เล่ห์ร้ายดวงใจรัก ตอนที่ 2

1876 Words
“ไม่มีตีนเดินไปแดกเองรึไง ไอ้ตัน” น้ำตาลเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรากับกัปตัน ทำเอากัปตันหน้าเสียไปเลย   “ไอ้ตาลมึง พูดดีๆซิวะ”   “ก็กูจะพูดแบบเนี้ย แล้วมึงก็อย่ามายุ่งกับเพื่อนกูให้มากนัก อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไรไอ้ตัน”   “กูจะทำอะไรวะ  พูดให้ดีๆนะไอ้ตาล”   “ให้กูพูดเลยมะ เอามะ ไอ้สัส ให้กูพูดตรงนี้เลยมั้ย”   “ฝากไว้ก่อนเหอะมึง”   แล้วกัปตันก็เดินออกไปอย่างหัวเสีย คือน้ำตาล ถึงชื่อจะหวาน แต่ห้าวสุดๆผิดจากชื่อเลย เราได้ข่าวมาว่า น้ำตาลเป็นทอม เราก็ไม่รู้นะว่าจริงมั้ย แต่ถ้าจริง เราก็ไม่ติดที่จะคบน้ำตาลเป็นเพื่อน ก็คบกันมานานแล้วจะให้เลิกคบเพราะเป็นทอม มันก็คงไม่ใช่   “ทำไมพูดไม่เพราะเลยละตาล”   “พูดเพราะกับมันทำไม นี่ดวงใจ รู้มั้ยว่าไอ้กัปตันมันเลวแค่ไหน”   “เลวเหรอ เลวยังไง ”   “ก็เมื่อวาน เราไปได้ยินพวกมันพูดกับรุ่นพี่นอกโรงเรียนว่าจะจีบดวงใจและถ้ามันจีบติดมันจะยกดวงใจให้ไอ้เวรพวกนั้น มันชั่วมั้ยละ”   “คิดมากน่า เขาอาจจะพูดเล่นกันก็ได้  แต่ถึงมันจะจริง ก็ไม่ต้องกลัวหรอก ดวงใจ ไม่ได้ชอบกัปตันซะหน่อย”   “จริงอ่ะ”   “จริง”   “ก็ดี งั้นไปกินข้าวกัน”   น้ำตาลทำหน้าเชิดก่อนจะดึงมือเราไปที่โรงอาหาร เราเดินดูอาหารอยู่พักใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี แต่เอาจริงๆนะ เราอยากกินข้าวไข่เจียวมากกว่า แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่อาหารฝรั่ง อย่างพวกสปาเกตตี้อะไรพวกเนี้ย เห็นแล้วเบื่อจัง   “ปึก!!!!!โอ้ยยยยย”   เราเดินชนเข้ากับใครซักคน จนตัวปลิวเลย  เจ็บจัง   “ขอโทษ”   เราเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียง ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายตัวสูงมีรอยสักเต็มตัวเลย เขาหน้าหล่อมาก ในตาสีฟ้า  ซึ่งดูน่ากลัวมากเช่นกัน แล้วก็สะดุดตาเรามากด้วย   “ไม่เป็นไรคะ”   “เป็นอะไรมากรึเปล่า เจ็บมากมั้ย”พี่เขาถามเราด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ซึ่งต่างจากลักษณะภายนอกของเขาสุดๆ   “ป่าวค่ะดวงใจไม่เป็นไร”   “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”   เขามองเราก่อนจะยิ้มเล็กๆให้ คือรอยยิ้มเขาดูน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ทำไมเราถึงสะดุดกับยิ้มนี้มากเลยนะ แล้วก็เดินไปขับมอเตอร์ไซค์ออกไป ทำไมเนี้ย ทำไมใจเราเต้นแรงขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะดวงตาสีฟ้าที่ไม่เหมือนใครก็ได้มั้งหรือไม่ก็รอยยิ้มของเขา    “มีอะไรเหรอดวงใจ”น้ำตาลเดินมาถามเรา   “ไม่มีอะไรหรอก ไปกินข้าวกันเหอะ”   “ชวนไปกินข้าว แล้วเลือกได้ยั้งว่าจะกินอะไร”   “ยังอ่ะ เราเลือกไม่ถูก”   “เอาพิซซ่ามั้ย รึว่า ไก่ทอด ข้าวยำปลาแซลม่อนมั้ย”   “หึ ไม่เอา ”   “เอ้า แล้วจะกินอะไรเนี้ย เจ้าหญิง”   “น้ำตาล บอกแล้วใช่มั้ยว่าดวงใจไม่ชอบให้เรียกแบบนี้”   “อะๆ ไม่เรียกละ แล้วตกลงจะกินอะไร”   “มีไข่เจียวมั้ยอ่ะ”   “หะ!!! ไข่เจียว บ้าป่าว เขาไม่มีขาย ไข่ดาวไส้กรอกอะได้อยู่”   เราคิดอยู่แล้วว่าไม่น่าจะมี แต่อยากกินจริงๆนะ   “งั้นเอา สปาเกตตี้ก็ได้”   “อืม”   น้ำตาลพยักหน้าก่อนจะเดินไปซื้อ สปาเกตตี้ให้เรา เราจึงจับมือน้ำตาลแล้วเดินเอาจานไปวางที่โต๊ะ แต่เรายังสลัดภาพของพี่ชายคนนั้นออกจากหัวไม่ได้เลยนี่ซิ แล้วเราจะได้เจอเขาอีกรึเปล่านะ พอตกตอนเย็น คุณพ่อก็มารับเราตามที่บอกเราจึงโบกมือบ๊ายบายน้ำตาลแล้วเดินมาขึ้นรถ ส่วนเมฆกับตะวันก็เดินมาขึ้นรถเหมือนกัน แต่หน้าตานี่ช่างต่างกันมาก อีกคนยิ้มเริงร่ามีสาวๆเดินมาส่ง ส่วนอีกคน หน้าบูดแถมสายตานี่เหวี่ยงใส่คนอื่นจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย  เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมพวกเราถึงต้องไปกินข้าวบ้านคุณปู่วันนี้ ทั้งที่จริงมันควรจะเป็นวันอาทิตย์มากกว่า   “พี่ดวงใจรู้รึเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงต้องไปบ้านคุณปู่วันนี้ด้วย ทั้งๆที่วันนี้มันก็ไม่ใช่วันอาทิตย์ซักหน่อย”เหนือเมฆหันมาถามเราทั้งๆที่ในมือยังคงแชทคุยกับสาวๆไม่ขาดเลย   “ไม่รู้ซิ น่าจะมีงานใหญ่ละมั้ง อาจจะเป็น งานฉลองอะไรซักอย่าง”   “แต่เมฆว่าไม่ใช่”   “แล้วเมฆว่าเรื่องอะไร”   “ถามไป ก็ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะเมฆมันไม่รู้”ตะวันพูดขึ้นลอยๆ แล้วก็หันไปมองวิวข้างกระจกต่อ   เจ้าเด็กน้อยเอ้ยทำเป็นเข้มตลอดเลย   “ก็ไม่รู้พอๆกับตะวันนั่นแหละ” เมฆหันไปดุตะวัน เราละเอ็นดูความรักกันของ 2 คนนี้จริงๆ   แล้วไม่นานเราก็มาถึงบ้านของคุณปู่ เรานี่ตกใจเลยนะเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามา เพราะว่ารถในบ้านเต็มไปหมด ดูท่าจะมาทุกครอบครัวเลย   “เอ้าเด็กๆลงมาได้ละ คุณปู่กับทุกคนน่าน่าจะรอนานแล้ว” พ่อพฤกเปิดประตูรถให้พวกเรา ก่อนจะนำเดินพวกเราเข้าไปด้านใน แล้วที่บอกว่ารถเยอะ ยังไม่เท่าลูกๆหลานๆของคุณปู่เลย เรียกว่า โต๊ะนี่ต้องสั่งทำเป็นพิเศษ เพราะมันไม่พอนั่ง   “สวัสดีค่ะคุณปู่” เรา เมฆ แล้วก็ตะวันยกมือไหว้คุณปู่ และแน่นอนว่าเราไม่ลืมที่จะหอมแก็มคุณปู่ด้วย แต่ที่สำคัญเราก็หันไปไหว้บรรดาลุงๆอาๆด้วยนะ เพราะทุกคนกำลังยิ้มรอพวกเรา จะว่าไปงานนี้ดูท่าจะขาด อาเสาร์กับอาดวงพิกุล แล้วก็อาศุกร์กับอากันยานะ เพราะเราไม่เห็นทั้ง4 คนเลย   “เจ้าพฤกทำไมมาเป็นครอบครัวสุดท้ายเลยเนี้ย”คุณปู่หันไปถามพ่อพฤก   “พอดีไปรับเด็กๆมานะครับ เลยมาช้า”   “แกนี่นะ ช้าตลอด ว่าแต่ดวงใจเหอะ เป็นไงบ้าง คิดถึงปู่มั้ย   “ดวงใจคิดถึงปู่ที่สุดเลยค่ะ”   “ปู่ก็คิดถึงดวงใจ นี่ถ้าพ่อเราไม่รั้นเราก็ไม่ต้องออกไปอยู่ข้างนอกหรอก ป่านนี้เราก็คงเจอกันทุกวัน”   คุณปู่ตัดพ้อพ่อพฤกด้วยสายตา ก็อย่างที่คุณปู่บอกนั่นแหละ พ่อพฤกรั้นมาก ทั้งๆที่คุณปู่นี่อยากจะให้พวกเราอยู่ด้วยตลอด แต่ก็ยังหนีไปซื้อบ้านซะงั้น    “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณปู่ เดี๋ยวเมฆจะมาหาคุณปู่บ่อยๆเลยนะครับ”   “มาหาปู่ หรือมาหาเด็กน้อยข้างบ้านที่พึ่งมาอยู่ใหม่กันแน่เมฆ ปู่รู้มาว่า จีบเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ”   ทุกคนต่างหันไปมองเมฆเป็นตาเดียวเลย ขนาดตะวันก็ยังมองเลยนะ แต่ตะวันคงจะรู้แล้ว เพราะตะวันส่ายหัวเบาๆก่อนจะก็มลงไปมองโทรศัพท์ต่อ   “แหม สายคุณปู่เยอะจังนะครับ แค่เพื่อนครับแค่เพื่อน”   “อย่าให้เสียมาถึงปู่นะเมฆ ปู่ไม่อยากโดนถอนหงอกตอนแก่”   “ครับๆ ไม่มีทางแน่นอนครับ”   เมฆเขินหนักมา ทำเอาบรรดาลุงๆอาๆหัวเราะชอบใจกันใหญ่เลย   “แต่ข่าวเรื่องความเจ้าชู้ของพี่เมฆ ดังไปไกลจนถึงโรงเรียนเมขลาเลยนะคะ”เมขลาพูดขึ้นในขณะที่กำลังหั่นสเต็กเข้าปากอย่างเรียบร้อย เมฆลาเป็นสาวน้อยสายเนิร์ด เด็กเรียนแว่นหนาเตอะ  คุณพ่อเคยบอกเราว่า เมขลาถอดแบบความเนี้ยบมาจากลุงพุธ เพราะเหมือนกันอย่างกับแกะ”   “ใช่ ลีก็ได้ข่าวมาเหมือนกันนะ”พาลีพาลพูดเสริมขึ้นอีกคน    “พูดไปรื่อย หยุดเลย ทุกคนเข้าใจผิดหมดแล้วเนี้ย”เมฆรีบส่งสายตาดุน้องๆใหญ่ ทุกคนเลยยิ่งเอ็นดูในความเขินของเมฆ   “พอแล้วๆ เลิกแซวพี่เขาได้แล้ว เมขลา พาลี ว่าแต่แล้วตะวันละ งานที่ไปทำดีมั้ยลูก”   คุณปู่หันไปถามตะวันที่นั่งเงียบ นี่ก็ทำเอาทุกคนตกใจไปอีกเพราะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ส่วนตัวเรา เราก็ไม่คิดด้วยว่าคุณปู่จะรู้ ยิ่งพ่อพฤก ยิ่งตกใจหนักไปใหญ่    “คุณพ่อรู้เหรอครับ ว่าตะวันมันไปทำงาน”น้ำเสียงพ่อพฤกดูตกใจกับคำตอบของคุณปู่มากๆ พรางสายตาก็มองไปที่ตะวันอย่างไม่พอใจก่อนจะหันกลับมาจ้องมองคุณปู่เพื่อรอคำตอบ “รู้ซิ ก็ตะวันมาปรึกษาพ่อ”   “แล้วพ่อก็ให้ไป หลานเพิ่งจะ 12 เองนะพ่อ ทำไมพ่อไม่ห้าม”   พ่อพฤกพูดเสียงดังใส่คุณปู่ แต่ดูเหมือนลุงจันทร์จะไม่ชอบใจเลยที่พ่อพฤกใช้น้ำเสียงแบบนั้น ลุงจันทร์จึงวางแก็วเสียงทำให้พ่อพฤกต้องสะดุ้งและลดท่าทีโกรธลง  ดูท่าพ่อพฤกจะกลัวลุงจันทร์อยู่เยอะเลย   “แล้วยังไง หลานฉันเด็กแล้วยังไง แต่หลานฉัน มีความคิดที่จะหาเงินเอง ฉันจะขัดทำไมแกนั่นแหละ สติสตังไม่ดี บังคับลูกตลอด ไม่เคยเข้าใจลูกเลย ฉันก็ต้องคอยดูคอยเอาใจใส่หลานฉันซิ ใช้มั้ย ว่าไงลูกตะวัน ดีมั้ย”   “ครับคุณปู่”   ตะวันยิ้มให้้คุณปู่ นี่ก็เป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ไม่บ่อยนักหรือเรียกได้ว่าหายากสุดๆเลยก็ได้ แต่เราจะแอบเห็นตะวันยิ้มแบบนี้กับคุณปู่อยู่บ่อยๆ มันอาจจะเป็นเพราะตะวันไว้ใจคุณปู่ก็ได้ แต่กับเราและเมฆ ตะวันก็ยิ้มนะ แต่ต้องอยู่กันแค่ตามลำพังเท่านั้น   “เฮ้อ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ผมนี่ใช่พ่อมันมั้ยละครับแบบนี้”   “แกจะคิดแบบนั้นก็ตามใจ ตะวันมาเป็นลูกฉันก็ได้นะ ตกลงมั้ยหนูเนตร”คุณปู่หันไปถามความคิดเห็นคุณแม่   “คุณพ่อใจเย็นก่อนดีกว่านะคะ”   “ก็ดูไอ้ตัวดีมันพูดซิ มันน่าตัดออกจากกองมรดกซะจริงๆ”   “พอเลยครับ ผมไม่เถียงกับคุณพ่อแล้ว แล้วนี่ เรียกผมมามีอะไรรึเปล่าครับ”   พอคุณพ่อถามเข้าเรื่อง พวกเราก็เดินไปนั่งโต๊ะตามตำแหน่งที่ควรจะเป็นทันที    “พ่อมีเรื่องจะคุยกับพวกเราทุกคนนะ”   “เรื่องอะไรครับคุณพ่อ”ลุงจันทร์โผลงถามคุณปู่ขึ้นมาด้วยความสงสัย   “พอดี วันเกิดพ่อปีนี้ พ่อจะจัดงานใหญ่นะ แล้วพ่อ จะลงจากตำแหน่งประธานบริษัท จิราวิวัฒน์กรุ๊ป และส่งต่อให้ทายาท คนที่จะมานั่งแท่นผู้บริหารสูงสุดแทน อย่างจันทร์”   ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข เราชอบครอบครัวเราก็ตรงนี้แหละ ตรงที่ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีอะไรกันเลย รักกันมาก 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD