บทที่ 08 : คำทำนาย

4723 Words
"ขออภัยค่ะท่านนักทำนาย...ข้ามาเพื่อถามคำถาม" โรซาเรียเอ่ยทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในตัวบ้าน นางกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาคนที่ดูเหมือนเป็นนักพยากรณ์ จนพบว่าเบื้องหน้าของนางที่โต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่สุดมุมห้อง มีชายแก่ผู้หนึ่งนอนฟุบหลับอยู่ หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ ก่อนส่งเสียงเรียกคนที่จมดิ่งในห้วงนิทราอีกครั้ง “ขออภัยค่ะ...ใช่ท่านนักพยากรณ์หรือไม่คะ?” เสียงร้องถามที่ดังขึ้นของนางเรียกให้นัยน์ตาสีเทาหม่นของชายแก่ลืมขึ้นสบ ใบหน้าของชายแก่ที่โผล่ออกมาจากใต้ผ้าคลุมสีดำเนื้อกํามะหยี่ดูง่วงงุน เขามีท่าทางเกียจคร้านทั้งยังสีหน้าเบื่อหน่ายดูไม่เป็นมิตร ในใจของโรซาเรียรู้สึกเศร้าหมองไม่น้อย เพราะนี้คือผู้ใช้เวทมนตร์คนที่ 3 แล้วที่ทอดสายตามองนางราวกับว่านางเป็นเพียงคนไร้ค่าผู้หนึ่ง “ข้ามาเพื่อขอคำแนะนำ” "......" หลังจากที่โรซาเรียเอ่ยจบ ชายแก่ตรงหน้าไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากมาย เขาเพียงปลายสายตามองแขกผู้มาเยือนเพียงครู่เดียว จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้ที่เหี่ยวย่น ชี้ไปยังแผ่นกระดาษเก่า ๆ อันหนึ่งที่วางเอาไว้บนโต๊ะ โรซาเรียเอื้อมหยิบกระดาษยับย่นใบนั้นมาถืออย่างเบามือ เพราะดูจากสภาพอายุกระดาษแล้ว นางกลัวเหลือเกินว่าหากใช้แรงมากไปเพียงนิด กระดาษใบนี้จะฉีกขาดเอาเสียเปล่า ๆ กฎการแลกเปลี่ยนในการขอคำพยากรณ์ ของนักทำนายลีมัส ผู้หยั่งรู้ หนึ่งคำถาม 30 เหรียญเงิน… 5 คำถาม 5 เหรียญทอง… เหมาจ่ายไม่จำกัดคำถาม 20 เหรียญทอง **จ่ายเงินแล้วไม่รับเรียกเงินคืนทุกกรณี**  โรซาเรียกวาดสายตามองตัวอักษรทุกบรรทัดด้วยความรู้สึกจนด้วยคำพูด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่มีการเน้นเป็นสีแดงและตัวใหญ่เป็นพิเศษ ชั่ววูบหนึ่งสายเลือดแม่ค้าในตัวนางร่ำร้องบอก ว่านี่เป็นการลงทุนทำธุรกิจที่ขาดทุนเห็น ๆ อีกทั้งออกจะขูดเลือดขูดเนื้อเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่อีกเสี้ยวหนึ่งในใจก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะอย่างไรนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว เงินเพียงเท่านี้แลกกับคำตอบและความสบายใจของนางก็คงพอจะทำใจรับได้กระมัง หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนล้วงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋า เงินสด 20 เหรียญทองถูกวางลงบนโต๊ะโดยไร้คำพูดใด "ว่ามา...จะถามอะไร ความรัก การงาน การเงิน หรือดูเนื้อคู่เล่า อยากทำนายอนาคตเรื่องไหนก็ว่ามาเลย" นักพยากรณ์รับเงิน 20 เหรียญทองมาเก็บลงกล่อง ก่อนเขาจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง จนผ้าคลุมศีรษะสีดำที่เขาสวมใส่อยู่หล่นลงไปที่ไหล่ เผยให้เห็นเส้นผมสีบลอนด์ทองของเขาที่เดิมถูกมัดรวบไว้อยู่ใต้ผ้าคลุม ชายแก่เตรียมพร้อมสำหรับการตอบคำถาม เขามองประเมินเด็กสาวกระเป๋าหนักตรงหน้า ตั้งแต่เด็กสาวเดินเข้ามาตนก็เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไร้พลังเวทมนตร์แผ่ออกมา มองอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กธรรมดาผู้หนึ่ง เหตุผลที่หญิงสาวท่าทางร่ำรวยคิดขอแนวทางจากนักพยากรณ์ไร้ชื่อเช่นเขา คงไม่พ้นเรื่องความรักเป็นแน่ "ข้าจะเป็นแม่มดได้อย่างไรคะ" แต่คำถามที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยกลับทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว ชายแก่ใช้นิ้วก้อยแคะหูตนเองเพราะคิดว่าหูคงฟาด แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ไร้แววล้อเล่น เขาจึงเอ่ยปากถามกลับ "แม่มด? ...นี่ละเมออยู่รึนังหนู...เดินเข้ามาในร้านก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนธรรมดา...แต่อุตริอยากจะเป็นแม่มดนี่...เพ้อเจ้ออะไรอยู่กัน" "ข้าทราบค่ะ...ตอนนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแม่มดได้แล้ว...แต่ว่า...ข้าน่ะ…ข้าน่ะอยากใช้เวทมนตร์ได้อีกครั้งค่ะ...ท่านนักทำนายมีหนทางไหมคะ...ไม่ว่าอะไร ข้าก็ทำได้ทั้งนั้นค่ะ" โรซาเรียระบายความอัดอั้นที่มีอยู่เต็มอก ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแห่งนี้ นางจึงรู้สึกราวกับว่าตนสามารถเอ่ยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจได้ตามปรารถนา หญิงสาวกำชายกระโปรงของตนแน่นจนยับย่น คิ้วขมวดเป็นปมเพราะความอึดอัดในใจที่ปะทุออก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มวูบไหว น้องพยายามจ้องมองที่โต๊ะไม้ตรงหน้าไม่สบตาคู่สนทนา เพราะนางเกลียดที่จะต้องเจอสายตาที่มองมาราวกับว่านางต้อยต่ำ สำหรับคนที่ถูกเลี้ยงดูและวางตัวเอาไว้ในจุดที่เกือบจะสูงที่สุดอยู่เสมอ โรซาเรียไม่เคยต้องรู้สึกเหมือนเด็กตัวจ้อยไร้กำลังเช่นอย่างที่เป็นอยู่ในยามนี้ และนางเกลียดที่จะต้องรู้สึกเช่นนี้ คนอื่นอาจคิดว่าถึงไม่ได้เป็นพระคู่หมั้นองค์รัชทายาทหรือว่าที่ราชินีแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ช่างไปสิ นางก็แค่ปล่อยวางเกียรติยศชื่อเสียงพวกนั้น แล้วนางก็ใช้ชีวิตของตนไปก็พอ เงินทองนางก็มีมากมาย ครอบครัวก็ไม่ได้กับถึงขนาดหมางเมิน แค่นี้ยังต้องเรียกร้องอะไรอีก แต่สำหรับโรซาเรียที่เกิดและเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมที่เข้มงวดท่ามกลางสงครามของการแย่งชิงอำนาจในราชวัง อาวุธเพียงอย่างเดียวที่นางรู้จักเพื่อยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่คืออำนาจและฐานะทางสังคม เช่นนั้นแล้วจะให้นางปล่อยวางเกียรติและศักดิ์ศรีของนางได้อย่างไร ทั้งชีวิตของนางไม่เคยถูกสอนให้ต้องยอมศิโรราบ โรซาเรียรู้เพียงแต่ว่านางจำต้องอยู่ให้สูงมากพอ จนไม่มีใครทำร้ายนางได้ นอกจากนั้นนางไม่รู้วิธีอื่นอีก ก่อนหน้านั้นนางจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกเดินในเส้นทางนี้เพื่อชดเชยฐานะทางสังคมที่เสียไป แต่บัดนี้ทุกอย่างตรงหน้าไม่เป็นไปดังหวัง และตัวตนของนางก็กลายเป็นคนไร้กำลัง เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้นางเจ็บใจได้อย่างไร "ได้อีกครั้ง? ...นังหนูไหนลองวางมือบนลูกแก้วนี้ซิ" และคงเป็นเพราะอารมณ์รุนแรงของโรซาเรียชัดเจนจนชายแก่ผู้เป็น นักพยากรณ์รับรู้ได้ เขาเอ่ยทวนคำพูดของนาง ก่อนจะก้มหยิบของบางสิ่งออกมาจากใต้โต๊ะมาวางตรงหน้า มันเป็นลูกแก้วสีขุ่นขนาดประมาณ 2 กำมือ โรซาเรียมองสิ่งของแปลกตาตรงหน้าด้วยความสับสน ก่อนจะปล่อยมือที่กำแน่นจนสั่นของตนออก แล้ววางลงบนวัตถุชิ้นนั้นแต่โดยดี ไม่มีแสงวูบวาบ หรือปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น นักพยากรณ์ลีมัสจดจ้องที่ก้อนความขุ่นมัวของลูกแก้วลูกนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ในนาทีต่อมาเขาจะเบิกตากว้าง ดวงตาสีเทาหม่นของเขามีแววแปลกประหลาด เดี๋ยวตกใจ เดี๋ยวสงสัย ชายแก่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่แบบนั้นแล้วส่งเสียงงึมงำในลำคอ พอเห็นสีหน้าท่าทางของเขา โรซาเรียจึงตั้งใจมองจ้องเข้าไปที่ลูกแก้วลูกนั้นอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำเงินพยายามมองสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติ จนเมื่อมองดูให้ชัด นางจึงเห็นว่าความขุ่นมัวที่เดิมนางคิดว่าเป็นเนื้อของลูกแก้วลูกนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือของเหลวสีขุ่นที่อัดแน่นอยู่ภายใน และที่สำคัญบัดนี้มันกำลังขยับหมุนวนอย่างเชื่องช้า! "โอ้...แกนเวทมนตร์โดนทำลายรึนี่...วิชาแบบนี้คงโดนพวกตระกูลนักฆ่าจากทางตะวันตกเล่นงานสินะ" คำกล่าวของนักพยากรณ์ทำให้คนฟังเบิกตากว้าง เป็นความจริงเรื่องที่นางถูกทำร้ายตอนเหตุลอบสังหาร แต่ตั้งแต่ครั้งนั้นก็ไม่สามารถตามตัวจับคนร้ายมารับโทษได้ โรซาเรียเองถึงรู้ว่าใครจ้างวานแต่ก็ไม่ทราบถึงขนาดว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ พอวันนี้ได้ยินคำพูดของชายแก่ นางจึงมองเขาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ฝ่ายลีมัสไม่ได้สนใจสีหน้าของเด็กสาว เขาเอาแต่จ้องมองเข้าไปในลูกแก้วราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง "ประหลาดจริง ๆ แกนเวทมนตร์กลวงโบ๋แบบนี้แต่วัตถุเวทมนตร์ยังคงตอบสนองอยู่" ลีมัสพึมพำกับตนเอง ลูกค้ารายนี้นับเป็นลูกค้าแปลกประหลาดในรอบหลายสิบปีนับตั้งแต่ที่เขาเป็นนักพยากรณ์มา ลีมัสมองเห็นร่องรอยของการถูกกระแทกอย่างแรงที่แกนพลังจนจุดเชื่อมต่ออื่น ๆ เสียหาย วิชาเช่นนี้ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้อีกนอกจากฝีมือของพวกนักฆ่าตระกูลหนึ่งที่มีความสามารถปลิดชีพและทำลายแกนเวทมนตร์ของเหยื่อ เล่าลือว่าผู้ที่โดนวิชานี้ไปจะได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมากไม่ต่างจากการถูกทะลวงอกแล้วกระชากดวงใจออกมาบดขยี้ คิดได้ดังนั้นเขาก็ได้แต่เหลือบมองหญิงสาวตรงหน้า เด็กตัวเล็กบอบบางเช่นนี้ผ่านความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายเช่นนั้นมาได้อย่างไร ลีมัสไม่อาจจินตนาการถึง แต่เด็กสาวคนนี้แปลกนัก ถึงแกนเวทมนตร์ของนางจะว่างเปล่าไปแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขนาดสูญเสียความสามารถในการขับเคลื่อนพลังเวทไปทั้งหมด ทั้งที่แกนพลังของนางกลวงโบ๋ แต่ลูกแก้วพยากรณ์ ‘ดวงตาแห่งฮอลัน’ กลับสามารถขับเคลื่อนและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อนางได้เสียอย่างนั้น "หลังจากโดนทำลายแกนเวทมนตร์ไปแล้วเคยลองใช้คาถาอะไรไหม" ลีมัสเอ่ยถาม "เดิมข้ารู้จักแต่พวกคาถาพื้นฐาน...ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกค่ะ...ตอนที่ฟื้นขึ้นมาลองใช้ดูก็พบว่ามนตราไม่ตอบสนองดังเก่าแล้ว...แต่มีครั้งหนึ่งที่ข้าลองกระชากแกนเวทมนตร์คนอื่นออกมา...ก็ทำได้นะคะ" และคำตอบของโรซาเรียก็ช่างเหนือความคาดหมาย "ล้อเล่นรึไงนังหนู...คนปกติที่ไหนกระชากแกนเวทมนตร์คนอื่นเขาได้เล่า...หากไม่ใช่วิชาลับของพวกนักฆ่าตระกูลแอชเชอร์ก็ไม่มีความสามารถนั้นหรอก" นักพยากรณ์เอ่ยตอบกลับทันที ยิ่งเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของเด็กสาว คำถามมากมายยิ่งเกิดขึ้นในใจของคนฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ช่างดูเป็นเหมือนเรื่องละเมอเพ้อฝัน ถ้าหากตนหรือผู้ใช้เวทมนตร์คนอื่นได้ยินเรื่องบอกเล่าเช่นนี้ในสถานที่อื่นก็คงมีอันต้องหัวเราะเยาะคนกล่าวจนปอดโยกเป็นแน่ แต่เพราะทุกคำบอกเล่าถูกเอ่ยขึ้นในร้านค้าแห่งนี้ ภายใต้อาณาเขตเวทมนตร์ 'ดินแดนแห่งความสัตย์จริง' ที่เขาเป็นผู้กางเอาไว้เอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กสาวตรงหน้าจะพูดโกหก โรซาเรียที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนอาณาเขตเวทมนตร์ชั้นสูงขนาดใหญ่ นางยังคงเอ่ยปากเล่าสิ่งที่อยู่ในใจออกไปยังไม่คิดปิดบัง “แต่ข้าดึงมาแล้วนะคะ” ทำลายทิ้งก็เคยทำมาแล้วด้วย แน่นอนว่าคำพูดต่อจากนั้นถึงตอนแรกนางรู้สึกเหมือนอยากจะกล่าวบอกเล่าออกไป แต่ก็ยังดีที่ยั้งฝีปากไว้ได้ทัน เหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่นางกระชากดึงแกนพลังเวทย์ของลูกสาวบารอน ไลอา บริสซาเนีย หวนกลับมาในความทรงจำ "ถ้าตามทฤษฎีแล้ว การใช้เวทมนตร์คือการดึงพลังภายในผลักออกไป...ใช่ไหมคะ" เพราะคิดว่าการอธิบายด้วยปากเปล่าคงยังไม่พอ นางจึงพลิกเอาแผ่นกระดาษที่เขียนกฎการแลกเปลี่ยนคำทำนายที่นางอ่านเมื่อตอนเดินเข้ามาในร้านให้คว่ำลง แล้วใช้พื้นที่หน้าหลังที่ว่างอยู่วาดภาพประกอบตามคำพูด "อืมวาดรูปสวยนะ" แต่คู่สนทนากลับเอ่ยตอบมาเช่นนั้น ชายแก่พินิจพิจารณาภาพวาดยึกยือที่ดู ๆ ไปก็น่ารักน่าชังอยู่ไม่น้อย เขาพยายามทำความเข้าใจคำกล่าวของเด็กสาว “ในทางกลับกันของการใช้เวทมนตร์…. การกระชากแกนเวทมนตร์ออกมาก็แค่เปลี่ยนเป็นดูดมันออกมาจากภายนอกแต่ไม่ต้องซึมซับกลับเข้าด้านในแทน...แบบนี้” โรซาเรียวาดอธิบายไปทีละขั้นตอน นางชี้ทำลูกศรและเขียนกำกับเพื่อขยายความเข้าใจของตนเองลงไป ซึ่งสิ่งที่เด็กสาวบอกเล่า กระตุ้นสัญชาตญาณการเรียนรู้ของลีมัสได้ถึงขีดสุด เขารีบเอ่ยปากถามด้วยความตื่นเต้น “ดึงออกมาแต่ไม่ดูดเข้าไป...ให้คงไว้ที่ภายนอก? " "ค่ะ...ก่อนที่จะดูดออกมาก็ทำการกระชากให้แกนพลังปั่นป่วนอย่างกะทันหันแล้วจากนั้นก็ใช้แรงดูดเท่านั้นเอง" เท่านั้น! ? ...มันจะไปเท่านั้นเองได้อย่างไร! ลีมัสกรีดร้องในใจ "นี่นังหนูไปเรียนวิธีแบบนี้จากไหน...ใครเป็นคนบอก!? " วิธีที่โรซาเรียเอ่ย แม้จะดูคล้ายกับวิชาลับของตระกูลแอชเชอร์ที่ผลลัพธ์แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อแตกต่าง ในหมู่ผู้ใช้เวทมนตร์ขั้นสูงต่างทราบดีว่า วิชาทำลายแกนเวทมนตร์ของตระกูลแอชเชอร์ ซึ่งนับเป็นตระกูลผู้ใช้เวทมนตร์สายมืดที่เก่าแก่ตระกูลหนึ่งของโลกนั้น จะอาศัยการบีบอัดพลังลงไปที่ตัวของเหยื่ออย่างรุนแรง เพื่อสร้างความเสียหายให้แก่แกนกลางของพลังเวทมนตร์ เมื่อแกนพลังเวทไม่อาจหมุนเวียนได้ดังปกติ จึงเกิดการระเบิดและชำรุดไปในที่สุด นับเป็นวิธีที่มีความรุนแรงและสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่ออย่างมหาศาลถึงขนาดสามารถสิ้นชีพได้ ศาสตร์ด้านนี้เดิมถูกจำกัดให้ถูกใช้ใน ‘งานเฉพาะกิจ’ เช่นการสำเร็จโทษนักโทษเวทมนตร์เท่านั้น ทว่ายุคหลังมีคดีการทำลายแกนเวทมนตร์ปรากฏขึ้นอยู่หลายครั้ง สืบไปสืบมาก็พบว่าผู้ก่อคดีเป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลแอชเชอร์ ที่ทำการสร้างเครือข่ายนักฆ่าขึ้นมา กระทรวงเวทมนตร์มีการตัดสินคดีความและประกาศว่าศาสตร์นี้คือศาสตร์ต้องห้าม ทั้งยังสำเร็จโทษทายาทของตระกูลแอชเชอร์ที่ก่อคดีโดยการสั่งจำคุกใต้ดินไม่ให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกชั่วกาล ถึงแม่ทัพถูกกุดหัว แต่นั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งองค์ความรู้ที่ถูกถ่ายทอดในสมาคมนักฆ่าไว้ได้ ในโลกเวทมนตร์จึงยังคงมีคดีการปลิดชีพและทำลายแกนเวทมนตร์อยู่จนถึงปัจจุบัน วิธีการทำลายแกนเวทมนตร์ของเด็กสาวตรงหน้าเขาตอนนี้ แม้ผลลัพธ์ใกล้เคียงแต่กลับใช้วิธีการที่แปลกประหลาดกว่ามาก ดูท่าว่าก่อนที่เวทมนตร์ของเด็กสาวนางนี้จะถูกทำลาย นางเองก็มีพลังเวทย์ที่อยู่ในระดับสูง พอไร้พลังแล้วร่างกายของนางจึงไม่ต่างจากภาชนะเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่กลวงโบ๋ และหญิงสาวอาศัยความพิเศษอันพิสดารข้อนี้ของแกนพลังเวทย์ของตน ดูดกลืนแกนพลังของผู้อื่นออกมา การสร้างความปั่นป่วนที่นางเอ่ยถึง คือการกระแทกพลังกลับเขาไปในร่างของเหยื่อด้วยพลังของเหยื่อเองเพียงชั่วครู่เดียวให้เกิดความปั่นป่วนจากการตีกลับของพลังเวท แล้วจากนั้นจึงกระชากดูดขั้วพลังที่เหลือออกมาโดยที่ไม่ดูดซับเข้าตัว นางเพียงให้คงสภาพไว้ด้านนอกแล้วเมื่อดึงออกมาทั้งหมดก็บีบทำลายมันทิ้งแทน ช่างเป็นวิธีที่แปลกใหม่ แกนพลังของเจ้าของจะแห้งเหือดลงอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากการแปรสภาพอย่างกะทันหันจะสร้างความผิดปกติในกลไกการขับเคลื่อนเวทมนตร์ จนทำให้เกิดความเสียหายและใช้การไม่ได้อีกต่อไป นับว่าเป็นวิธีที่หมดจดและลดความเจ็บปวดของเหยื่ออย่างมีประสิทธิภาพเหลือเกิน เขาอยากรู้นักว่าใครเป็นคนสั่งสอนเด็กคนนี้ถึงวิธีการพวกนี้ หากเป็นบุคคลอันตราย อย่างไรเขาก็ต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อสภาเวทมนตร์แน่! และแน่นอนว่าตัวเด็กสาวผู้นี้เองย่อมต้องถูกสอบสวนด้วย! "ตอนที่โดนโจมตีจากเหตุลอบสังหาร...ฝ่ามือของนักฆ่าพลาดจากการกระแทกตรง ๆ ค่ะ...ตอนนั้นข้าก็ยังคิดอยู่เลยว่ามีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย...จากนั้นข้าก็เลยลองทำตามดู" ด้านโรซาเรียที่ไม่ได้รับรู้ความคิดของนักพยากรณ์ว่าหวาดระแวงไปถึงไหนต่อไหน นางเอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ในคืนที่เกิดการลอบสังหารเท่าที่นึกออกให้อีกฝ่ายฟัง ในคืนนั้นนางจำได้ว่าประตูรถม้าของนางถูกกระชากออก ก่อนจะปรากฏร่างชายชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู โรซาเรียไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนเพราะความมืดยามราตรี อีกทั้งตัวมือสังหารเองก็ใส่ชุดรัดกุมปกปิดหน้าตาของตนไว้ สิ่งเดียวที่นางพอจะจำได้ก็คือดวงตาคมคู่หนึ่งที่มีนัยน์ตาสีแดงก่ำ ในวันนั้นเนื่องจากความผิดพลาดจนต้องสลับรถม้า เหยื่อที่นักฆ่าควรจะได้เจอกลับกลายเป็นสตรีนางหนึ่งแทน แต่ในเมื่อลงมือแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่คิดปล่อยผ่าน แม้ฆ่าเหยื่อทั้งสองคนตามหมายว่าจ้างไม่ได้ หากแต่สร้างบาดแผลให้เจ็บช้ำหัวใจก็คงถือว่างานเสร็จสิ้นแทน มือสังหารจึงตัดสินใจที่จะลงมือกับหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่มาอยู่ผิดที่ผิดเวลา เดิมโรซาเรียเห็นแล้วว่าเขาตั้งใจซัดพลังเวทย์ของตนอัดใส่นาง แต่เพราะนางอาศัยขนาดตัวที่เล็กกว่าและความแคบในห้องโดยสาร เบี่ยงตัวหลบได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหลีกหนีคราวเคราะห์ครั้งนี้ได้ การกระแทกพลังเวทย์พลาดท่าไปก็จริง แต่ชั่วครู่ต่อมา มือสังหารก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างดึงแกนเวทมนตร์ของนางเอาไว้ แล้วกระแทกกลับเข้ามาในร่างของนางแทน ในตอนนั้นโรซาเรียรับรู้ได้ว่าทุกอณูในร่างกายเกิดความผิดปกติ แกนเวทมนตร์ของนางกำลังปั่นป่วน นางถูกผลักให้ล้มลง ลำคอถูกกดทับให้แนบติดกับพื้นดิน ก่อนที่วินาทีต่อมานางจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอัดกระแทกเข้ามาในร่างจากทางแผ่นหลัง ความเจ็บปวดที่ได้รับทำเอาสิ้นสติ จนเมื่อฟื้นขึ้นในอีก 3 วันต่อมา โรซาเรียก็พบว่าตนเองไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกต่อไป "เจ้าจะบอกว่าไม่มีคนสอนงั้นรึ!? " คำบอกเล่าของเด็กสาวยิ่งทำให้คนฟังแทบลมจับ เด็กคนนี้ยิ่งคุยก็ยิ่งพบเจอเรื่องแปลกประหลาดพิลึกพิสดารไม่หยุดหย่อน ตัวประหลาดประเภทไหนกันหรือ ที่สามารถคิดค้นวิธีการทำลายแกนเวทมนตร์ของคนอื่นขึ้นได้จากการพบเห็นเพียงครั้งเดียว แค่ลักจำยังไม่พอ ถึงขนาดนำเอามาพัฒนาเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าได้อีก หากบทสนทนาในวันนี้ของพวกเขาทั้งคู่หลุดไป น่ากลัวว่าไม่ใช่เพียงสภาเวทมนตร์ที่จะจับตามองเด็กสาว แม้แต่ตระกูลแอชเชอร์เองก็คงล่าตัวแม่หนูคนนี้จนแทบพลิกแผ่นดินเป็นแน่ "ใช่ค่ะ...ข้าลักจำแล้วเอามาปรับตามความเข้าใจ…" อัจฉริยะประเภทใดกันหนอ ขนาดไร้พลังเวทย์ไปแล้วยังทำได้มากถึงเพียงนี้ ลีมัสคิดเช่นนั้นในใจ "เช่นนั้นแล้วพอจะมีหนทางไหนให้ข้าสามารถกลับมาใช้เวทมนตร์ได้อีกครั้ง...เพื่อเรียนรู้การเป็นแม่มดหรือไม่คะ" คำถามของโรซาเรียนำพาความเงียบให้มาเยือนร้านค้าแห่งนี้อีกครั้ง นักพยากรณ์ผู้ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานจนได้สมญาผู้หยั่งรู้ เขามองสบกับแววตาสีน้ำเงินเข้มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของลูกค้าแปลกหน้า ดวงตาแห่งฮอลันยังคงแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเด็กสาวผู้ไร้เวทมนตร์ มันเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาด ราวกับว่าของวิเศษชิ้นนี้กำลังบอกให้เขาตอบรับความต้องการของนาง ด้านโรซาเรียเองก็เฝ้ารอคำตอบด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง "นี่เจ้า...อยากเป็นแม่มดรึ" ลีมัสเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง เพราะเขาคิดจริง ๆ ว่าบางทีเด็กสาวคนนี้อาจเหมาะที่จะไปเป็นนักล่าค่าหัวหรือนักฆ่าแทนที่จะอยากเป็นแม่มด ความสามารถนี้ของนาง นับว่าเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับผู้ใช้เวทมนตร์ "ค่ะ...ข้าต้องการเป็นแม่มดผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรนี้...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเป็นหนึ่งในแผ่นดินเลยค่ะ" โรซาเรียเอ่ยตอบ นางพยักหน้ารับด้วยความจริงใจ วันนี้นับว่าเป็นวันที่นางได้พูดคุยสนทนากับผู้อื่นอย่างยาวนานที่สุดวันหนึ่งก็ว่าได้ การโกหกปิดบังและสงวนความลับดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าชายแก่ผู้นี้ "โอ้...มีความทะเยอทะยานดีนี่" นักพยากรณ์ที่ฟังคำตอบของนางจบ เขายกยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าเป็นมิตร นัยน์ตาสีเทาหม่นมีประกายความเอ็นดูอย่างที่ผู้อาวุโสใช้ทอดมองเด็กตัวเล็ก ๆ พาดผ่าน "เอ๊า! รับนี้ไปซิ" ก่อนที่ครู่ต่อมาเขาจะก้มลงหยิบของบางสิ่งที่ใต้โต๊ะอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งของที่นำมาวางตั้งตรงหน้า กลับสามารถทำให้โรซาเรียเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่ "หนังสือ...หนังสือเวทมนตร์หรือคะ!? " "ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น...นั้นไม่ใช่หนังสือรวมเวทมนตร์คาถาหรอก...นี่คือสารานุกรมภูตและของวิเศษ" "ภูตหรือคะ" โรซาเรียเอ่ยถามด้วยความฉงน ภูตในความรู้ของนางคือสิ่งมีชีวิตวิเศษที่หลบเร้นซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ทั้งยังตัดขาดตัวตนจากความเป็นไปของโลกมนุษย์ แต่บางทีสำหรับโลกของผู้ใช้เวทมนตร์แล้ว ตัวตนของภูตนั้นอาจจะยังคงเป็นที่รู้จักและมีความสำคัญอย่างมากก็เป็นได้ "ต้องบอกตามตรงว่ามันไม่มีวิธีทำให้คนธรรมดากลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้หรอกนะ...แต่ในกรณีของเจ้าอาจเป็นข้อยกเว้นก็ได้" ลีมัสเอ่ยบอกพลางเลื่อนส่งหนังสือเล่มหนาไปเบื้องหน้าของเด็กสาว มันเป็นตำราเก่าแก่ที่รวบรวมข้อมูลภูตและของวิเศษตั้งแต่ครั้งบรรพกาล เขียนบันทึกโดยพ่อมดผู้โด่งดังผู้หนึ่ง โรซาเรียยังไม่ได้รับมันมาถือ นางจดจ้องมองสิ่งของตรงหน้าด้วยแววตาราวกับกำลังมองดูอัญมณีมีค่าจนไม่กล้าสัมผัส "หนทางที่เจ้าจะสามารถกลับมาใช้เวทมนตร์ได้อีกครั้ง...มีหนทางเดียวเท่านั้น" คำพูดเน้นย้ำของนักพยากรณ์เรียกนัยน์ตาสีน้ำเงินให้มองขึ้นสบ สีหน้าเป็นมิตรของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง นิ้วชี้เหี่ยวย่นถูกยกขึ้นประกอบคำพูดของชายแก่ ก่อนที่เขาจะชี้ลงไปที่หนังสือตรงหน้าของโรซาเรีย ราวกับเป็นการบอกว่านี่คือคำตอบของหนทางที่นางเฝ้าถามหา "นั่นคือตามหาภูตที่มีพลังมากพอมาทำสัญญาเพื่อหยิบยืมพลังในการใช้เวทมนตร์อย่างไรเล่า" และก็เป็นจริงดังนั้น หนทางที่ทำให้นางสามารถกลับมาใช้เวทมนตร์ได้อีกครั้งถูกเอื้อนเอ่ย โรซาเรียแย้มยิ้มกว้างขึ้นด้วยความดีใจและสุขล้น นางรีบคว้าเอาหนังสือเล่มหนามากอดเอาไว้แนบอก โอบอุ้มมันราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วทอดส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความยินดีไปให้ชายแก่ ผู้ที่ผ่านโลกมามองมองดูรอยยิ้มงามจนชวนให้ตาพร่าของเด็กสาว ท่าทางดีใจในเรื่องเล็ก ๆ อย่างการได้รับหนังสือเก่า ๆ เพียงแค่เล่มเดียวช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของคนแก่ "แต่อย่าได้ใจไปนักล่ะ...การทำสัญญากับภูตใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ หรอกนะ...จากนี้ก็ต้องพึ่งดวงแล้ว" ลีมัสเอ่ยบอก เขาใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงเหมือนกับคุณตาคนหนึ่งที่เอ่ยปากพูดกับหลานสาวตัวน้อย โรซาเรียรีบพยักหน้ารับ ก่อนที่นางจะทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ถุงเงินถูกเปิดออก เด็กสาวรีบร้องถามเรื่องที่ติดค้างในใจของนางโดยทันที "ค่าหนังสือเท่าไหร่คะ" "เอาไปเถอะ" “ตะ...แต่” สำหรับคนที่เติบโตมาในตระกูลการค้า โรซาเรียจึงไม่คุ้นชินกับการแลกเปลี่ยนที่ไม่ต้องจ่ายสิ่งตอบแทน ลีมัสเหมือนจะเข้าใจความกังวลนั้นของเด็กสาว เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยบอกอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นโบกมือด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “นี่ไม่ใช่หนังสือสำคัญอะไรหรอก...เก่าแล้วข้าไม่ได้ใช้” "ถ้าอย่างนั้น...ข้าขอขอบคุณมากค่ะท่านลีมัส" โรซาเรียตอบรับน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น นางรีบผุดตัวลุกขึ้นนั่งจากเก้าอี้ คิดแต่อยากจะรีบกลับไปให้ถึงบ้านแล้วเปิดอ่านหนังสือในมือ หัวใจของนางสูบฉีดเสียจนได้ยินเสียงชีพจรเต้นแรง ลีมัสมองดูท่าทางลุกลี้ลุกลนของเด็กสาวตัวน้อย เขาก็อดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้ว่าการมอบหนทางนี้ให้เด็กสาวไปจะเป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่ เมื่อคิดได้ดังนั้นนักพยากรณ์จึงจ้องมองไปที่ลูกแก้วตรงหน้า ในสายตาของโรซาเรียลูกแก้วลูกนั้นปรากฏเพียงสีขาวขุ่น แต่ในสายตาของลีมัสแล้ว สิ่งที่ลูกแก้วกำลังแสดงให้เขาเห็น คือเส้นทางนับร้อยนับพันที่สามารถเป็นไปได้ในชีวิตของเด็กสาวคนนั้น ในชั่วพริบตาเดียวที่เขากวาดตามองทุกเส้นทางชีวิตของนางในระยะเวลาสั้น ๆ ลีมัสก็ค้นพบความยุ่งยากใจที่อาจเกิดขึ้นในหนทางข้างหน้าของอีกฝ่าย "นี่...นังหนู...หนทางที่เจ้าเลือกต่อจากนี้ลำบากนะ...ไม่คิดจะไปค้าขายแบบครอบครัวรึ...ร้านชาก็ไม่เลว" ชายแก่เอ่ยปากขึ้นก่อนที่โรซาเรียจะเดินออกไปพ้นประตู คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวนิ่งคิด คนผู้นี้เป็นคนที่ 3 แล้วที่บอกให้นางไปทำการค้า ไม่แน่บางทีในสายตาของพวกเขานางอาจจะเหมาะเป็นแม่ค้าก็ได้กระมัง แต่ก็นั่นแหละ...มันเหมาะในสายตาของพวกเขา… ไม่ใช่ของนาง... "ไม่ค่ะ...ข้าจะเป็น...แม่มดค่ะ! " โรซาเรียหันมาตอบกลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มวาววับเป็นประกาย รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากอิ่ม ลีมัสจ้องมองภาพของเด็กสาวคนนั้น ชั่ววูบหนึ่งเขามองเห็นภาพเด็กสาวผู้นี้อยู่ในเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มเนื้อกำมะหยี่ เหนือเส้นผมสีดำสนิทมีมงกุฎสีทองประดับเอาไว้ ในมือของนางถือคทาอันใหญ่ส่องแสงวิบวับจับตา รอบกายเปล่งแสงและถูกโอบล้อมไปด้วยพลังเวทย์ที่แสนอ่อนโยน "งั้นก็พยายามเข้าล่ะ" ลีมัสเอ่ยกับเด็กสาวคนนั้น และเฝ้ามองดูแผ่นหลังของนางเดินจากไป แต่หากว่านักพยากรณ์ผู้เลื่องชื่อจะหันกลับมาจ้องมองที่ลูกแก้วดวงตาแห่งฮอลันสักนิด เขาจะได้มองเห็นว่านอกจากภาพสตรีงดงามผู้อยู่ในชุดภาพคลุมสีน้ำเงินเข้มแล้ว ยังมีคำทำนายของเหตุการณ์อื่นที่ควรจะได้เอ่ยบอกกับหญิงสาว แม้หญิงสาวจะเปล่งประกายสว่างไสว แต่ทว่าที่เท้าของนางกลับกำลังเหยียบย่ำอยู่ในบ่อโลหิต เบื้องหลังแสงสว่างที่อ่อนโยน คือวิหารโบราณที่ล่มสลาย อีกทั้งที่รอบกายของนางยังลุกเป็นไฟ และนั้นคือคำพยากรณ์ที่ไม่มีวันได้ถูกเอื้อนเอ่ย ถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD