“มาช้าอีกแล้วนะมึง กูบอกแล้วว่าเลิกดูแอคเจ้าแมวน้อยสักที”
“กูตื่นสายเพราะพวกมึงนั่นแหละ เอาแต่เคาะแป้นพิมพ์ทั้งคืน รายงานก็มีแค่นี้เสือกทำตั้งแต่เลิกเรียนยันตีสาม” พวกเขาทั้งสามอาศัยอยู่เพนท์เฮาส์ชั้นเดียวกัน แต่เซนต์กับไนท์ก็มักจะมาสิงอยู่ห้องมาวินเป็นประจำเวลาที่ต้องทำรายงานหรืองานอะไรก็ตามส่ง พวกมันอ้างว่าห้องเขาทำงานแล้วมีสมาธิสุด ข้ออ้างที่อยากให้เขาช่วยในตอนที่พวกมันอยากได้ที่ปรึกษามากกว่า
“ใครจะไปเก่งแบบคุณมึงละครับ เคาะชั่วโมงเดียวก็เสร็จ พ่อคนมือไว”
“ไม่ใช่แค่มือกูนะที่ไว เอวกูก็ยังไวด้วย”
“เก็บไปบอกน้องส้มของมึงเถอะ มองตาเยิ้มแล้วนะ สภาพหิวโหยขนาดนั้นสงสัยเมื่อคืนอดอยากปากแห้ง ไม่ป้อนอาหารให้หน่อยล่ะ”
“ไม่ล่ะ หลวมขนาดนั้นครั้งเดียวพอ” มาวินส่ายหน้า เอือมระอาสุดๆ นิสัยของเขาโดยปกติแล้วเป็นคนปากร้าย เย็นชากับคนไม่รู้จัก และมักจะวันไนท์กับสาวๆ ที่ชอบเสนอตัวให้ แต่ก็ไม่มีใครได้เลื่อนขั้นจากคืนเดียวสักคน
“คงไม่มีใครดีเท่าน้องยูมิล่ะสิท่า”
“ของมันแน่นอน” ยกเว้นยูมิไว้หนึ่งคน แอคเค่อสาวที่เขาเฝ้าฝันถึงในทุกคืน วันไหนไม่ได้เปย์จะนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย เรียกง่ายๆ ว่าเขาเสพติดเธอชนิดที่เรียกว่าคลั่งรักได้เลย แต่ก่อนจะไปถึงคำว่ารักเขาก็อยากเจอตัวจริงสักครั้งก่อน
“เจอตัวยิ่งแล้วไม่สวยอย่าชวนพวกกูวิ่งก็แล้วกัน”
“กูว่าสวย”
“พนันกันมั้ยล่ะ ถ้ามึงหายูมิเจอแล้วได้จิ้มพวกกูโอนคนละล้าน แต่ถ้าเจอแล้วมึงหนีมึงต้องโอนให้กูคนละล้านเหมือนกัน” เซนต์เสนอ เกมพนันฟันสาวที่พบได้บ่อยในพวกเด็กมหาลัย นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสามคนเพื่อนสนิทหยิบยกมาเล่นเพราะอยากท้าทายความมั่นหน้าของมาวินโดยเฉพาะ
“ได้! รอกูหาเจอก่อนรับรองกูได้จิ้มแน่นอน”
“ดิวเพื่อน” ทั้งสามเค้นเสียงหัวเราะในลำคอชอบใจ สายตาคมแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จับจ้องกันไปมาราวกับรู้ใจกันไปหมด
“เอาล่ะ อาจารย์จับกลุ่มให้แล้วอย่าลืมดูรายชื่อแล้วรวมกลุ่มเขียนโปรแกรมมาส่งอาจารย์ด้วย นี่คือโปรเจ็กใหญ่ของวิชานี้ในเทอมนี้ หวังว่าทุกคนจะทำมันอย่างเต็มที่” เวลาเรียนสองชั่วโมงเต็มได้สิ้นสุดลงพร้อมเสียงของอาจารย์ที่เอ่ยปิดคลาส
“กลุ่มอะไรวะ” สามเพื่อนสนิทมองหน้ากันด้วยความมึนงง สายตาสอดส่องมองตามเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆ ที่ทยอยลุกจากเก้าอี้เดินไปดูรายชื่อของตัวเองว่าได้อยู่กลุ่มไหน
“เพราะมึงสองตัวนั่นแหละเอาแต่คุย”
“มึงก็ด้วยมั้ยไอ้ไนท์ ตัวเริ่มเลยมึงนะ” เซนต์ตวัดสายตาคมมองไนท์มันนั่นแหละตัวเริ่มชวนคุย รู้ตัวอีกทีก็หมดคาบซะแล้ว ดีที่วิชานี้พวกเขาเข้าใจหน่อย
“นี่ส้ม…งานกลุ่มอะไรเหรอ” ไนท์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นวันไนท์ของเพื่อนสนิทกำลังเดินนวยนาดมาทางนี้พอดี
“งานเขียนโปรแกรมไง กลุ่มหนึ่งมีสี่คน อิจฉาจังกลุ่มพวกนายมีคนเก่งตั้งสองคน ฉันก็อยากอยู่กลุ่มเดียวกับวินด้วยอะ เสียดายจัง” ส้มกัดริมฝีปากยั่วมาวินอย่างเปิดเผย สงสัยจะของขาดจริง ท่าทางของเธอเหมือนจะอยากลากมาวินออกจากห้องแล้วไปทำอะไรกันในที่ลับสักแห่ง
“อาจารย์จัดกลุ่มให้จะเรื่องมากทำไมว่ะ อยู่กลุ่มไหนก็เหมือนกัน” มาวินตอบกลับเสียงเรียบเย็นชา จนคนฟังสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“ได้ดูมาไหมว่ากลุ่มฉันมีใครบ้าง” เซนต์เอ่ยถาม เขารู้อยู่แล้วว่าแม่สาวขี้ยั่วตรงหน้าคงทำหน้าที่สปายอย่างดีหรือเรียกภาษาบ้านๆ หน่อยว่าเสือกคงรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มพวกเขามีใครบ้าง
“พวกนายสามคนได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนอีกคน...ก็คนที่ได้เกรดสี่จุดศูนย์ทุกเทอมไง”
“ใคร?” พวกเขาทั้งสามมองหน้ากันด้วยความมึนงง รู้อยู่ว่ามีคนได้ที่หนึ่ง ได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ทุกเทอมซึ่งห่างจากมาวินเพียงศูนย์จุดห้าเท่านั้น
“นี่พวกนายเรียนด้วยกันกับเธอทุกคลาสจนขึ้นปีสามไม่รู้จักเธอเหรอ” ส้มมองหน้าเพื่อนร่วมคลาสด้วยความตกใจ แต่จะว่าไปเธอก็รู้จักแค่ผ่านๆ เท่านั้น
ดูเหมือนแม่สาวสี่จุดศูนย์จะไม่ชอบทำตัวเด่น จุดปักหลักสำหรับการนั่งเรียนของเธอคนนั้นเป็นแถวหน้าสุดชิดขอบฝั่งซ้ายเสมอ พอเรียนเสร็จเธอคนนั้นก็เหมือนสาวล่องหนที่หายตัวได้ เพียงแค่เพื่อนคนอื่นในคลาสกำลังเก็บสัมภาระของตัวเองเข้ากระเป๋า หันกลับมาอีกทีเธอคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ตัวตน
บางคลาสมีคนเคยได้สัมผัสการทำงานกลุ่มกับเธอ ก็บอกว่าเธอเป็นคนที่เงียบมากทำแต่งานเก่ง ไม่ค่อยพูด ถามคำตอบคำ ไม่สังสรรค์กับเพื่อนอีก
“เธอ?? เป็นผู้หญิงเหรอ”
“อืมใช่…แต่เป็นยัยเฉิ่มนะ นู่นนั่งอยู่ตรงนั้นนะ”
“อืม…ขอบใจเธอไปเถอะ”
“ว่าแต่ วินไม่สนใจไปกิน…ข้าวกับเราหน่อยเหรอ” ส้มจงใจเว้นวรรคเพื่อสื่อประโยคที่ใครก็รู้กัน
“ไม่! ไปหาคนอื่นไป เลิกยุ่งกับกู”
“ชิ! ไปก็ได้” ส้มสะบัดตัวออกจากห้องไปด้วยความหัวเสีย
“ยัยนั่นเป็นใครวะ ทำไมกูไม่เคยเห็นมาก่อน” มาวินมองทอดสายตาลงไปยังเก้าอี้ตัวแรกของแถว เขาว่าเขาก็มาเรียนออกจะบ่อย ถึงจะหนีบ้างบางคลาสก็เถอะ แต่เท่าที่สมองอันชาญฉลาดของเขาจะจดจำได้มันไม่มีเธอคนนั้นในสมองเอาซะเลย
“กูก็ไม่เคยเห็น มึงเคยป่ะไอ้ไนท์”
“เท่าที่จำได้ก็คนที่อาจารย์ชอบอวยแต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าว่ะ”
“ผีรุ่นพี่รึเปล่าว่ะ” สามเพื่อนสนิทหันกลับมามองหน้ากัน ก่อนที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น ไฟในห้องดับลงมีเพียงแสงจากม่านที่ลอดผ่านหน้าต่างยามเย็นซึ่งมันก็มืดพอตัว
“หวัดดี”
“เชี่ย!!!” เสียงสบถทั้งสามดังขึ้นพร้อมกัน จนเสียงดังก้องไปทั่วห้องที่เงียบสนิทเพราะเหลือแค่พวกเขาสี่คน
ผมยาวสลวยที่ปกปิดใบหน้าเหลือไว้เพียงเสี้ยวดวงตาผ่านแว่นเลนส์หนากรอบสีดำ กำลังใช้สายตามองมายังพวกเขานิ่ง ด้วยความตกใจทำให้ทั้งสามสะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองไปยังเธอคนนั้น กำลังพูดถึงผีอยู่ทำไมต้องทำตัวเหมือนผีด้วยว่ะ