‘เรียน ท่านพ่อที่เคารพ
ช่วงระยะเวลาในเมืองฟาร์ลัสของลูกสุขสบายดีไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล วันพรุ่งนี้ลูกจะออกเดินทางไปเมืองเกร์เต้เพื่อมองหาหญิงรับใช้ส่วนตัวสักคน ต้องขออภัยที่ออกเดินทางโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แต่ท่านพ่ออย่าได้เป็นห่วง ลูกได้เตรียมจ้างวานคนคุ้มกันเอาไว้แล้ว ครั้งนี้ไปเพียงไม่นาน พอได้คนที่หมายตาก็จะเดินทางกลับโดยทันที
หวังว่าท่านพ่อจะสบายดี
ด้วยความเคารพ
จาก บุตรสาวของท่าน
โรซาเรีย เครสเซนเทีย
ป.ล. ลูกจำได้ว่าท่านพ่อเคยกล่าวว่าเกร์เต้เป็นเมืองที่น่าสนใจ ลูกจึงอยากจะลองไปเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง แล้วจะเขียนเล่าเรื่องที่ลูกพบเจอในจดหมายฉบับต่อไป’
จดหมายจ่าหน้าซองถึงดยุกลาซารัส เครสเซนเทีย ผู้เป็นบิดา ถูกส่งออกไปในช่วงบ่ายก่อนวันออกเดินทางเพียง 1 วัน แม้จะดูเป็นการกระทำที่ฉุกละหุกแต่ที่นางตัดสินใจทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้มั่นใจว่าทางครอบครัวที่เมืองหลวงจะไม่ส่งคนมาคุ้มกันเอง โรซาเรียไม่ต้องการให้เรื่องทุกอย่างในการเดินทางของนางถูกถ่ายทอดต่อไปให้ผู้เป็นพ่อ เพราะหากเขาทราบว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่ แน่นอนว่าแผนการที่วางไว้คงมีอันต้องพับเก็บลงกรุเป็นแน่
ด้วยเหตุนั้นในช่วงเช้าตรู่รถม้าของคณะเดินทางจากบ้านพักตระกูลเครสเซนเทีย ก็วิ่งออกจากประตูเมืองฟาร์ลัสทางฝั่งตะวันตกเพื่อมุ่งตรงสู่เมืองท่าเกร์เต้อย่างเป็นส่วนตัว
“จุดพักของเราอยู่ที่ไหนหรือ”
หลังจากออกเดินทางมาได้สักพัก โรซาเรียที่นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องโดยสาร นางเลื่อนเปิดหน้าต่างแล้วเอ่ยถามกับหนึ่งในผู้ร่วมทาง มีเรียมได้จ้างวานคณะคุ้มกันสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ผู้คุ้มกันสองนายเป็นคนหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมง พวกเขาขี่ม้าคอยติดตามขนาบข้างรถม้าของนางไม่ห่าง สายตาคมกริบของคนทั้งคู่คอยสอดส่องเส้นทางโดยรอบ ท่าทางเหล่านั้นแสดงออกถึงความรอบคอบอย่างมาก โรซาเรียไม่ทราบรายละเอียดนักว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน ตอนที่ได้พบหน้าพวกเขาครั้งแรกก็คือเมื่อตอนเช้าตรู่ในวันนี้
ชายทั้งสองแนะนำตัวกับนางอย่างเป็นมิตร คนหนึ่งชื่อ ลูคัส เขาเป็นชายผิวสีแทนร่างสูงใหญ่กำยำ ลูคัสเป็นเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีทองดูลึกลับ จุดเด่นที่สุดบนใบหน้าของเขานอกจากดวงตาสีแปลกประหลาดที่พบเห็นได้ยากยิ่งแล้ว ก็คงจะเป็นไฝเล็ก ๆ ใต้ตาด้านขวาที่สามารถเพิ่มเสน่ห์ให้กับอีกฝ่ายอย่างมาก
ส่วนอีกคนชื่อว่า อีธาน เขามีใบหน้าคมเข้มดูจริงจังอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาสีเงินไร้อารมณ์ เส้นผมบลอนด์ทองแลดูยุ่งเหยิง ผิวกายขาวซีดราวกับคนไม่เคยเจอแดด ชายคนนี้ราวกับเป็นภาพสะท้อนที่ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของลูคัส ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมักแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร ชายผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเงินคมกริบกลับมีสีหน้านิ่งสนิทเป็นปลาตาย
ทว่า...ยามที่คนทั้งสองยืนเคียงกัน ไม่รู้ทำไมโรซาเรียจึงรู้สึกว่าพวกเขาดูเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างแปลกประหลาด
โรซาเรียไม่ได้ซักถามประวัติของคนทั้งสองให้มากความ นางรู้เพียงว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักที่หัวหน้าแม่บ้านของนางให้การรับรองว่าสามารถเชื่อใจได้เพียงเท่านั้น นอกจากคนคุ้มกันทั้งสองแล้ว ก็ยังมีคุณลุงทีโมนคนขับรถม้าประจำบ้านพักที่อาสาทำหน้าที่นำทางให้กับนางด้วยตนเอง
“แถวชายป่าวิลโดร์ลันครับ” ลูคัสหันหน้ากลับมาบอกพร้อมส่งยิ้มบางด้วยความเป็นมิตร โดยคำตอบของเขามีการกล่าวถึงชื่อของสถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่แห่งนั้นสามารถเรียกความสนใจของโรซาเรียได้เป็นอย่างดี
การเดินทางจากเมืองฟาร์ลัสสู่เมืองเกร์เต้นั้น ใช้ระยะเวลาราว 6-8 ชั่วโมงรวมเวลาจอดพักครึ่งระหว่างทาง โดยผันแปรตามสภาพอากาศ และช่วงฤดูที่ออกเดินทาง เนื่องจากเกร์เต้เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ ตลอดเส้นทางจึงสามารถมองเห็นคาราวานของเหล่าพ่อค้าแม่ขายจากต่างเมืองได้ตลอด และเพราะเป็นเส้นทางที่มีคนใช้งานอยู่เสมอ ตลอดทางการเดินรถจึงไม่ได้ลำบากคดเคี้ยวหรือดูอันตรายใด ๆ
ที่ต้องใช้ระยะเวลามากกว่าการเดินทางไปเมืองหลวงถึงเกือบสองเท่า ก็เพราะว่าเมืองเกร์เต้อยู่ห่างไกล อีกทั้งยังจำต้องผ่าน 'พื้นที่พิเศษ' โดยพื้นที่ที่ว่านั้นก็คือ ‘เขตป่ามนตราวิลโดร์ลัน’ นั่นเอง
เดิมข้อมูลของป่าแห่งนั้นถูกบันทึกเอาไว้ในสารานุกรมอยู่บ้าง แม้แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรมาฟีโอเรียก็ยังมีการเอ่ยถึง
เนื้อความกล่าวว่า...ในอดีตที่แห่งนั้นเคยเป็นที่พำนักของราชันภูตแห่งแสงในช่วงก่อนที่เขาจะถูกสถาปนาเป็นราชันแห่งภูต ต่อมาเมื่อมีการขยายดินแดนการปกครองของเหล่าภูต องค์ราชันจำต้องย้ายที่พำนักไปยังนครทางตอนเหนือแทน ป่าแห่งนั้นจึงถูกมอบให้อยู่ในการดูแลของข้ารับใช้คนสนิทผู้ลึกลับ จนเมื่อเกิดสงคราม ป่ามนตราจึงถูกปิดกั้น แม้แต่ยามที่การนองเลือดสิ้นสุดลงแล้ว ป่าแห่งนี้ก็ยังคงไม่ต้อนรับสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเผ่าพันธุ์ภูตให้สามารถย่างกายเข้าไปได้อีก
"พักที่นั่นจะไม่เป็นอันใดหรือ...ข้าทราบมาว่าบริเวณนั้นเป็น'พื้นที่พิเศษ'"
เลดี้จากตระกูลเครสเซนเทียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามต่อ ในเมื่อป่าแห่งนั้นไม่ต้อนรับผู้ใดมากว่าหลายร้อยปีแล้ว หากพวกนางเข้าไปใกล้จะไม่เป็นอันใดแน่หรือ
"หากอยู่นอกเขตแดนก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลครับเลดี้" ลูคัสเอ่ยตอบราวกับรับรู้ความกังวลใจของหญิงสาว เขาเพียงแย้มยิ้มสดใส ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเส้นทาง ราวเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดบทสนทนา
การเดินทางดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใส อีกทั้งท้องฟ้ายังปลอดโปร่งไร้ซึ่งเค้าลางของพายุฝน พระอาทิตย์เริ่มลอยขึ้นสูงแล้ว เป็นเหมือนเครื่องบอกเวลาว่ากำลังเข้าสู่ช่วงสายของวัน
แม้แสงแดดจะเริ่มสาดส่อง แต่ไอแดดก็ไม่ได้รุนแรงจนทำให้บรรยากาศโดยรอบร้อนระอุ ถึงตอนนี้จะเริ่มใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแล้วก็ตาม แต่โชคยังดีที่มีสายลมคอยหอบพัดความร้อนของไอแดดให้เจือจางลงอยู่ตลอดเวลา
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะกระจกดังขึ้น โรซาเรียที่กำลังจมสมาธิทั้งหมดของตนอยู่กับหน้ากระดาษมีอันต้องเงยหน้าเพื่อมองไปทางต้นเสียง แล้วจึงพบว่าผู้ที่ทำลายช่วงเวลาเงียบสงบของนางนั้นคือ อีธาน หนึ่งในผู้คุ้มกันของนางเอง
“พอถึงเขตที่ราบข้างหน้านั่น...เราจะพักกันสัก 1 ชั่วโมงค่อยเดินทางต่อ"
อีธานเอ่ยปากบอกกับนางทันทีที่นางเลื่อนเปิดกระจกหน้าต่าง น้ำเสียงที่เขาใช้ทุ้มต่ำ แม้สีหน้าจะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตร
อีกทั้ง...หลังจากที่เขากล่าวเสร็จ ชายหนุ่มยังยื่นส่งกระบอกน้ำและถุงบรรจุลูกอมส่งให้นางมาถือไว้ ก่อนที่จะจากไปเขายังพยักหน้าให้นางอีกหนึ่งครั้งเชิงบอกให้นางทานมันเสีย แทนที่จะใช้คำพูดจา
ช่างเป็นบุรุษที่สงวนถ้อยคำ...
โรซาเรียคิดเช่นนั้นขณะที่อมลูกกวาดรสองุ่นในปาก
ตอนนี้พวกเราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว เพื่อไม่ให้สัตว์พาหนะรับภาระหนักจนเกินไป ผู้ที่รับบทเป็นหัวหน้าคณะคุ้มกันอย่างอีธานจึงตัดสินใจหยุดพักชั่วขณะหนึ่ง โรซาเรียไม่ได้ติดขัดอันใด นางเพียงพยักหน้ารับคำ แล้วก้าวเท้าลงจากรถม้าตอนที่มันจอดสนิทเพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ภายนอก
จุดที่พวกเราทุกคนยืนอยู่ เป็นบริเวณที่ราบติดกับชายป่า อีกทั้งยังมีลำธารไหลผ่าน จึงนับว่าเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการหยุดพักของการเดินทางที่ยาวนานอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องความเหมาะสมนี้ไม่ได้มีเพียงคณะเดินทางของนางเท่านั้นที่คิด ทั่วบริเวณโดยรอบสามารถมองเห็นกลุ่มนักเดินทางกลุ่มอื่นจอดแวะพักอยู่ประปราย
"ไม่ทราบว่าเลดี้จะพอรู้ไหม แต่ข้าก็ขอเตือนเอาไว้สักหน่อย" เสียงของลูคัสดังขึ้นด้านหลัง เขาเรียกสายตาแวววาวเป็นประกายของหญิงสาวให้มองสบ
"บริเวณนี้เป็นเขตที่เราสามารถเข้าถึงได้ แต่ถัดจากเส้นสีแดงนั้นไป ผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวข้ามไปได้”
คำอธิบายที่มาพร้อมกับน้ำเสียงราวกับพูดคุยอยู่กับเด็กเล็ก ๆ โรซาเรียพยายามมองข้ามการถูกปฏิบัติเหมือนตนเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความจากอีกฝ่ายไป เพราะความจริงแล้วนางก็นับเป็นคนไม่ประสาในเรื่องโลกภายนอกหลังกำแพงเมืองหลวงจริง ๆ นั่นแหละ…แต่ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ก็ใช้ว่าไม่มีไหวพริบถึงขนาดคาดเดาอันใดไม่ได้
“พวกผู้ใช้เวทมนตร์หรือ” หญิงสาวเอ่ยถาม ลูคัสมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง เดิมเขาคิดเพียงแต่อยากจะเตือนไม่ให้คุณหนูผู้ทำสีหน้าราวนกน้อยที่เพิ่งหลุดออกจากกรงขัง กระหายอิสรภาพจนโผบินออกไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง
“คนเมืองหลวงก็สนใจเรื่องของโลกเวทมนตร์ด้วยหรอกหรือ...คุณหนูเข้าใจถูกแล้ว...ป่าวิลโดร์ลันหรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ ‘ป่ามนตราวิลโดร์ลัน’ เป็นเขตพื้นที่พิเศษที่จะอนุญาตเฉพาะผู้ที่ผ่านการรับรองจากสภาเวทมนตร์เท่านั้นให้สามารถเหยียบย่างเข้าไปได้" ลูคัสยังคงพูดต่อ นัยน์ตาสีทองของเขาทอดมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่โรซาเรียไม่อาจคาดเดาความคิด
"นอกจากป่านี้แล้ว บนแผ่นดินนี้ก็มีสถานที่อีกมากมายที่มีแต่ผู้ใช้เวทมนตร์เท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์” คราวนี้เป็นอีธานที่เอ่ยแทรกขึ้น สีหน้านิ่งเรียบของเขาไม่แสดงความรู้สึกอันใด คนผู้นี้สำหรับโรซาเรียแล้ว เขาให้ความรู้สึกเหมือนกับทะเลสาบที่นิ่งสงบ ไร้ทั้งคลื่นลมหรือเสียงแมลงรบกวน
กระนั้น...ถึงอีธานจะเป็นผู้ที่ให้ความรู้สึกว่างเปล่า แต่ยามที่เขาเอ่ยปากพูดคุยก็ยังคงไร้ซึ่งบรรยากาศที่ดูไม่เป็นมิตรอยู่เช่นเดิม
หากเทียบระหว่างคนคุ้มกันทั้งคู่แล้ว โรซาเรียค่อนข้างรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับอีธานมากกว่า
“ทำไมเล่า?” นางหันหน้าไปถามเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ
“ก็เพราะเป็นสถานที่ที่อาศัยของเหล่าภูตอย่างไรเล่า”
แต่คำตอบที่ได้รับไม่ได้ออกมาจากปากของผู้คุมการของนาง เสียงของชายแปลกหน้าคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง โรซาเรียสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นชินมาดังใกล้ ๆ
วินาทีต่อมา ร่างอรชรของหญิงสาวถูกดึงให้หลบอยู่ด้านข้างของอีธาน เช่นเดียวกับที่ขณะเดียวกัน ร่างสูงของลูคัสก็ขยับมายืนขวางป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าคิดก้าวเข้าใกล้คนในความดูแลของตน ท่าทางที่แสดงออกถึงการปกป้องอย่างชัดเจนทำให้คนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาแทรกกลางวงสนทนาต้องเดินก้าวถอยหลังเพื่อล่าถอย
“ขออภัยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ...แต่ข้าเห็นท่านให้ความสนใจ...ในฐานะ ‘คนทางนี้’ เลยอยากชี้แจงให้กระจ่างเท่านั้น” คนแปลกหน้าคนนั้นกล่าว โรซาเรียที่ถูกดันตัวมาอยู่ในระยะปลอดภัยชะโงกหน้าไปมองผู้มาเยือนนิรนาม
เขาเป็นชายหนุ่มที่เหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ทั้งความสูงก็ห่างกับนางไม่มาก ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ อีกทั้งยังมีดวงตาสีคาราเมลดูอ่อนโยนและมีท่าทางเป็นมิตรอย่างมาก เส้นผมสีน้ำตาลประกายส้มของเขาราวกับสามารถเปล่งประกายได้กลางแสงแดด ยิ่งยามที่เขายืนอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งกว้างเช่นนี้ ตัวตนของชายหนุ่มผู้มาเยือนยิ่งโดดเด่นสะดุดตา
"พี่ชายท่านนี้...ลดมีดสั้นลงก่อนได้หรือไม่...ข้าไม่ใคร่ถูกกับของมีคม"
"แล้วไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้มีเจตนาอันใดหรือ...จึงได้เข้ามาเข้าใกล้คุณหนูของข้า"
บทสนทนาของลูคัสและชายปริศนาแม้จะดูโอนอ่อนและเป็นมิตร แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงให้ความรู้สึกกดดันอย่างแปลกประหลาด ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกใจให้กลับโรซาเรียอย่างมาก นั่นก็คือฝีมือการต่อสู้ของผู้คุ้มกันของนาง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ลูคัสก้าวเข้าใกล้ประชิดตัวชายแปลกหน้า เพียงชั่วพริบตาเขาก็สามารถหยิบชักอาวุธออกมาแนบลงที่จุดตายของอีกฝ่าย
"ไม่ต้องทำแววตาน่ากลัวขนาดนั้นก็ได้พี่ชาย...ก็อย่างที่ข้ากล่าวไปว่าเพียงต้องการชี้แจงเท่านั้น...หากคุณหนูท่านนี้เกิดซุกซนอาจจะรบกวนภูตในป่าก็ได้"
แต่คนที่โดนของมีคมพาดอยู่ที่คอ ก็ดูจะไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ชายคนนั้นยังคงมีสีหน้าแจ่มใส เขาค่อย ๆ เดินถอยห่างออกจากลูคัสพลางยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้
"ในป่านี้...มีภูตอาศัยอยู่จริงหรือคะ" โรซาเรียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม หากคนตรงหน้ากล่าวว่าตนเองเป็น 'คนทางนั้น' ย่อมหมายถึงอีกฝ่ายก็คือผู้ใช้เวทมนตร์นั่นเอง!
"ใช่แล้ว...แต่พวกเขาค่อนข้างรักสงบเลยไม่ใคร่ต้อนรับแขกแปลกหน้าสักเท่าใด...เพื่อป้องกันพวกหนูน้อยจอมซน...ด้วยเหตุนั้นจึงมีการกั้นเขตอาคมเอาไว้อย่างไรเล่า" คำอธิบายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงของเขาที่แฝงไปด้วยเจตนาห้ามปรามไม่ได้ทำให้โรซาเรียสนใจมากนัก เพราะทันทีที่ได้รับการยืนยันจากผู้ใช้เวทมนตร์ว่า หลังจากเส้นเขตแดนนั้นไป มีภูตมากมายอาศัยอยู่ ในความคิดของนางนั้น คาดหวังว่าอาจจะมีภูตสักตนที่ยอมทำสัญญาเพื่อแบ่งปันพลังเวทย์ให้กับนาง
โรซาเรียคิดจะเอ่ยสอบถามเพิ่มเติม โอกาสที่จะได้สนทนากับผู้ใช้เวทมนตร์ที่ดูพอจะเป็นมิตรนั้นไม่ได้มีบ่อยนัก ก่อนหน้านี้นางก็พบเจอกับการถูกกีดกันและปฏิเสธมาแล้ว จะนึกเข็ดขยาดขึ้นมาบ้างก็คงไม่แปลก ด้วยเหตุนี้เอง โรซาเรียจึงพยายามรวบรวมความกล้าและคิดจะเอ่ยข้อซักถามต่อ
แต่ว่า...
“เฮ้ย! เอสเตอร์...หยุดหลีสาวได้แล้ว...เดี๋ยวเราก็สายกันพอดี”
ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงตวาดลั่นก็ดังขึ้น พร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของบุรุษอีกสองคน คนหนึ่งมีสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่าน ส่วนอีกคนนั้นมีใบหน้าหวานประดับไปด้วยรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน และเมื่อโรซาเรียได้สังเกตพวกเขาให้ชัด จึงพบว่าคนทั้งสามอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำ ที่ตัดเย็บให้มีรูปทรงเดียวกันทั้งหมด
“หึงก็บอกหึงสิ ชานด์...ทำเสียงเข้มแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
เอสเตอร์ หรือคนแปลกหน้าคนแรกที่คุยกับโรซาเรีย เขาหันกลับไปทำน้ำเสียงยียวนใส่เพื่อน
“ไอ้บ้านี่นิ!” และแน่นอนเมื่อสิ้นประโยคนั้น ชายผู้ดูอารมณ์ร้ายก็พุ่งตัวเข้าหาคนที่กวนโมโห จนเกิดการวิ่งไล่กันของชายหนุ่มสองคน
อ่า...ผู้ใช้เวทมนตร์ของนางหนีไปเสียแล้ว...
โรซาเรียครุ่นคิดอย่างปวดใจ
“ต้องขออภัยที่เพื่อนของข้าเสียมารยาทด้วย...แต่วันนี้ป่าวิลโดร์ลันจะค่อนข้างคึกคัก...ทางคุณหนูหากเป็นไปได้อย่าเข้าใกล้เขตป่ามากเกินไปนักคงเป็นการดีกว่า...เกิดมีสิ่งใดวิ่งหลุดจากเขตแดนออกมาจะเป็นอันตรายได้”
แต่เศร้าใจอยู่ได้ไม่นานนัก น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของชายแปลกหน้าอีกคนก็ดังขึ้น เขาคือผู้ที่เมื่อครู่เดินเคียงมากับคนขี้โมโหที่มีนามว่าชานด์
“วิ่งหลุดออกมา? ผู้ใช้เวทมนตร์ท่านนี้กล่าวราวกับว่าเขตอาคมนั้นมีไว้เพื่อกักขังมากกว่าป้องกันอันตรายให้เหล่าภูต” คำกล่าวของเขาทำให้โรซาเรียฉุกคิดจนต้องเอ่ยถาม
“คุณหนูคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด...กับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยากต่อกรเช่นนั้น...ดูไปแล้วก็ไม่คล้ายสัตว์ประหลาดหรอกหรือ”
และคำตอบของเขาก็เปิดมุมมองใหม่ให้กับนางอย่างมาก โรซาเรียเคยคิดว่าเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์และเหล่าภูตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แต่ความจริงแล้วคงมีบางคนที่มีทัศนคติต่อเหล่าภูตที่แตกต่างกัน ดังเช่นชายคนนี้
“ลูเซียนไปกันเถอะ...ถ้าช้ากว่านี้ชานด์บอกจะกินหัวเจ้าแล้ว!” เอสเตอร์คือพูดผู้ที่ตะโกนเรียก ยามนี้เขาโดนจับตัวได้แล้ว ชานด์ที่โดนกล่าวหายกมือขึ้นขย้ำเส้นผมสีน้ำตาลส้มนั้นเป็นกระจุกจนติดมือแล้วทำกันเขย่าไปมาไม่หยุด
“ข้าพูดที่ไหนกันเล่าไอ้บ้านี่!”
ลูเซียนที่เห็นแล้วว่าคงถึงเวลาที่ตนต้องเดินเข้าไปห้ามทัพ เขาหันกลับมาโค้งตัวอำลาหญิงสาว ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคู่สนทนาที่จดจ้องมองคนทั้งสามเดินหายเข้าไปหลังเขตอาคม