"ป้ายก็บอกอยู่ไงว่าสำหรับผู้ที่คู่ควร...ถ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์หรือมีคุณสมบัติพอก็จะเข้าร้านนี้ไม่ได้ยังไงล่ะ...เอาล่ะทีนี้ก็ถอยไปซะ...เกะกะขวางทางลูกค้าคนอื่นนะ" หญิงในร้านไม่สนใจสีหน้าคับข้องใจของเด็กสาวแปลกหน้า นางเพียงเคาะท่อยาสูบในมือตนแล้วเบนสายตาด้วยความเบื่อหน่าย ในใจคิดเพียงแต่ว่า 'วันนี้มีลูกค้าไม่รู้เรื่องรู้ราวผู้หนึ่งหลงมาเสียแล้ว' ก็เท่านั้น
"คะ...คุณหนู...กลับเถอะครับ" ฟีลีอัคที่เห็นว่าคุณหนูของตนถูกดันออกมาจากร้าน เด็กชายทำใจแข็งเดินไปเกาะชายแขนเสื้อของหญิงสาวเอาไว้เบา ๆ
แรงดึงและเสียงเรียกของเด็กชายไม่อาจดึงสติที่ล่องลอยของโรซาเรียให้หวนกลับมาได้ แววตาเหม่อลอยยังคงจดจ้องอยู่ที่ชั้นหนังสือตรงหน้าอย่างไม่อาจตัดใจ
"คุณหนู...ไปเถอะครับ...นะ"
ยิ่งเห็นแววความหม่นหมองของเจ้านายของมารดา ฟีลีอัคก็ตัดสินใจฉวยมือนุ่มของโรซาเรียมาจับ แล้วออกแรงดึงรั้งร่างเพรียวบางของหญิงสาวให้เดินห่างออกมาจากร้านค้าประหลาดแห่งพื้นที่เขตใต้ และมุ่งหน้าไปยังจุดจอดรถม้าเพื่อเดินทางตรงกลับบ้านพักโดยทันที
ผลการปฏิบัติการค้นหาหนทางการรักษาแกนเวทมนตร์ของโรซาเรียในวันแรก = ล้มเหลว
โรซาเรียกลับมานอนเหม่อมองเพดานในห้องนอนของตนเองอีกครั้ง นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินทางกลับบ้านมาตอนไหน กว่าจะรู้ตัวว่าถึงหน้าบ้านพักก็ตอนที่มือเล็กของฟีลีอัคเขย่าแขนเรียกสติ สิ่งที่พอจะชัดเจนในความทรงจำของนางคือสีหน้าของเด็กชายที่ไม่สู้ดีนัก มันเต็มไปด้วยความกังวล ที่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงนาง หรือกลัวว่าจะโดนแม่ของเขาดุเอากันแน่
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด โรซาเรียก็เลือกที่จะเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มของเด็กชายตัวเล็ก แล้วร้องขอคำสัญญากับเขาว่าอย่าได้บอกใครว่าวันนี้พวกเราไปที่ไหนกันมา
“ท่านแม่สอนว่าไม่ให้โกหก” นั่นคือคำตอบที่ฟีลีอัคเอ่ยตอบด้วยแบบตากลมโตกระจ่างใส
“ไม่ได้โกหก...แค่ไม่พูดถึง” และนางก็ได้สั่งสอนเรื่องไม่ดีให้เด็กน้อยไปเสียแล้ว
“อื้ม...ถ้าเช่นนั้นข้าทำให้คุณหนูได้”
บางครั้งความใสซื่อของเด็กน้อยก็น่าเอ็นดูเหลือจะกล่าว เห็นเขาเป็นเช่นนี้ โรซาเรียรู้ได้ทันทีเลยว่าฟีลีอัคเติบโตมาด้วยความรักและความเอาใจใส่ของมารดามากขนาดไหน ฟีลีอัคเหมือนกับเลนนอลในวัยเยาว์อย่างมาก น้องชายของนางก็เกิดมาพร้อมความรักอย่างเต็มเปี่ยมของมารดาเช่นกัน ซึ่งบางครั้งเรื่องนี้ก็ทำให้โรซาเรียรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
