บทที่ 10 : ออกเดินทาง (2)

3375 Words
“ข้าจะเดินไปตรงลำธารตรงนั้นสักครู่...ไม่ต้องตามมาหรอก” โรซาเรียเอ่ยปากขึ้นกับผู้คุ้มกันทั้งสอง ตอนนี้เหลือเวลาพักอีกราว ๆ 20 นาที นางจึงไม่อยากนั่งอุดอู้รออยู่ในห้องโดยสาร หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ลำธารข้างหน้าที่ห่างอยู่ไม่ไกลนัก พื้นที่ตรงนั้นแม้จะอยู่ติดกับเขตแดนอาคมอยู่มาก แต่ว่าก็เป็นพื้นที่โล่งแจ้งดูไม่น่ามีอันตรายอันใด ผู้คุ้มกันทั้งสองที่ได้รับคำสั่งมาต่างพยักหน้ารับคำ พวกเขาปล่อยให้คนในความดูแลของตนได้มีช่วงเวลาเป็นส่วนตัวโดยไม่คิดรบกวน โรซาเรียเดินห่างออกมาจากจุดที่รถม้าของนางจอดอยู่ได้สักพักหนึ่ง เมื่อหันหลังกลับไปมองแล้วเห็นว่าคณะเดินทางของตนไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าระยะสายตา นางจึงเลือกที่จะนั่งลงที่โขดหินข้างลำธารตรงหน้า หญิงสาวนั่งนิ่งแล้วทอดสายตามองภาพธรรมชาติรอบกาย สายลมบางเบาหอบพัดจนต้นหญ้าพลิ้วไหว เสียงน้ำกระทบหินดังแว่วเข้าสู่โสตประสาท มันแสดงถึงการขับเคลื่อนไปของกระแสธารที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ โรซาเรียไล่สายตาไปเรื่อย นั่งเท้าคางปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย จนกระทั่งนัยน์ตาสีน้ำเงินที่เลื่อนลอยสังเกตได้ว่าในระยะไม่เกิน 10 ก้าวเท้าจากจุดที่นางนั่งอยู่นั้น มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว “หือ?” นางส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอด้วยความฉงนยามที่เพ่งมองไปยังจุดปลายสายตา ในกลุ่มกอหญ้าสีเขียวขจี มีดอกไม้สีม่วงแปลกตาดอกหนึ่งกำลังโยกไหวไปมา ดวงตาที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอจ้องมองอยู่ตรงที่จุดเดิม ก่อนจะพบว่า 'มีอะไรบางอย่าง' กำลังก้าวออกมาจากกอหญ้า ที่ตรงนั้นมี 'สิ่งมีชีวิต' รูปร่างแปลกตากำลังขยับตัวยุกยิกอยู่ไม่สุข เจ้าสิ่งนั้นมีแขนมีขารูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ก็ช่างเป็นมนุษย์ที่ตัวเล็กจ้อย พอวัดขนาดจากสายตา มันสูงไม่ถึงหัวเข่าของนางด้วยซ้ำ อีกทั้งส่วนลำตัวก็ดูเล็กผิดปกติ แขนขาสั้นทั้งยังหัวโตดูไม่สมส่วนอีกต่างหาก ผิวกายของมันดูคล้ายกับผิวของหัวผักกาดที่ดูขาวนวลแต่ก็ไม่ได้เรียบลื่น ที่บนหัวกลมโตนั่นมี 'ดอกไม้สีม่วงรูปร่างแปลกตา' ดอกหนึ่งกำลังเจริญเติบโตอยู่และมันก็คือดอกเดียวกับที่โรซาเรียเห็นก่อนหน้านี้ ยามที่เจ้าตัวเล็กนั่นขยับตัวดอกไม้ที่ไม่ควรจะมางอกอยู่บนหัวของอะไรก็ตามก็ขยับโยกไหวตามไปด้วย “ต้นอ่อนของแมนเดรกหรือ?” โรซาเรียเอ่ยสรุปขึ้นหลังจากมองประเมิน แม้นางก็ยังไม่มั่นใจนัก แต่ก็คิดว่าหลังจากคาดคะเนดูจากรูปลักษณ์แล้ว สิ่งมีชีวิตตรงหน้าคงเป็นแมนเดรกไม่ผิดแน่ แมนเดรก หรือ แมนดาโกรา มันคือพืชที่ถูกบันทึกเอาไว้ในสารานุกรมสัตว์วิเศษเล่มนั้นที่ได้รับมาจากนักพยากรณ์ลีมัส แมนเดรกเป็นพืชมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ข้อควรระวังที่มีบันทึกเอาไว้คือเรื่องเสียงร้องของมันที่สามารถทำให้คนตายได้ในเวลาอันสั้น แม้รูปลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตามองอย่างไรก็เป็นแนเดรก แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด นั่นก็เป็นเพราะว่าปกติเจ้าต้นแมนเดรกจะไม่ลุกผลุบออกมาจากดินเพื่อเดินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองแบบนี้ อีกทั้งผิวและขนาดตัวก็ควรเล็กกว่านี้และก็เหี่ยวย่นเหมือนแง่งขิงไม่ใช่หรอกหรือ หน้าตาของมันไม่ควรจะดูน่ารักน่าชังแบบนี้สิ! ในขณะที่โรซาเรียกำลังถกเถียงกับตนเองอย่างหนัก ด้านแมนเดรกต้นนั้นในที่สุดก็รับรู้การมีอยู่ของนาง เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นจากพื้น ทำให้ดวงตากลมโตขนาดใหญ่สีเขียวใสได้มองสบกัน "....." นางจ้องมองมันนิ่ง "..…" เจ้าตัวเล็กก็จ้องมองนางตอบ เกิดเป็นความเงียบขึ้นมาอึดใจหนึ่ง เราทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอยู่อย่างนั้น โรซาเรียเท้าคางทอดนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มไม่ยอมละ ส่วนเจ้าตัวเล็กที่เหมือนกับเด็กที่เพิ่งโดนแม่จับได้ว่าทำแจกันแตกก็นิ่งค้างไปเสียเฉย ๆ โรซาเรียยังคงมองประเมินต้นอ่อนแมนเดรกต้นนั้น สำหรับคนธรรมดาเช่นนาง การได้พบเจอสิ่งมีชีวิตจากโลกเวทมนตร์นับเป็นความโชคดีที่แสนพิศวง จริงอยู่ว่าการออกเดินทางครั้งนี้ เดิมก็มีจุดมุ่งหมายที่จะไปเจอภูตให้เห็นกับตาตนเอง แต่โรซาเรียไม่คิดเลยว่า เพียงแค่แวะจอดพักก่อนถึงที่หมาย นางก็พบเจอเจ้าตัวน้อยที่แสนมหัศจรรย์อย่างง่ายดายเช่นนี้ โลกของมนุษย์ธรรมดาและภูตนั้น เหมือนกับถูกตัดขาดออกจากกัน พื้นที่ที่อยู่อาศัยของทั้งสองเผ่าพันธุ์จะถูกแบ่งแยกเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยเขตแดนอาคมที่หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่อาจก้าวข้ามล่วงไปได้ โรซาเรียไม่ทราบว่ามีข้อยกเว้นอื่นใดอีกหรือไม่เพราะโดยทั่วไปเราไม่อาจได้เห็นสิ่งมีชีวิตของโลกเวทมนตร์ได้เช่นนี้ แต่ในเมื่อวันนี้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้พบก็ได้เห็นเต็มสองตาแล้ว โรซาเรียจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางวาววับเป็นประกาย ความรู้สึกยามนี้เหมือนกับว่าตนได้เดินเข้าใกล้ดินแดนแห่งมนตราเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ผิดกับฝ่ายเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ดูท่าว่าคงตกใจอยู่ไม่น้อย...สีหน้าตื่นตระหนกแสดงออกมาอย่างชัดเจน ขนาดว่าเจ้าแมนเดรกน้อยคงเพิ่งรู้ตัวกระมังว่าตนได้ออกมานอกเขตอาคมแล้ว และความตกใจในความจริงที่เพิ่งค้นพบนั้นก็มากพอที่จะทำให้เจ้าต้นอ่อนแมนเดรกปล่อยบางสิ่งบางอย่างในมือลงพื้น กี้…… เสียงร้องเล็ก ๆ ที่มาจากของที่แมนเดรกต้นนั้นทำหล่นเรียกสายตาของหนึ่งมนุษย์ หนึ่งต้นไม้ให้ก้มมองตามไป นางมองเห็นว่าเจ้าสิ่งที่ส่งเสียง เหมือนจะเป็นก้อนหินก้อนเล็ก ๆ เท่ากำมือของนาง มันเป็นหินรูปร่างธรรมดาที่มีตะไคร้น้ำเกาะอยู่ด้านบน… กี้…. แต่ว่า...ทำไมก้อนหินมันถึงส่งเสียงได้เล่า? ข้อสงสัยนี้โรซาเรียลอบครุ่นคิดเงียบ ๆ ในใจ ส่วนทางฝ่ายตัวที่ทำเจ้าหินมีเสียงประหลาดนั่นตกเองกับมือแท้ ๆ เมื่อคิดได้ว่าทำสิ่งใดหล่นลงพื้น ทันใดนั้นเจ้าต้นแมนเดรกนั่นก็...สั่น… สั่นอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าหัวโยกหัวคลอน ราวกับเจ้าตัวโดนเขย่าไปมาด้วยมือที่มองไม่เห็น “โอ๊ะ...ใจเย็นก่อน...อย่าเพิ่งร้อง” โรซาเรียรีบร้องบอก เพราะนางกลัวเหลือเกินว่าเจ้าหนูนี่จะตื่นตกใจมากเกินไปจนกรีดร้องส่งเสียงออกมาฆ่าคนเหมือนในตำราจริง ๆ อืม...เป็นเจ้าตัวน้อยที่ขวัญอ่อนเป็นอย่างมาก และเหมือนแมนเดรกต้นนั้นจะเข้าใจคำพูดของนาง สิ้นคำกล่าวเจ้าตัวเล็กก็มีท่าทีนิ่งลง มันจ้องมองนางอย่างระแวดระวัง แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามเหลือบสายตามองเจ้าก้อนหินที่ส่งเสียงร้องอยู่บนพื้น ท่าทางเลิ่กลั่กของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ปรากฏขึ้นที่มุมปาก วันนี้นับเป็นวันที่นางได้สัมผัสและพบเจอแต่สิ่งแปลกใหม่ ทั้งการได้สนทนากับเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ ไปจนถึงการได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เคยเห็นแต่ในตำรา โรซาเรียรู้สึกว่าการตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้นางคิดไม่ผิดจริง ๆ “แล้วนั่นเจ้าเป็นอะไร” หญิงสาวเอ่ยถามขณะลุกขึ้นยืนจากโขดหินแล้วเดินเข้าใกล้ เจ้าตัวเล็กที่เห็นว่าช่องว่างของระยะห่างที่ปลอดภัยของมันและมนุษย์ตรงหน้าถูกลดลง ร่างกายเล็กจ้อยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาทันที! สั่นอีกแล้ว….คราวนี้สั่นหนักกว่าตอนแรกอีก... โรซาเรียครุ่นคิดขณะมองดูต้นอ่อนแมนเดรกที่แสนน่ารักน่าชัง เพราะเห็นเจ้าพืชต้นน้อยนั่นสั่นราวจับไข้ เป็นฝ่ายของนางเองที่เลือกหยุดฝีเท้าลง หญิงสาวยืนห่างจากเจ้าแมนเดรกต้นเล็กนั่นราว 2 ช่วงแขน เป็นระยะห่างที่มากพอในการที่นางสามารถก้มสำรวจสิ่งตรงหน้าได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน “โกเลม? " เมื่อได้ก้มมองได้อย่างชัดเจนเต็มสองตา โรซาเรียจึงได้รู้ว่าก้อนหินที่มีเสียงก้อนนั้นแท้จริงแล้วคือโกเลมตัวหนึ่ง โกเลม คือภูตรับใช้ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมนตรา โดยผู้สร้างจะเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียว ก้อนหิน หรือว่าไม้ ที่มีรูปร่างองค์ประกอบคล้ายมนุษย์ มีหัว มีแขน ลำตัวและขาสองข้างครบสมบูรณ์ นำมาปลุกเสกผ่านพิธีกรรมโบราณ อัญเชิญจิตอันไร้รูปจากธรรมชาติมาสถิตลงในร่างจำลอง ตีตราคำสั่งให้เชื่อฟังด้วยอักขระเวทสลักไว้เหนือหน้าผาก เกิดเป็นภูตรับใช้ที่จงรักภักดี แต่ภาพประกอบที่อยู่ในสารานุกรมเล่มนั้นคงจะวาดเกินจริงไปบ้าง โกเลมในความคิดของโรซาเรียคือยักษ์หินตัวใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นมารับใช้จอมเวท มันเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตจิตใจ เกิดมาเพียงเพื่อรับฟังคำสั่งและปกป้องผู้เป็นนาย แต่เจ้าโกเลมตรงหน้าของนางนั้น มันมีรูปร่างเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งที่มีแขนและขาเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมาก็เท่านั้น หากไม่ได้สังเกตเห็นอักขระเวทมนตร์ที่สลักไว้เล็ก ๆ ตรงส่วนหน้าผาก นางก็ไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเจ้าหินก้อนนี้แท้จริงแล้วคือโกเลมตัวหนึ่ง ในระหว่างที่โรซาเรียกำลังจ้องสำรวจโกเลมตัวน้อยอยู่นั้น ชั่วขณะต่อมา เจ้าต้นอ่อนแมนเดรกก็ก้าวเท้าเล็กจิ๋วของมันมายืนขวางตรงหน้าของนาง มันกางแขนและขาของตนออก พยายามทำสีหน้าเข้มแข็ง แล้วแสดงออกถึงการปกป้องโกเลมตัวนั้น "เพื่อนเจ้าหรือ?” โรซาเรียเอ่ยถาม นางไม่ได้เดินก้าวเข้าไปใกล้มากกว่าจุดที่ยืนอยู่ แต่ในขณะเดียวกันนางก็ไม่ได้ถอยหลังกลับ หญิงสาวทำเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วทอดส่งสายตาเป็นมิตรไปให้ แมนเดรกต้นนั้นพยักหน้ารับ มันพยายามใช้ตัวเล็กจ้อยของตนเองกำบังร่างของโกเลมน้อยที่ยังคงนอนหมอบอยู่กับพื้น เพราะเห็นว่าเจ้าโกเลมไม่มีทีท่าว่าจะขยับ โรซาเรียจึงชะโงกหน้าเพื่อมองดูมันอีกครั้ง “บาดเจ็บหรือ?” ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วโกเลมตนนั้นชำรุดเสียหาย และใกล้จะสลายเต็มที อักขระเวทมนตร์ที่ถูกสลักไว้เหนือหน้าผากของโกเลมทุกตน เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของพลังวิญญาณที่ใช้ขับเคลื่อนให้สามารถขยับร่างกายดังใจคิด และหากต้องการสังหารโกเลมตนใด เพียงทำลายอักขระเวทมนตร์ให้เกิดความเสียหาย ก็จะสามารถปลดปล่อยโกเลมตนนั้น และทำให้สลายกลับกลายเป็นเถ้าธุลี อย่างเช่นที่โกเลมตัวน้อยนี่กำลังประสบ เนื่องจากอักขระเวทบนหน้าผากที่แม้จะไม่ถูกทำลายแต่ก็มีร่องรอยของความเสียหาย ด้วยเหตุนั้นร่างกายของโกเลมน้อยจึงกำลังค่อย ๆ สลายอยู่อย่างช้า ๆ "ไปโดนอะไรมาเล่า? " หญิงสาวเอ่ยถาม ยิ่งเห็นท่าทางร้อนใจของต้นแมน เดรกนางก็ยิ่งเกิดความสงสาร เพราะหากโกเลมตัวนี้สลายหายไปแล้ว แม้จะถูกปลุกเสกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ความทรงจำภายในก็จะไม่มีดังเดิมอีกต่อไป ฝ่ายเจ้าต้นแมนเดรกที่ได้รับคำถาม เดิมตอนแรกมันมีท่าทางครุ่นคิด ก่อนที่หลังจากนั้นจะเริ่มขยับตัวและอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทาง มือไม้เล็กช่วยนั้นขยับโบกไปมา ทำท่าวิ่งหนีอยู่กับที่สลับกับทำสีหน้าข่มขู่ “อ่า...จะบอกว่าพวกเจ้าวิ่งมา...ไม่ใช่? อ่อ...วิ่งหนีตัวอะไรสักอย่างที่น่ากลัวมา" โรซาเรียเอ่ยขึ้นตามที่คาดเดาจากท่าทาง จนเมื่อได้รับคำตอบที่ถูกต้องพอใจ เจ้าแมนเดรกต้นนั้นก็พยักหน้ารับรัว ๆ แล้วเริ่มคำใบ้ท่าทางใหม่ต่อไปแทน "จากนั้นก็หกล้ม? อ่อ...เจ้าไม่ได้ล้ม...โกเลมน้อยตัวนี้ล้ม? ...อืม...แล้วดันล้มจนอักขระเวทเสียหายเลยกำลังจะสลาย...ใช่รึไม่?” หญิงสาวเอ่ยสรุปเรื่องราว เมื่อสิ้นคำพูด นางก็ได้รับดวงตาแวววาวและการผงกหัวขึ้นลงเสียจนเจ้าดอกไม้สีม่วงโบกสะบัดแทนคำยืนยัน “ซุ่มซ่ามนัก” โรซาเรียเอ่ยสมทบไปอีกหนึ่งคำ นางไม่ได้มีเจตนาต่อว่า แต่ที่พูดไปเพราะคิดดังนั้นจริง ๆ ก็ดูเอาเถิด...มีอย่างที่ไหนวิ่งหนีกันไม่ดูทาง จนสุดท้ายได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ด้านเจ้าต้นอ่อนแมนเดรกที่รู้สึกเหมือนตนโดนตำหนิ มันก้มหน้าลงต่ำมองพื้น ดอกไม้สีม่วงบนศีรษะดูราวกับจะสามารถเหี่ยวเฉาได้ตามอารมณ์ที่เศร้าหมอง ร่างทั้งร่างของเจ้าต้นอ่อนสั่นสะเทือนไม่หยุด ซึ่งคาดว่าอาการเช่นนี้คงเป็นเพราะว่า แมนเดรกต้นนี้ยังเด็กอยู่มาก มันจึงไม่สามารถกักเก็บความคิดและความรู้สึก หรืออารมณ์ที่แปรปรวนของตนเอาไว้ได้ในร่างกายเล็ก ๆ ของตนได้ “หยุดสั่นก่อน...ไม่ต้องร้อง...ข้าขอดูหน่อย” โรซาเรียไม่อาจทนมองได้อีก นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วย่อตัวลงนั่งที่พื้น พลางทำสัญลักษณ์มือ โดยยกขึ้นแตะที่หน้าผากและพลิกฝ่ามือออก เป็นสัญญาณแสดงถึงการมาอย่างเป็นมิตร เจ้าแมนเดรกต้นนั้นมองสัญญาณมือด้วยนัยน์ตาแวววาว มันยกมือขึ้นทำท่าทางตาม ราวกับเป็นการตอบรับน้ำใจ ก่อนที่จะเดินหลบออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ปล่อยให้โรซาเรียสามารถเดินก้าวเข้าใกล้ได้อย่างสะดวก “อ่า...ยังดีที่อักขระเวทชำรุดไม่มาก...ข้าไม่มีพลังเวทมนตร์เลยไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน...แต่ลองดูแล้วกันนะ” หญิงสาวเอ่ยสรุปหลังจากที่สำรวจดูความเสียหาย นางไม่ค่อยมั่นใจนักว่าวิธีที่จะทำต่อไปนี้จะได้ผลหรือไม่ โรซาเรียก็ได้แต่อาศัยความรู้ที่ได้มาจากตำรา ผนวกเข้ากับความน่าจะเป็นที่ตนคาดการณ์ในใจ อักขระเวทที่สลักอยู่บนหน้าผากของโกเลมตัวน้อยนั้น ถึงแม้แต่ชำรุดไปแล้ว แต่มนตราก็ยังมีพลังมากพอในการรักษาจิตวิญญาณของโกเลมตัวนี้เอาไว้ไม่ให้สลายกลายเป็นผงโดยทันที จากสิ่งที่เห็นนางคาดการณ์ได้ว่าผู้สร้างที่เป็นเจ้าของโกเลมตัวนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์มหาศาลเป็นแน่ แม้โรซาเรียจะรู้ว่านางไม่อาจรักษาหรือซ่อมแซมเจ้าตัวเล็กนี้ได้ แต่หากเป็นการชะลอความเสียหายโดยมอบสิ่งแลกเปลี่ยนให้ไป ก็คงพอจะซื้อเวลาและหยุดการสลายของร่างกาย เพื่อให้เจ้าตัวเล็กพวกนี้ได้กลับไปหาผู้เป็นนาย เมื่อตัดสินใจได้ โรซาเรียก็ลงมือโดยทันที นางเริ่มจากวาดวงแหวนเวทมนตร์ตามที่เคยเห็นในบันทึกลงบนพื้น มันคือวงแหวนเวทสำหรับการสร้างโกเลม แต่นางทำการแก้มนตราบางบทออกไปเล็กน้อย จากนั้นนางนำเจ้าโกเลมมาวางอยู่ตรงกลาง และทำการแกะเข็มกลัดที่อยู่ตรงอกเสื้อของตนออกมา นางใช้ปลายแหลมคมของตัวเข็มแทงลงที่นิ้วมือของตนด้วย สีหน้าไร้ความลังเล ก่อนปล่อยให้หยดโลหิตสีสดหยดลงบนตราอักขระบนหน้าผากของโกเลมที่บาดเจ็บจนทั่ว วงแหวนเวทไม่แสดงปฏิกิริยาใด เลือดจากบาดแผลยังคงไม่หยุดไหลเพราะหญิงสาวพยายามรีดเค้น จนเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง การสลายของร่างกายก็หยุดลง กี้…. เสียงร้องที่แสดงออกถึงความดีใจดังแว่วออกมา สารภาพตามตรงว่านางก็ไม่รู้หรอกว่ามันดีใจจริงหรือเปล่า เพียงแต่เห็นว่าเจ้าก้อนหินกลมนั้นสามารถดิ้นคลุก ๆ ไปมา และส่งเสียงร้องได้อย่างมีชีวิตชีวาก็เท่านั้นเอง วิธีที่โรซาเรียทำก่อนหน้านี้นั้นคือขั้นตอนของการมอบเครื่องสังเวยให้กับอักขระมนตรา วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดพลังเวทมนตร์ นางเพียงหยิบยื่นพลังชีวิตให้เป็นสิ่งตอบแทนชั่วคราว และโชคดีนักที่เจ้าโกเลมตนนี้เป็นเพียงเจ้าหนูตัวเล็ก หากมันตัวใหญ่กว่านี้ น่ากลัวว่าโรซาเรียคงต้องเสียเลือดเป็นถังแน่ “ทำเพียงเท่านี้ก่อน...รีบพาเพื่อนเจ้ากลับไปหาเจ้านายของเขาเถิด...อย่างไร ผู้ซ่อมแซมควรเป็นผู้ที่สร้างเขาขึ้นมาคงเป็นการดีกว่า” หญิงสาวล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าออกมาซับแผลที่นิ้วของตน นางเอ่ยบอกเจ้าตัวเล็กทั้งสองตน ด้านเจ้าแมนเดรกที่บัดนี้วิ่งเป็นวงกลมไปมารีบหันกลับมาพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่จะยกมือเล็ก ๆ นั้นขึ้นแตะหน้าผากของตนแสดงสัญลักษณ์ขอบคุณออกมาแทนการเอื้อนเอ่ยวาจา “ข้าต้องไปแล้ว” โรซาเรียแย้มยิ้ม นางเอ่ยบอกพวกเขาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากผู้คุ้มกันที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ทั้งยังเอ่ยปากกำชับเจ้าตัวน้อยนั่นอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ครั้งหน้าก็วิ่งเล่นกันให้ระวังหน่อยเล่า” เมื่อพูดเสร็จก็ก้าวถอยหลังจากมา แต่เดินกลับได้เพียงสองถึงสามก้าว นางหันหลังไปมองตรงที่เดิมอีกครั้ง เจ้าพวกตัวเล็กยังยืนอยู่ตรงนั้น มันยืนจ้องมองนางด้วยสายตาเป็นประกาย โรซาเรียยกมือขึ้นโบกอำลาให้มันเล็กน้อย ต้นอ่อนแมน เดรกเหมือนจะพยายามเลียนแบบท่าทางของนาง มันยกแขนเล็ก ๆ นั่นขึ้นมาโบกตอบกลับ ทางด้านโกเลมหินก้อนเล็ก พอเห็นเพื่อนทำ มันก็คิดจะทำตาม ติดอยู่ที่ร่างกายของมันยังบาดเจ็บ แขนข้างหนึ่งสลายไปแล้ว เจ้าหินก้อนนั้นเพียงโยกตัวไปมา เกิดเป็นภาพที่ทั้งชวนประหลาด แต่ก็อบอุ่นหัวใจเหลือเกินในสายตาของโรซาเรีย หญิงสาววาดยิ้มเอ็นดู นางหยุดโบกมืออำลา และทำท่าสะบัดมือไล่ก่อนชี้ไปที่ป่าด้านหลัง เป็นเชิงบอกให้พวกเขาเดินกลับเข้าป่าไปได้แล้ว เจ้าตัวเล็กเหมือนจะเข้าใจในที่สุด พวกมันพยักหน้ารับจนตัวโยกคลอน ก่อนต้นอ่อนแมนเดรกจะอุ้มหยิบโกเลมหินมาถือเอาไว้ด้วยสองมือ แล้วเดินหายกลับเข้าไปในป่ามนตราที่โรซาเรียไม่อาจย่างกายในที่สุด เมื่อเจ้าตัวน้อยจากไป โรซาเรียก็เดินล่าถอยกลับไปทางรถม้าของตน ประสบการณ์การพบสิ่งมีชีวิตจากโลกเวทมนตร์ในวันนี้ช่างแสนวิเศษ หญิงสาวจากตระกูลเครสเซนเทียแย้มยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี นางคิดกับตนเองในใจเอาไว้ว่า เหตุการณ์วันนี้จะถูกจดจำเอาไว้ว่าเป็นความทรงจำที่แสนดีสำหรับนาง แต่หญิงสาวไม่ได้รู้เลยว่า เรื่องราวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะนำพาเหตุการณ์ใหญ่ครั้งสำคัญขนาดที่สามารถชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของนางให้มาประสบในอนาคตอันใกล้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD