความตั้งใจในการไปเยือนร้านค้าแห่งนั้น แต่หารู้ไม่ว่า นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของโรซาเรียนั้นเบิกกว้างขึ้น ทั้งยังมีแววระยิบระยับเป็นประกายเพิ่มมากเป็นเท่าทวีตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'แม่มด' แล้ว "ไปกันเถอะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในใจมีไฟแห่งความฮึกเหิมโหมกระพือพัด ก่อนที่หญิงสาวจะจับจูงมือของเด็กชายตัวน้อยมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ทางทิศใต้ของเมือง ‘ร้านสารพัดนึก’ แม้ชื่อจะฟังดูโอ้อวดเกินจริงไปบ้าง แต่สำหรับโรซาเรียที่ไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าร้านค้าของเวทมนตร์ นางก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวัง สถานที่ตั้งของร้านสารพัดนึกอยู่ทางใต้ของเมืองฟาร์ลัสตามคำบอกเล่าของคุณลุงเจ้าของร้านหนังสือ ซึ่งทางตอนใต้ของเมืองนั้นเป็นเขตที่ไม่ค่อยมีผู้อยู่อาศัยเท่าใด เนื่องเพราะเป็นพื้นที่ติดกับป่าทึบนอกประตูเมืองจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกรบกวนจากพวกสัตว์ป่า ผู้คนเลยเลือกสร้างบ้านเรือนอยู่ที่แถบอื่นมากกว่าเป็นส่วนใหญ่ โรซาเรียเดินตามหลังฟีลีอัคไปโดยไม่เอ่ยอะไร นางทอดสายตามองแผ่นหลังเล็กของคนนำทางตัวน้อย ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของเขาชวนให้รู้สึกน่าเอ็นดูอย่างมาก แม้การย่างก้าวแต่ละก้าวดูจะล่าช้า แต่ท้ายที่สุดถึงใจของเด็กชายอยากวิ่งกลับบ้าน พวกเขาทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าที่หมายอยู่ดี เมื่อมาถึง...โรซาเรียได้แต่เบิกตากว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ นางหันหน้าแล้วส่งสายตาเชิงสอบถามเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่ได้มาผิดที่ แต่ครั้นเห็นใบหน้าซีดและท่าทางเลิ่กลั่กของเด็กนำทางของตน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่าคงเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่นอน ถึงแม้ร้านค้าเบื้องหน้าของนาง จะไม่มีส่วนไหนบ่งบอกได้เลยว่าเป็นร้านขายสินค้าเวทมนตร์เลยก็ตาม… 'ร้านสารพัดนึก' ถึงชื่อจะฟังน่าตื่นตาตื่นใจชวนให้นึกจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน แต่ในความจริงแล้วร้านดังกล่าวเป็นเพียงตึกสูง 2 ชั้นดูธรรมดาอย่างที่สุด อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นร้านที่ไม่ได้รับความนิยมอีกด้วย สังเกตได้จากการที่ผู้คนที่นาน ๆ ครั้งเดินผ่านไปมา ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้ความสนใจกับร้านค้าดังกล่าวเลยสักนิด บริเวณที่ชั้นสองของร้านมีป้ายชื่อร้านสลักติดเอาไว้อย่างใหญ่โต ส่วนทางชั้นล่างนั้นไม่มีของประดับตกแต่งอะไรที่ด้านนอก แม้แต่กระถางต้นไม้สักต้นก็ยังไม่มี หน้าต่างทุกบานถูกผ้าม่านสีเลือดหมูปิดทึบจนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปด้านใน ไม่มีของตั้งแสดง ไม่มีพนักงานต้อนรับ สิ่งที่พอจะดึงดูดใจนอกจากป้ายชื่อร้านที่ดูมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น เห็นจะมีแต่ป้ายอักษรเขียนคำต้อนรับเล็ก ๆ ที่ติดเอาไว้บนหน้าประตูทางเข้าร้านที่ปิดสนิท โดยด้านบนนั้นมีข้อความสั้น ๆ ที่แสนจะเป็นมิตรเหลือเกินว่า ‘ต้อนรับแต่ผู้คู่ควร’ โรซาเรียไล่สายตาขึ้นลงไปมาอยู่พักใหญ่ ตึกร้านที่ดูธรรมดาสามัญอย่างที่สุดทำให้นางจนคำพูด หากไม่มีป้ายชื่อร้านติดเอาไว้ก็ไม่มีทางทราบได้โดยเด็ดขาดว่าตึกตรงหน้านี่คือร้านค้า ไหนจะประโยครับแขกที่ดูเป็นการขับไล่เสียมากกว่านั่นอีก หากพี่ชายของนางที่เป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองหลวงมาเห็นเข้า คงไม่วายต้องมีอันตำหนิติเตียนเจ้าของร้านค้าร้านนี้ยกใหญ่เป็นแน่ "เอาล่ะฟลีค...รอข้าตรงนี้นะ" โรซาเรียหันไปเอ่ยกับเด็กชายที่มาด้วยกัน เขามีท่าทางกระวนกระวายอย่างมาก ก่อนที่มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างจะเอื้อมมาเกาะชายแขนเสื้อของนางเอาไว้ “คุณหนูจะเข้าไปจริงหรือครับ...พวกแม่มดน่ะน่ากลัวจะตายไป” ฟีลีอัคร้องถามเสียงเครียด ในใจของเขามีแต่ความรู้สึกต่อต้านและไม่ยินยอมอยู่เต็มไปหมด แม้รู้ว่าการแตะสัมผัสตัวของสตรีอื่นจะเป็นเรื่องไม่ควรเพราะท่านแม่คอยพร่ำสอน แต่เด็กชายที่คิดเพียงอยากจะรั้งร่างของคุณหนูของตนเอาไว้มากกว่า ก็หลงลืมธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรทำไป “น่ากลัว?” คำพูดที่ฟีลีอัคเอ่ย สามารถเรียกสีหน้าฉงนให้ปรากฏบนใบหน้างาม หญิงสาวไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดแม่มดจึงกลายเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวไปเสียได้ เพราะเท่าที่โรซาเรียรู้มาตลอดคือผู้ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นแม่มดหรือพ่อมด ผู้นั้นจะได้รับการยกย่องในหมู่คนชั้นสูงอย่างมาก นอกเหนือจากตำแหน่งทางการเมืองและฐานะทางสังคมแล้ว อาชีพที่ได้รับการยกย่องที่สุดพอ ๆ กับตำแหน่งขุนนางนั่นก็คือพ่อมดและแม่มดชั้นสูง ซึ่งเป็นอาชีพที่ขึ้นตรงกับสภาเวทมนตร์ ทั้งยังตั้งตนเป็นเอกเทศไม่อยู่ภายใต้อาณาจักรใด หากจะเล่าถึงที่มาก็ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายพันปี นับตั้งแต่แผ่นดินแห่งนี้ปรากฏขึ้นบนโลก ในหนังสือวิชาประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรมาฟิโอเรียได้บันทึกเอาไว้ว่า แต่เดิมนั้นก่อนที่ดินแดนจะถูกแบ่งแยกแตกแขนงออกเป็นแต่ละอาณาจักร สมัยบรรพกาลมนุษย์ยังไร้ซึ่งเวทมนตร์แตกต่างจากเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ สถานที่แห่งนี้เดิมเคยถูกปกครองโดยราชันแห่งภูตแห่งแสงผู้เก่งกาจ หรืออีกนามที่เรียกขานกันอย่างลับ ๆ ว่า ‘ราชันแห่งเหล่าภูต’ พลังเวทมนตร์ขององค์ราชันหล่อเลี้ยงแต่ละเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่อย่างร่มเย็น ทว่าในสายตาของเหล่าภูตนั้น เผ่ามนุษย์ที่ไร้แกนเวทมนตร์ก็ไม่ต่างจากมดงานที่แสนอ่อนแอ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงทำได้แค่ใช้ชีวิตอยู่เป็นเผ่าเล็ก ๆ กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ เลี้ยงปากท้องเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง… สงครามบังเกิดขึ้นในหมู่เหล่าภูตวิเศษ เมื่อภูตกลุ่มหนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่สถาปนาตนเป็นภูตแห่งความมืด คิดแย่งชิงอำนาจจากราชันภูตแห่งแสง แผ่นดินที่เคยเป็นปึกแผ่นเกิดแตกแยก พันธมิตรของแต่ละเผ่าพันธุ์หันคมดาบเข้าห้ำหั่น โลหิตของผู้บริสุทธิ์อาบชโลมไปทุกหย่อมหญ้า เสียงกรีดร้องและเปลวเพลิงลุกโชนเผาผลาญสันติสุขที่เคยมีมานับพันปี จนเหลือแต่เถ้าธุลีและความตาย เผ่าเล็ก ๆ แสนอ่อนแออย่างมนุษย์เองก็ได้รับผลกระทบในสงครามครั้งนั้น จนเมื่อไม่อาจทนรับความเสียหายได้อีก มนุษย์กลุ่มหนึ่งเสนอตัวเข้าร่วมในสงครามเพื่อยื่นมือช่วยเหลือราชันภูตแห่งแสงที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ รายละเอียดในสงครามนั้นมีบันทึกเอาไว้อยู่ในตำรามากมายหลายเล่ม บางเล่มเล่าเรื่องเหนือจินตนาการจนไม่ต่างจากนิทานปรัมปราที่เอ่ยถึงอำนาจวิเศษและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายของเหล่าภูตในยุคบรรพกาล จากตรงนั้นตำนานเล่าเพียงว่าราชันภูตแห่งแสงสามารถสยบภัยร้ายเอาไว้ในความมืดได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ก็ต้องแลกมากับค่าตอบแทนที่มหาศาลจนมิอาจประมาณ อำนาจของราชันแห่งภูตเสื่อมถอย แสงสว่างที่เคยส่องประกายเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้เหล่าภูตบริวารเริ่มริบหรี่ แต่ก่อนที่จะมืดดับแล้วกลับคืนสู่ผืนปฐพี ราชันภูตแห่งแสงได้มอบพรวิเศษเพื่อตอบแทนความกล้าหาญและความเสียสละของกลุ่มมนุษย์ที่เสนอตัวร่วมกอบกู้ในสงครามต่างเผ่าพันธุ์ และนั้นคือจุดเริ่มต้นของผู้มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์กลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ คนกลุ่มนั้นแยกย้ายกลับถิ่นฐานมีเหล่าทายาทที่สืบทอดความสามารถจากพรวิเศษของราชันแห่งภูตสืบต่อไป และในขณะเดียวกันนั้นเมื่อไร้ผู้ปกครองอย่างราชันภูตแห่งแสงแล้ว เผ่าต่าง ๆ เริ่มแยกตัวและหลบเร้นหายไป บ้างก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ บ้างสาบสูญไม่เคยปรากฏตัวอีก เผ่ามนุษย์เองก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น วีรบุรุษในสงครามเหล่าภูตทำให้บทบาทของมนุษย์เริ่มแปรเปลี่ยน ในขณะที่เหล่าภูตเริ่มหลบเร้น เผ่ามนุษย์ก็ยิ่งเติบโตและขยายอำนาจ ประชากรในแต่ละพื้นที่เริ่มตั้งรกรากถิ่นฐานแล้วรวมตัวสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักร ก่อกำเนิดดินแดนต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน และนั้นคือเรื่องราวที่ถูกบันทึกเอาไว้ในตำราประวัติศาสตร์การก่อตั้งของอาณาจักรมาฟิโอเรีย ซึ่งเขียนโดยนักปราชน์เลื่องชื่อผู้หนึ่ง ด้วยเหตุนั้นสำหรับมนุษย์ทุกคนแล้ว ผู้มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ และได้เป็นพ่อมดแม่มดที่ได้รับการรับรองจากสภาเวทมนตร์ จึงไม่ต่างกับได้รับสืบทอดเกียรติยศของเหล่าผู้กอบกู้และทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงมาได้จนถึงทุกวันนี้ พอมาได้ยินเด็กน้อยกล่าวว่าแม่มดคือสิ่งน่ากลัว โรซาเรียก็อดที่จะมึนงงขึ้นมาไม่ได้ “ใช่ครับ...ท่านแม่บอกข้าว่าหากข้าเป็นเด็กเกเร จะโดนแม่มดสาป หรือไม่ก็จับไปกิน” ก่อนที่คำตอบที่ได้รับจะทำให้หญิงสาวยิ้มขำ ที่แท้ก็เป็นแค่กุศโลบายหลอกเด็ก ที่พวกผู้ใหญ่ชอบใช้กันเท่านั้นเอง โรซาเรียลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนย่อตัวนั่งลงให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กชายตัวเล็ก “แล้วฟลีคได้ทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าล่ะ” “นับเรื่องแอบกินขนมก่อนนอนไหมครับ” “ช่างเถอะ...