“เก่งมาก” นางเอ่ยกับเขาเช่นนั้นทั้งรอยยิ้ม ใช้นิ้วบีบที่แก้มยุ้ยของเด็กน้อยเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ทำสิ่งที่เคยคิดว่าอยากทำกับน้องชายตนเองสักครั้งกับเด็กชายตรงหน้าแทน ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าบ้านพักไป
จนเมื่อกลับถึงห้องส่วนตัว แล้วจึงมานอนมองเพดานอย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ ในใจของโรซาเรียเต็มไปด้วยคำถาม เหตุการณ์ที่ร้านสารพัดนึกวนเวียนซ้ำไปมาในห้วงความคิด ความรู้สึกของการโดนกีดกันไม่เคยน่าอภิรมย์ แต่โรซาเรียคุ้นชินกับการโดนปฏิเสธมาทั้งชีวิต เรื่องที่พบเจอจึงไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของนางได้รุนแรงจนคิดล้มเลิก
นางเข้าใจเหตุผลของหญิงเจ้าของร้านสารพัดนึกที่ไม่อนุญาตให้นางเข้าไปด้านใน เพราะนางไร้แกนเวทมนตร์การเรียนเวทมนตร์เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่สิ่งที่นางต้องการในร้านนั้นจริง ๆ หาใช่ตำราเวทมนตร์เพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ นางต้องการตำราเพื่อหาหนทางรักษาแกนเวทมนตร์ด้วยต่างหาก
แกนเวทมนตร์ที่เสียหายไม่อาจหาหนทางรักษาได้ด้วยการรักษาแบบธรรมดาสามัญเหมือนความเจ็บป่วยทางร่างกายอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วหากไม่หาความรู้จากแหล่งค้าขายของเวทมนตร์จะให้นางไปหาที่ไหนได้อีก แต่นี่ยังไม่ทันก้าวเข้าร้านเลยด้วยซ้ำก็โดนไล่ออกมาเสียแล้ว เรื่องตำราเรียนเวทมนตร์น่ะเอาไว้ก่อนได้ แต่ถ้านางเข้าไปไม่ได้จะหาทางรักษาให้ตนเองได้อย่างไรกัน
โรซาเรียครุ่นคิดด้วยความรู้สึกที่มืดแปดด้าน เพราะก่อนหน้านี้นางเป็นผู้มีคุณสมบัติการใช้เวทมนตร์ แต่ไม่เคยใช้งานความสามารถนั้น ทั้งยังไม่ให้ความสนใจเรื่องความเป็นไปในโลกเวทมนตร์อีกด้วย มาตอนนี้ก็นึกเสียใจไม่น้อย ความรู้ที่นางเคยคิดว่าตนเองมีมากพอแล้ว บัดนี้กลับค้นพบว่าตนเองช่างตื้นเขินนัก
โรซาเรียไม่เคยรู้เลยว่าเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์มองคนธรรมดาด้วยสายตาที่ไม่ต่างกับขุนนางมองสามัญชน สำหรับนางที่เกิดและเติบโตในตระกูลดยุก นางไม่คุ้นเคยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับโลกเวทมนตร์ของเหล่าพ่อมดแม่มดแล้วนั้น แบ่งออกเป็นแค่คนมีพลังและคนที่ไม่มี พวกเขาไม่สนใจว่านางจะเป็นใคร ตระกูลใหญ่โตขนาดไหน ในเมื่อนางไม่มีพลัง นางก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกนับเป็นพวกเดียวกับพวกเขา
คงเพราะเป็นเช่นนี้ด้วยกระมัง เหล่าตระกูลขุนนางและเชื้อสายกษัตริย์ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายจึงไม่ใคร่นิยมส่งเสริมให้ลูกหลานเดินไปในเส้นทางสายของการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์เท่าใดนัก
โรซาเรียเลื่อนสายตาไปที่โต๊ะข้างเตียง นางมองเห็นตราสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวของตระกูลตน สิ่งนี้จะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่นางจะเลือกใช้ หากนางหยิบมันออกมาใช้เพื่อความต้องการของตนเมื่อใด ทางตระกูลของนางย่อมรู้แน่ว่านางคิดจะทำอะไร โรซาเรียไม่คิดเสี่ยงให้ความลับของตนแตก
ยามนี้หญิงสาวไม่ต่างจากเด็กน้อยที่หลงทางอยู่กลางเขาวงกต หนทางข้างหน้าสลับซับซ้อนยากนักที่จะเดินมุ่งไป แต่ถึงจะยากเย็นแสนเข็ญและเต็มไปด้วยอุปสรรคเพียงใด แต่หน้าที่สำหรับการก้าวข้ามบททดสอบเหล่านั้นเพื่อเอื้อมคว้าสิ่งที่นางหวังมาถือครองย่อมต้องเป็นหน้าที่ของนางเองไม่ใช่หรือ
โรซาเรียหลับตาลง เริ่มคิดไตร่ตรองเรื่องต่าง ๆ ท่ามกลางความเงียบรอบกาย
เช้าวันใหม่มาเยือน ล้อรถม้าของตระกูลเครสเซนเทียเริ่มหมุนเคลื่อนออกจากบ้านพักตั้งแต่ช่วงสายพร้อมผู้โดยสารชุดเดียวกับเมื่อวาน
"คุณหนู...เอาจริงหรือครับ" ฟีลีอัคเอ่ยถาม เด็กชายถูกโรซาเรียพาตัวออกมาหลังจากที่เขาเพิ่งทานข้าวเช้าเสร็จ เจ้านายสาววันนี้มีท่าทางกระตือรือร้นอย่างมาก สีหน้าของนางเหมือนกับเพื่อนข้างบ้านของเขาตอนที่ตั้งใจจะออกไปแข่งปีนต้นไม้เมื่อสัปดาห์ก่อนไม่มีผิด
"อื้ม!! " โรซาเรียหันมาพยักหน้าตอบรับ วันนี้ร่างบางอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมสีดำถูกมัดรวบขึ้นสูงจนกลายเป็นทรงหางม้า ในกระเป๋าสะพายที่นำติดกายมา ด้านในบรรจุถุงเหรียญทองอยู่เต็มกระเป๋า
หลังจากที่ผ่านการไตร่ตรองมาตลอดทั้งคืน โรซาเรียที่คิดหาหนทางในการเข้าร้านค้าดังกล่าวจนหัวหมุน สุดท้ายเมื่อคิดแล้วคิดอีกนางจึงเลือกวิธีการที่ตนคุ้นเคยที่สุด…
ตระกูลเครสเซนเทียเป็นตระกูลพ่อค้า สิ่งที่ตัวนางไม่เคยขาดแคลนก็คือเงินทองอย่างไรล่ะ!
ในเมื่อนางไม่อาจใช้ความสามารถของตนในการก้าวข้ามกำแพงที่นางไม่อาจทำลายได้ เช่นนั้นแล้ว ก็ทำการเจรจาซื้อขายกันด้วยเงินตรานี่แหละ!
หญิงสาวที่มีเลือดแม่ค้าเต็มเปี่ยมกำถุงเงินของตนแน่นด้วยใจมุ่งมั่น อย่างไรวันนี้นางต้องได้ตำราเกี่ยวกับเวทมนตร์สักเล่มกลับบ้านไปด้วยให้จงได้!
"แน่ใจจริง ๆ หรือครับ" ฟีลีอัคที่แม้เห็นว่าเจ้านายของตนฮึกเหิมมากเพียงใด แต่เขาก็ยังคิดที่จะเอ่ยทัดทาน
ก็หญิงสาวเพิ่งโดนคนน่ากลัวสองคนไล่ออกจากร้านมาจะไม่ให้เอ่ยปากห้ามได้อย่างไร ตอนที่กลับถึงบ้านเมื่อวานนั้น มารดาของเขาพยายามสอบถามอยู่หลายหนเพราะเห็นว่าตั้งแต่กลับมาคุณหนูของบ้านมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ตนเป็นลูกผู้ชายห้าวหาญ รักษาสัญญาเอาไว้แล้วย่อมต้องทำตาม เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้ปริปากบอกท่านแม่ของตนแม้เพียงครึ่งคำ
แล้วตัดสินใจเขียนบรรยายลงในกระดาษสั้น ๆ ว่า ‘คุณหนูอยากเข้าร้านคนที่บังคับให้ข้าต้องกินผัก แต่ถูกเขาไล่ออกมา’ แทน ไม่รู้ทำไมตอนที่เขียนไปเช่นนั้น เขาจึงโดนสั่งงดของหวานหลังมื้อเย็นเสียได้ ก็ในเมื่อร้านค้านั้นเป็นของแม่มด แล้ว แม่มดก็คือคนที่จะทำโทษเขาหากเขาไม่กินผักใบเขียวไม่ใช่หรือ เช่นนั้นแล้วตนเขียนผิดที่ตรงไหนกันเล่า!
"อื้ม!! " โรซาเรียเอ่ยตอบอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเดินไปที่ประตูร้านค้าร้านสารพัดนึกอย่างมั่นคง มือเล็กเอื้อมคว้าลูกบิดโลหะจากนั้นจึงออกแรงหมุนเพื่อเปิดประตู
กึกๆ กึกๆ
และก็เป็นดังก่อนหน้านี้ ประตูร้านยังคงไม่เปิดต้อนรับนางเช่นเดิม โรซาเรีย มองป้ายต้อนรับหน้าร้านประโยคคำว่า ‘ต้อนรับแต่ผู้คู่ควร’ ด้วยความรู้สึกแสนชัง นางนึกอยากจะหาปากกามาขีดฆ่าประโยคนั้นทิ้ง แล้วเขียนต่อท้ายด้วยถ้อยคำที่ดังก้องในใจของนางบนนั้นแทนเหลือเกินว่า ‘ทุกผู้ที่แสวงหาความรู้ ย่อมคู่ควร!’
กึกๆ กึกๆ
ความหงุดหงิดใจที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ โรซาเรียออกแรงหมุนลูกบิดประตูแรงขึ้น แม้จะรู้ว่าหมุนให้ตายประตูก็ไม่มีวันเปิดออก แต่นางก็ยังคงคาดหวัง ให้สักเสี้ยววินาทีเกิดปาฏิหาริย์ เหมือนกับที่เมื่อวานมีคนเปิดประตูพอดี
"นี่...หลบหน่อยซิ"
ทันใดนั้นเอง...เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นในระยะประชิดจากทางด้านหลัง ร่างบางสะดุ้งสุดตัว โรซาเรียเผลอปล่อยมือออกจากลูกบิดประตู ก่อนหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน
ชายที่ยืนอยู่ห่างจากโรซาเรียในระยะไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน เขาคือชายคนเดียวกับเมื่อวานที่เปิดประตูร้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกต เส้นผมสีไวน์แดงของชายคนนั้นยาวประบ่า และแม้จะมัดรวบเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีดำ แต่มันก็เป็นทรงผมที่ดูยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อย ดวงตาคมฉาบด้วยสีสันของหมู่แมกไม้มีแววฉงน ใบหน้าหล่อเหลาถูกโน้มเข้าใกล้โรซาเรียเล็กน้อย นางกำลังถูกเขามองประเมิน นั่นคือความรู้สึกที่โรซาเรียรับรู้ได้อย่างชัดเจน
และนางก็ไม่ชอบมันเสียเลย
"เอ๋? ...คุณหนูคนเมื่อวานนี่...วันนี้ก็มาอีกหรือ" ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางเป็นใคร เขาแย้มยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ทว่าสำหรับโรซาเรีย นางพบว่ารอยยิ้มที่เหมือนจะสดใสของเขากลับไม่แผ่ความรู้สึกไปถึงแววตา ประกายวูบไหวของนัยน์ตาสีเขียวมรกตช่างเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
นางไม่ได้ตอบกลับเขาไป เพียงพยายามก้าวถอยห่างจากชายคนนั้นไปจนแผ่นหลังชิดประตู
ฝ่ายชายหนุ่มที่เห็นท่าทางระแวดระวังของหญิงสาว เขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับท่าทางเหล่านั้นมากนัก ร่างกำยำยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเสยเส้นผมที่ตกปรกหน้าของตนขึ้น แล้วเอ่ยต่อ
"แต่ถึงจะมาอีกวันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ...ถ้าเข้าไม่ได้ก็คือเข้าไม่ได้"
"ทำไมล่ะคะ...ทำไมถึงไม่ได้...ขอแค่เข้าไปดูก็ไม่ได้หรือคะ" โรซาเรียถามกลับ นางมีความรู้สึกไม่ยินยอมอย่างชัดเจนอยู่ในน้ำเสียง ฝ่ายชายหนุ่มทำสีหน้าราวกับว่าพบเด็กดื้อด้าน เขาถอนหายใจแล้วกอดอก ทอดสายตาที่เรียบนิ่งมองตรงมาที่นาง ส่งมอบคำถามที่เจือไปด้วยกระแสแห่งการตำหนิ
คนตรงหน้านางผู้นี้ กำลังมองนางไม่ต่างจากตัวปัญหา นั้นคือสิ่งที่โรซาเรียรับรู้ได้ในใจ
"เข้าไปดูแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ? " ชายคนนั้นเอ่ยถาม
“ข้าเพียงต้องการหนังสือสองสามเล่มเท่านั้น” โรซาเรียเอ่ยตอบตามความจริง นางมาที่นี่เพื่อทำการซื้อขาย ไม่ได้มาเพื่อขโมยสิ่งใดเสียหน่อย แต่ทันทีที่นางเอ่ยจบ ชายคนนั้นกลับเหยียดยิ้มขึ้น และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สร้าง ‘ความไม่ชอบใจ’ ที่ชายคนนี้ทำต่อนาง
"สำหรับผู้ใช้เวทมนตร์แล้ว...ความรู้ในตำราที่อยู่ในร้านนั้นคือคลังสมบัติ...แต่คนธรรมดาแบบคุณหนูถึงดูไปก็ทำอะไรไม่ได้...เปล่าประโยชน์นะ...ร้านนี้ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็กหรอก" คำอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้โรซาเรียเผลอกำมือแน่นขึ้น
นางกำลังถูกปฏิเสธอีกครั้ง...
"แค่อยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก็ไม่ได้หรือคะ" หญิงสาวโต้แย้งขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ ดวงหน้างามเคร่งเครียดขึ้นโดยพรัน ในฐานะที่นางกลายเป็นแค่ ‘คนธรรมดา’ นั้นอาจทำให้พวกผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งหลายมองนางอย่างด้อยค่า แต่ในฐานะผู้แบกเกียรติยศของตระกูลเก่าแก่ไว้บนบ่า โรซาเรียไม่อาจยินยอมให้ใครมาดูหมิ่น ความตั้งใจจริงของนางใช่สิ่งที่จะปล่อยให้คนอื่นมาชี้นิ้วสั่งได้หรือว่าทำไม่ได้
"ข้าขอแนะนำให้คุณหนูเอาเวลาไปร่ำเรียนเรื่องอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้เถอะ"
"ถ้าอย่างนั้น...ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าไปได้คะ" หญิงสาวโต้กลับคำพูดเย็นชาด้วยคำถาม นางไม่เคยเกรงกลัวที่จะถามหาในสิ่งที่นางไม่อาจหาคำตอบได้ด้วยตนเอง ฝ่ายชายหนุ่มเห็นแววแห่งความมุ่งมั่นในแววตาสีน้ำเงินเข้ม เขานึกขันอยู่ในใจ
‘มันจะมีทางทำให้คนธรรมดาใช้เวทมนตร์ได้ที่ไหนกัน’ นั้นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิดอยู่
ร้านค้าแห่งนี้ถูกยายแก่เจ้าของร้านกางเกราะเวทมนตร์เอาไว้ เดิมเกราะเวทมนตร์นั้นมีไว้สำหรับป้องกันผู้บุกรุก แต่ยายแก่จอมขี้เกียจกลับใช้ประโยชน์ของเกราะในการคัดกรองลูกค้าเสียแทน
ร้านสารพัดนึกเป็นร้านโด่งดังในหมู่ผู้ใช้เวทมนตร์ ‘ร้านค้าที่ไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านปรารถนาจะมีให้เลือกสรร’ นั่นคือชื่อเสียงที่ร่ำลือกันของร้านค้าแห่งนี้ แต่ด้วยเกณฑ์การรับลูกค้าที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ จำนวนผู้ใช้บริการจึงน้อยแสนน้อย แต่วันนี้ดันมีหญิงสาวนางหนึ่งดื้อรั้นจะเข้าร้านให้ได้ ทั้งยังเป็นแค่ ‘คนธรรมดา’ ผู้หนึ่งเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้เขา ‘เฟนริส โอเรสเทล’ ซึ่งเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ชั้นกลางรู้สึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นจะให้ลงไม่ลงมืออย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง เขาจึงทำได้แค่พยายามใจเย็นแล้วเอ่ยตอบคำถามของนาง
"เอาแบบนี้...คุณหนูลองไปหาตาแก่นักทำนายที่อยู่แถวใต้สะพานตะวันตก...ข้าไม่รับปากหรอกนะ...แต่อาจได้หนทางดี ๆ ก็ได้"
โรซาเรียไม่เสียเวลาคิดให้มากความ อย่างไรถึงยืนเถียงกันอยู่ที่หน้าร้านก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยน ในเมื่อคนเขาบอกให้ลองไปดู นางก็รู้สึกว่าไม่เสียหายที่จะลองเสี่ยง
"ขอบคุณท่านมากค่ะ" หญิงสาวตอบรับแล้วเดินไปจูงมือเด็กชายอีกคนที่ยืนรออยู่อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จากนั้นก็จากไปทันที
แอ๊ด…
คล้อยหลังร่างเล็กของหญิงสาว ประตูร้านที่ปิดสนิทถูกเปิดออกกว้าง ร่างของสตรีผู้เป็นเจ้าของเส้นผมสีดอกเลาปรากฏกายขึ้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ในมือของนางยังคงมีท่อยาสูบอันเดิม
"ไม่ใจร้ายไปหน่อยเรอะ...บอกให้นังหนูนั้นไปหาตาแก่ลีมัสน่ะ" นางเอ่ยถามกับชายตรงหน้า ที่บัดนี้ทอดส่งสายตาเย็นชามองตามร่างบางที่เดินจากไปไกลจนพ้นหัวมุมถนนน เมื่อได้ยินคำถามของผู้อาวุโสกว่า เขากลับมีเพียงรอยยิ้มบางที่ดูไม่จริงจังกับสิ่งใด
"นี่ข้าช่วยไล่ลูกค้าที่มาเกะกะหน้าร้านให้ย่านะเนี่ย...ยังจะมาดุข้าอีก"
คำตอบที่มาพร้อมกับท่าทางทีเล่นทีจริง ทำให้ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าส่งแววตาตำหนิ ความกดดันอันไร้คำพูดเข้ากดดันบรรยากาศของคนทั้งสอง ก่อนที่รอยยิ้มที่ดูเสแสร้งของชายหนุ่มจะจางหายไป เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉย เขาเพียงเสยผมของตนขึ้นด้วยความรำคาญใจ ก่อนจะเอ่ยอธิบายความคิดในใจด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ
"ย่าก็รู้ว่าถึงตาแก่ลีมัสจะเป็นนักทำนายที่ชอบเพ้อเจ้อพูดมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ...แต่ก็ไม่เคยโกหก...หากคนธรรมดามาถามหาวิธีการให้ใช้เวทมนตร์ได้บ้าง...โดนตาแก่นั้นด่าเปิงไปคงตัดใจไปเองล่ะ"
"ใจร้ายเหลือเกิน...ได้ใครมาล่ะ...พ่อเจ้ารึ" คนถูกเรียกว่ายายเอ่ยตอบหลังจากที่พ่นควันบางเบาของยาสูบที่เผาไหม้ออกจากปาก
"พ่อข้าก็ลูกท่านไม่ใช่รึไง...ว่าแต่ไหนล่ะเขาทอรัสของข้าน่ะ" ฝ่ายคนโดนดุกลับมาแย้มยิ้มบางอีกครั้ง แล้วทำเมินบทสนทนาที่เกิดขึ้น เดินก้าวขาเข้าร้านไปไม่สนใจเรื่องเบื้องหลังอีก
ทางอีกด้านหนึ่ง โรซาเรียและฟีลีอัคเดินกลับมาที่จุดจอดรถม้า ก่อนที่นางจะแจ้งว่าต้องการจะไปร้านนักพยากรณ์ที่อยู่แถวสะพานตะวันตก โรซาเรียไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม พูดแต่ว่าอยากจะไปดูคำทำนายด้านเนื้อคู่เสียหน่อยเพื่อตัดข้อซักถาม เพราะก่อนหน้านี้นางเพิ่งโดนถอนหมั้น การที่เอ่ยว่าอยากจะรู้ว่าในชีวิตนี้จะเจอเนื้อคู่บ้างหรือไม่จึงดูไม่ผิดสังเกต ด้านคนขับรถม้าพอได้ยินว่าคุณหนูของบ้านกลุ้มใจเรื่องเนื้อคู่จนต้องพึ่งคำทำนายของนักพยากรณ์เขาก็ไม่คิดห้ามปราม รีบพาคุณหนูคนงามมุ่งตรงไปยังที่หมายทันที
"ที่นี่แหละครับคุณหนู"ลุงทีโมนคนขับรถม้าเอ่ยบอก เขาเลี้ยวจอดรถม้าอยู่ห่างจากหน้าบ้านหลังหนึ่งเล็ก ๆ ที่ติดป้ายเอาว่าตำหนักพยากรณ์ของพ่อหมอลีมัส ผู้หยั่งรู้ โรซาเรียกวาดสายตามองบริเวณหน้าร้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเอ่ยบอกคนร่วมทางทั้งสอง
"อื้ม...รออยู่หน้าร้านนะ"
"จะเข้าไปจริงหรือครับ...เขาว่าตาแก่ด้านในเป็นคนเสียสติ...ข้าเคยได้ยินว่าทำนายแต่เรื่องร้าย ๆ " ฟีลีอัคชะโงกหน้าจากตรงที่นังคนคุมบังเ**ยนเพื่อเอ่ยเตือนเจ้านายสาว โรซาเรียมองเด็กชายที่ทำสีหน้ายุ่งยาก ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมของเขาเบา ๆ ดูเหมือนว่านางจะเสพติดนิสัยลูบหัวสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเสียแล้ว
"ไม่เป็นไร" โรซาเรียเอ่ยตอบออกไป ในใจนางดังก้องไปด้วยความคิดหนึ่งที่ไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยว่า
เพราะคงไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อีกแล้ว…