"ยังไง" ดรีมถามก่อนจะจับหลอดในแก้วแล้วดูดน้ำ
"พี่ก็..." ดวงตาคมหรี่มองใบหน้าสวยอย่างมีเลศนัย เพื่อรอให้คนที่นั่งข้างๆกันถาม
"พี่ก็อะไร พูดมาเลยนะไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นเลย"
"ก็...ให้พี่ดรีมไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องผมยังไงครับ" ริมฝีปากของดิเชร์โค้งขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี
เพียะ! ดรีมเอามือตีที่ต้นแขนเบาๆ แต่แววตาของดรีมกลับเป็นประกายด้วยรอยยิ้ม
"เอาใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวเถอะ"
"ไม่เจ็บ" สีหน้าของดิเชร์เต็มไปด้วยความขบขัน พร้อมกับเอามือจับที่ต้นแขนของตนเองที่เพิ่งโดนอีกคนตีเบาๆ
ติ้ง!! เสียงแจ้งเตือนของข้อความที่โทรศัพท์มือถือของดิเชร์ดังขึ้น มือใหญ่วางช้อนส้อมแล้วล้วงเอาโทรศัพท์มือถือจากกางเกงออกมาเปิดอ่านดู
[ คลาวด์ : เกิดเรื่องแล้ว]
ดิเชร์เปิดอ่านข้อความที่เพื่อนของเขาส่งมาก่อนจะรีบเอานิ้วจิ้มกดเปิดลิ้งค์ข่าวที่แนบมาด้วย และมันทำให้ดวงตาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว กรามขบเข้าหากันจนเป็นสันนูนมือที่จับโทรศัพท์กำแน่นจนดรีมสังเกตเห็นว่า ตอนนี้ดิเชร์กำลังโกรธอยู่เธอจึงได้ยกมือลูบเบาๆไปมาที่บริเวณต้นแขนแกร่ง
"ใจเย็นๆนะเชร์ เล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น"
"เดี๋ยวผมมานะครับพี่ดรีม ขอออกไปคุยกับเพื่อนก่อนครับพอดีมีเรื่องนิดหน่อย พี่ทานข้าวเสร็จก็กลับเข้าแผนกไปก่อนได้เลยนะครับ" เชร์ไม่ได้ตอบคำถามของดรีม เขาเลือกจะพูดแบบรักษาน้ำใจของดรีมแทนที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
"เชร์..."
"ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ตอนเย็นเจอกันที่เดิมนะครับพี่ดรีม"
ดิเชร์หันไปสบตาดรีมด้วยแววตาที่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง นัยน์ตาที่บอกว่าไม่มีอะไรต้องให้เป็นห่วง มิหนำซ้ำใบหน้าของดิเชร์ยังแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทำให้ดรีมยิ้มตามได้อย่างสบายใจ
"ได้สิ เจอกันตอนเย็นนะพี่จะรอนายที่เดิม...เชร์ พี่จะรอนะ"
"ครับ" เขาตอบกลับพลางยื่นมือไปกุมที่มือเล็กอย่างแผ่วเบา พร้อมพยักหน้าให้ดรีมเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
ดิเชร์เดินออกมาจากห้องอาหารพนักงานแค่ไม่กี่ก้าว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายเรียกเข้าจากคนเป็นพ่อ ที่เขาไม่ทันได้รับสายก็กดวางไปเสียก่อน ต่อมาเป็นแม่ของเขาก็โทรเข้ามาเช่นกัน ตอนนี้เขาแค่อยากอ่านข่าวที่คลาวด์เป็นคนส่งมาให้ละเอียดเสียก่อน ก่อนที่ตนเองจะรับสายของพ่อและแม่และคนอื่นๆที่เริ่มทยอยโทรหาเขาสลับกันไปมา
เมื่อดรีมเห็นว่าดิเชร์เดินออกไปแล้ว เธอจึงวางช้อนส้อมลงที่จานข้าว เพราะตอนนี้เธอคงกินข้าวไม่ลงต่อให้ไม่รู้ว่าดิเชร์กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม จังหวะที่กำลังจะลุกขึ้นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนดรีมเองต้องรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เพราะน้อยคนนักที่เธอจะให้เบอร์โทรด้วยหน้าที่การงานของเธอสะดวกที่จะแชทมากกว่า และยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจตรงที่...เบอร์คนที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือน้องสาวไม่แท้ของเธอ
"นึกยังไงถึงโทรมา มีอะไรอย่างงั้นเหรอ" น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆแต่อย่างน้อยดรีมก็มีน้ำใจมากพอที่ถามไถ่ออกไป
"...พี่ดรีมยังทำงานที่เดิมไหมคะ" น้ำเสียงราบเรียบฟังแล้วไร้ความรู้สึก ถึงแม้ในรูปประโยคจะใช้คำสุภาพ
"เข้าเรื่องเถอะพลอย นี่พี่ดรีมของเธอไม่ใช่คนอื่น เธอไม่จำเป็นต้องแสร้งทำหรือพูดอะไรที่มันขัดต่อนิสัยตัวเอง" น้ำเสียงกดต่ำไม่ดังนัก แต่เพียงพอที่จะทำให้คนฟังรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
"ฉันก็แค่อยากรู้ ก็เลยลองถามดูก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องทำเสียงไม่พอใจเลย" พิ้งค์พลอยใช้คำพูดในแบบที่ตนเองเคยใช้พูดกับดรีมครั้งเมื่อตอนที่ได้เจอกันใหม่ๆจนกระทั่งทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันกับดรีมตามลำพัง พิ้งค์พลอยจะเปลี่ยนเป็นอีกคนไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือคำพูดก็ตามเธอไม่เคยชอบหน้าดรีมและดุจดาวเลยแม้แต่เสี้ยววินาที
"แปลกจัง!แต่ช่างเถอะ ใช่!พี่ดรีมของเธอยังทำงานที่เดิม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ อ๋อทีหลังถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนช่วยแชทมาล๋ะ ไม่ใช่โทรมาเหมือนตอนนี้" นิ้วเรียวกดวางสายโทรศัพท์ทันทีอย่างไม่รอฟังว่าปลายสายจะพูดอะไรอีกหรือไม่แล้วเดินตรงไปที่แผนกของตนเอง
หลังจากวางสาย พิ้งค์พลอยหงุดหงิดเดินงุ่นง่านไปมาจนเพื่อนสนิทของเธอพูดให้เธอหยุดเดินแล้วให้นั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกัน เพื่อเล่ารายละเอียดให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"เล่ามาเร็วๆเข้า ก่อนที่ฉันจะไม่อยู่ช่วยแก้ปัญหา" น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายกับพิ้งค์พลอยที่ให้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เห็นเล่าเสียทีจนทำให้คนที่นั่งรอเริ่มหงุดหงิด
"จะรีบไปไหน" พิ้งค์พลอยถามแต่เธอก็ยังไม่ลงนั่งที่เก้าอี้ตามที่เพื่อนเธอบอก
"ก็จะไปหาแฟนฉันน่ะสิ ฉันไม่รอคอยคนที่เอื้อมไม่ถึงหรอกนะ วันๆทำได้แค่นั่งมองเครื่องบิน" ไม่มีคำหยาบสักคำ แต่มันกลับทำให้พิ้งค์พลอยรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้าย ย้ำตรงที่จุดเดิมกับเมื่อเช้า
"..." พิ้งค์พลอยเม้มปากตัวเองแน่น เธอยังช็อกเรื่องเมื่อเช้าไม่หายจนทำให้เธอคิดไม่ออก พูดไม่ถูกแต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังคงครุ่นคิดไม่หยุด ก่อนจะเล่าทุกอย่างให้เพื่อนสนิทของเธอฟัง
"รักแรกพบของอะไรเธอยัยพลอย เขาจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำขนาดวันนี้เขาเห็นหน้าเธอเต็มๆ ชัดๆ แต่ไม่พูดอะไรสักแอะ" เธอพูดด้วยความจริงใจ เพราะเธอเห็นพิ้งค์พลอยเฝ้าตามและคอยอัพเดตตลอดเวลาว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรที่ไหน ถึงแม้จะแลกด้วยเงินค่าจ้างก็ตาม แล้วที่สำคัญสาเหตุที่พิ้งค์พลอยชวนเธอมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ก็เพราะนักแข่งในดวงใจเข้าเรียนที่นี้
"..." พิ้งค์พลอยคิดตามที่เพื่อนพูด และมันทำให้เธอรู้สึกเสียใจและน้อยใจที่วันนี้เขาจำเธอไม่ได้
"แล้วเป็นไงเวลาได้เห็นหน้าลีอองชัดๆแถมยังช่วยพยุงเธออีก น่าอิจฉาจัง"
"ปกติพี่ลีอองของฉันก็หล่ออยู่แล้วและที่สำคัญตอนที่พี่เขาใส่แมสก์กับแว่นตาดำยิ่งเพิ่มความหล่อเท่เข้าไปอีก หรือว่าฉันควรฉวยโอกาสนี้ดีไหม" เมื่อในตอนนี้เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้นักแข่งที่ตัวเองชื่นชอบตกเป็นข่าวฉาวเพราะตัวเอง สิ่งที่แก้ไขได้ดีที่สุดเห็นจะต้องทำให้มันเป็นไปตามข่าว...ไปก่อน...
"ไม่ ถ้าเธอทำแบบนั้นเขาก็มองว่าเธอเป็นคนวางแผน"
"..." คิ้วโก่งสวยผูกเป็นปม ปลายนิ้วถูกยกขึ้นมานวดเบาๆที่บริเวณขมับอย่างใช้ความคิด
"เดี๋ยวนะยัยพลอย เธอบอกว่าพี่สาวเธอทำงานที่เดียวกันกับลีอองเหรอ"
"ใช่ ไม่ใช่แค่นั้นนะลีอองของฉันยังขี่มอเตอร์ไซค์เธออีก หึ!น่าหมั่นไส้ แล้วถามทำไมเหรอ"
"นั่งลงฉันคิดแผนออกแล้ว"
"ว่ามา" พิ้งค์พลอยรีบนั่งแทบจะทันทีแล้วยื่นใบหูเล็กไปที่ริมฝีปากของเพื่อนเธอ เพื่อฟังว่าเพื่อนเธอมีแผนการอะไรดีๆ
'เอาไว้เจอกันนะคะพี่ดิเชร์' พิ้งค์พลอยนึกขึ้นในใจ เมื่อได้ฟังแผนที่เพื่อนสนิทของเธอพูด เธอก็นั่งยิ้มพิมพ์ใจราวกับว่าแผนของเธอกับเพื่อนของเธอได้ทำสำเร็จแล้วก็ไม่ปาน
บริษัทโซแอลห้องผู้บริหาร
"เรื่องก็เป็นแบบที่ผมเล่านั่นแหละครับพ่อ ไม่ได้มีอะไรเลยจริงๆครับแม่" ประโยคแรกดิเชร์เงยหน้าแล้วสบตากับน้ำป่า แล้วก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีน่านฟ้าอยู่ในสายวีดีโอคอลแล้วพูดในประโยคถัดมา
ทั้งน้ำป่าและน่านฟ้าต่างพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะพากันเงียบพร้อมๆกัน...บรรยากาศในตอนนี้เงียบสนิทเพราะตอนนี้ทุกคนต่างคิดหาทางที่จะแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ จนเป็นน่านฟ้าที่ขอวางสายก่อนเพราะมีประชุมในช่วงบ่าย
"เดี๋ยวพ่อโทรไปคุยเอง แล้วจะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนคลับจริงๆ...อย่างเดียวใช่ไหมหรือต้องให้พ่อพูดเสริมอะไรอีกดี"
"บอกแบบนั้นแหละครับพ่อ ผมก็ไม่รู้ต้องพูดเสริมอะไร"
น้ำป่าต่อสายไปยังประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คนที่รับผิดชอบสำนักงานข่าวนี้โดยตรงโดยเปิดลำโพงเพื่อให้ดิเชร์ได้ยินบทสนทนากับทางนั้น บรรยากาศฝั่งดูตึงเครียดจนน้ำป่าเข้าใจและไม่คิดโทษหรือติดใจเอาเรื่องแต่อย่างใด เพราะนักข่าวสองคนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักข่าวของกีฬาหลายๆสำนักถึงไม่มีข่าวของนักแข่งลีออง เลยเลือกที่จะทำข่าวของลีอองเพื่อให้ตัวเองได้ผลงาน
"เดี๋ยวผมจะไล่นักข่าวสองคนนั้นออกครับ ผมต้องขอโทษท่านอีกครั้งครับ"
"ไม่ต้องครับ ไม่ต้องไล่เขาออกแค่ตักเตือนก็พอ แล้วก็ขอบคุณมากที่คุณแก้ข่าวให้และไล่ลบเนื้อหาทุกแพลตฟอร์ม ถึงแม้ตอนนี้มันจะไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็เถอะ ถ้าอย่างงั้นแค่นี้นะครับ"
"ครับๆขอบคุณและขอโทษท่านกับลูกชายท่านอีกครั้งนะครับ"
น้ำป่าวางสายแล้วเงยหน้ามองดิเชร์ที่ยังคงมีใบหน้าที่คิดไม่ตกอยู่ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตอนนี้ลูกชายของเขากำลังทำอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปยุ่งหรือก้าวก่ายอะไร เขาเพียงแค่รอวันที่ลูกชายของเขาจะเล่าแลพูดทุกอย่างกับเขาเองแต่ถึงอย่างนั้น
"มีอะไรอีก อยากเล่าให้พ่อฟังไหมไอ้ลูกชาย" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
"ผมโกหกผู้หญิงคนหนึ่ง และผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าให้เธอฟังยังไง ควรเริ่มจากตรงไหน ถ้าพูดความจริงออกไปแล้วเธอจะให้อภัยหรือว่าโกรธผมจนไม่อยากเห็นผมกันแน่ ผมไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงดีครับพ่อ"
"รักเธอแล้วอย่างงั้นเหรอ"
"ครับผมว่า...ผมรักพี่...เอ่อรักเธอแล้วครับ"
"ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ ลูกมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งนั้นมันเรียกว่าความรักไม่ใช่เพราะความหลงหรืออารมณ์ชั่ววูบ"
"..." ดิเชร์คิดตามด้วยแววตาที่เหม่อลอย แล้วรีบดึงสติกลับมาแล้วฟังคนเป็นพ่อสอนต่อ
"ไม่ต้องรีบ สิ่งที่ลูกทำอยู่ตอนนี้ ถูกต้องตรงที่ลูกใช้หัวใจและความรู้สึกนำทางแต่พ่อขอให้มันนานกว่านี้ได้ไหม เพราะถ้ารักครั้งนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ลูกคิดไว้หรือถ้าความรักครั้งนี้มันสวยงามอย่างที่ลูกคาดหวัง...ลูกจะบอกรักเธอได้อย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีข้อกังขา"
"...ครับพ่อ ผมจะรอให้แน่ใจ แล้วผมถึงจะบอกรักเธอ...จริงสิ พ่อสืบประวัติเธอแล้วใช่ไหมครับ"
น้ำป่าพยักหน้ารับช้าๆ แล้วมองเข้าไปในตาของดิเชร์อย่างรู้ความหมายว่าตอนนี้ ลูกชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่
"พ่อทำยังไงได้บ้างครับ กับนายชนินทร์อะไรนั่น"
"เดี๋ยวก่อนลูกชาย ลูกกับผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ เอ่อเธอชื่ออะไรนะ"