รออยู่ตรงนี้นะ” โรซาเรียเอ่ยตัดบท นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเด็กชายเบา ๆ จากนั้นก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินก้าวเข้าใกล้ประตูทางเข้าร้านค้า มือเรียวเล็กคว้าจับลูกบิดประตู แล้วออกแรงหมุนแล้วดันเข้าไปด้านใน แต่แล้ว... กึก ๆ เปิดไม่ออก… โรซาเรียยืนนิ่งค้างอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า หลังจากที่นางพยายามบิดลูกบิดแต่ก็พบว่าไม่สามารถหมุดเปิดประตูเข้าไปในร้านได้ นางเหลือบมองป้ายที่เขียนว่า 'เปิดให้บริการ' เด่นหราอยู่ตรงหน้า แต่ทว่านางกลับไม่สามารถเข้าร้านไปได้ หรือจะลงกลอนด้านในเอาไว้? หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนที่ตัดสินใจละมือออกจากลูกบิดโลหะแล้วหมายจะเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านในแทน แต่ทว่า...ยังไม่ทันใช้มือเคาะ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก็เหลือบไปเห็นข้อความเล็ก ๆ ที่เขียนกำกับไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ ใต้คำว่า 'เปิดให้บริการ' ว่า **ห้ามเคาะ...ถ้าเปิดได้ก็เข้ามา** หญิงสาวอ่านจบก็นิ่งค้างอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ โรซาเรียรู้สึกจนใจอยู่ไม่น้อย นางเปิดประตูไม่ออก แถมจะเคาะก็เคาะไม่ได้ คนที่เดิมมาด้วยกำลังใจเต็มร้อย ตอนนี้แรงใจแทบติดลบ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ยอมละความพยายาม โรซาเรียคว้าลูกบิดประตูอีกครั้งแล้วออกแรง กึก ๆ แต่ผลที่ได้รับก็ยังคงเป็นเช่นเดิม "คุณหนู...ร้านคงปิดมั้งครับ...กลับกันเถอะครับ" ฟีลีอัคเห็นว่าคุณหนูของตนไม่สามารถเปิดประตูเข้าร้านได้ เด็กชายจึงพยายามร้องบอก หวังให้หญิงสาวล้มเลิกความตั้งใจแล้วเดินทางกลับบ้านพักไปด้วยกัน "ขอลองอีกเดี๋ยว" แต่คำร้องขอนั้นก็ถูกปฏิเสธ โรซาเรียยังคงพยายามออกแรงดันประตูร้านที่ดูไม่มีทีท่าจะเปิดออกโดยง่าย กึก ๆ กึก ๆ แต่ถึงออกแรงไปเท่าไหร่ นางก็ยังเข้าไปไม่ได้อยู่ดี "คุณหนูครับ...กลับเถอะ" ฟีลีอัสยังคงไม่ละความตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อม "ขออีกที" โรซาเรียก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะเปิดประตูเข้าไปเช่นกัน จนกระทั่งหลังจากผ่านไปกว่า 20 นาที ในที่สุดสิ่งที่โรซาเรียเฝ้ารอก็เกิดขึ้น!! แกร๊ก!! ดะ...ได้แล้ว! เปิดได้แล้ว! โรซาเรียคิดอย่างดีใจ นางแย้มยิ้มกว้างแล้วดันตัวเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในร้านดี ๆ แรงจากอีกฝั่งหนึ่งของประตูก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ร่างเล็กเสียการทรงตัวทรุดลงไปกับพื้นไม้ มือยังคงกำแน่นที่ลูกบิดโลหะไม่ยอมปล่อย ในวินาทีที่เข่าของนางกระทบกับพื้นแข็ง โรซาเรียจึงได้เข้าใจว่าประตูร้านที่เปิดออกนั้น ไม่ได้เกิดจากการที่นางเปิดเองแต่เป็นเพราะมีคนเปิดมันจากด้านในต่างหาก "ยัยแก่! พรุ่งนี้หาเขาของทอรัสมาให้ด้วยนะ...อะ...เอ๋? " เสียงตะโกนของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น โรซาเรียมองเห็นปลายรองเท้าบูตหนังสีน้ำตาลที่ผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบันอยู่ตรงหน้า นางไล่สายตาของตนเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่ ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่ชายผู้นั้นทอดส่งสายตาฉงนมาให้นางเช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างมาก เส้นผมสีไวน์แดงของเขาดูแปลกตา แต่มันก็เข้ากันได้ดีกับนัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายไม่ต่างจากอัญมณีของเจ้าตัว "ยายแก่!! ตรงนี้มีลูกค้าเป็นคุณหนูน่ารักล่ะ" น้ำเสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความสดใสดังขึ้นอีกครั้ง ชายคนนั้นละสายตาจากนางแล้วหันไปเอ่ยกับใครบางคนที่อยู่ด้านในร้านค้าแทน "หืม? " สิ้นเสียงชายหนุ่ม ครู่ต่อมาก็ปรากฏร่างของสตรีผู้เป็นเจ้าของเส้นผมสีดอกเลาและดวงตาสีมรกตนางหนึ่งเดินออกมาจากหลังชั้นวางของ ในมือของนางถือท่อยาสูบลวดลายงดงามอันหนึ่งเอาไว้ นางเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูมีอายุแล้วก็จริง แต่ก็ยังห่างไกลจากคำเรียกขานว่า 'ยายแก่' อยู่มากโข โรซาเรียที่ถูกการปรากฏตัวของคนแปลกหน้าทั้งสองดึงสติไป นางจึงยังคงนั่งแหมะอยู่ที่พื้นไม้ตรงที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน "เฮ้ย เฮ้ย...นังหนู...ไม่เห็นป้ายรึไงว่าร้านนี้ ร้านอะไร" สตรีผู้อยู่ในร้านเอ่ยถามหลังจากพ้นกลุ่มควันบางเบาออกจากปาก หญิงผู้นั้นทอดสายตามองโรซาเรียอยู่ครู่ใหญ่ทั้งสีหน้าที่แสดงออกถึงความรำคาญใจ "ทราบค่ะ...ร้านสารพัดนึก...ข้ามา...ข้ามาหาซื้อหนังสือเรียนเวทมนตร์" "เรียนเวทมนตร์? ...นี่เจ้าเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า...แกนเวทมนตร์เจ้ามันกลวงโบ๋แบบนั้นจะไปใช้เวทมนตร์ได้ยังไง...ฝันอยู่เรอะ" หลังจากได้ฟังคำตอบของลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญ หญิงผู้นั้นก็กระแทกคำพูดที่ทำเอาคนฟังอย่างโรซาเรียแทบสะอึก แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าแกนเวทมนตร์ที่เสียหายทำให้ไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้อีก แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าแค่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ จะถึงขนาดกับไม่เป็นที่ต้อนรับในร้านค้าขายสิ่งของเวทมนตร์ขนาดนี้ "ระ...เรียนไม่ได้หรือคะ" โรซาเรียเอ่ยถาม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางไม่ทราบจริง ๆ หากถามความรู้เรื่องการเมืองและการปกครองสำหรับอาณาจักรมาฟิโอเรีย โรซาเรียมั่นใจว่าตนเองสอบผ่านคะแนนเต็มร้อย แต่หากถามหาความรู้ด้านโลกเวทมนตร์กับนาง โรซาเรียกล้ายอมรับอย่างเต็มปากว่ามีเท่าหางอึ่ง! ทางด้านคนฟังเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาว นางก็ยกท่อยาสูบขึ้นดูดก่อนจะพ่นควันออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวเสียงเรียบ "อย่าว่าแต่เรียนเลย...ลองปล่อยมือจากประตูแล้วก้าวเข้ามาใหม่สิ" หญิงในร้านเอ่ยบอก โรซาเรียมองมือของตนเองที่ยังคงจับอยู่ที่ลูกบิดประตูอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยันตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วปล่อยมือออกตามคำของอีกฝ่าย ทันทีที่ฝ่ามือละออกจากลูกบิดโลหะ อยู่ ๆ ก็ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นดันร่างอรชรของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเทาให้ถอยหลังห่างจากประตูร้านออกไปสองถึงสามก้าว โรซาเรียเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางมองดูปลายเท้าของตนเองที่บัดนี้ยืนอยู่หลังเขตกรอบประตูทางเข้าร้าน เข้าไม่ได้… ความจริงที่ค้นพบเหมือนกับอยู่ ๆ มีคนเอาน้ำเย็นจัดมาสาดใส่หน้าของนาง โรซาเรียมองเข้าไปในร้านด้วยความเจ็บใจ เบื้องหน้าของนางห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวคือชั้นหนังสือเรียนเวทมนตร์ แต่ยามนี้นางกลับไม่อาจแม้แต่ก้าวเข้าไปหยิบคว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตามใจปรารถนา ความฝันที่จะเป็นแม่มดเหมือนไกลห่างออกไปทุกที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD