“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปอย่าไป ลูกก็ยืนกรานจะไปให้ได้ แม่มีลูกชายแค่คนเดียว แล้วนี่ไปอยู่ไกลหูไกลตา แม่จะวางใจได้ยังไง”
อรอนงค์เอ่ยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกฝ่ายตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศโดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของผู้เป็นแม่
“แม่ครับ แค่อังกฤษเองนะครับ ถ้าแม่คิดถึงผมแม่ก็บินมาหาผมสิครับ” ชายหนุ่มเอ่ยหยอกเย้ามารดาของตนอย่างสนิทสนม
“แต่มันก็ไม่เหมือนกับลูกอยู่กับแม่ที่นี่นี่ พ่อของลูกก็ไม่อยู่แล้ว ลูกยังจะทิ้งแม่ไปอีกคน แล้วใครจะอยู่กับแม่ล่ะ” เธอพูดอย่างแง่งอน
“โถ่ แม่ครับ แค่ 3 ปีเอง เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว” ชายหนุ่มจับมือมารดาของตนมากุมไว้อย่างออดอ้อน
“ผมเดินตามรอยคุณพ่อนะครับ ผมไปเรียนแค่ 3 ปี กลับมาผมจะได้ช่วยคุณแม่ดูแลกิจการไงครับ คุณแม่จะได้ไม่เหนื่อย” เด็กหนุ่มวัย 22 ปี เอ่ยเอาใจมารดาของตน
“จ้ะ” อรอนงค์ตอบอย่างจำใจ ในเมื่อขัดไม่ได้แล้ว ก็คงทำได้แค่ตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ
“แต่ลูกต้องโทรกลับมาหาแม่ทุกวันนะรู้ไหม ไม่งั้นแม่ได้คิดถึงลูกจนตรอมใจแน่” แต่ก็ไม่วายยื่นข้อแลกเปลี่ยนให้อีกฝ่าย
“ครับผม” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะศีรษะตะเบ๊ะหยอกล้อมารดา ก่อนจะยกมือไหว้แล้วเอ่ยร่ำลาหญิงวัยกลางคน “งั้นผมไปแล้วนะครับแม่ สวัสดีครับ”
พูดจบก็ลากกระเป๋าเดินทางของตนตรงไปยังจุดเช็กอิน
“ตาอาทิตย์ ดูแลตัวเองนะลูก” อรอนงค์ไม่วายตะโกนไล่หลังด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับมองอีกฝ่ายที่เดินไปจนหายลับตา
อีกฝั่งหนึ่งของสนามบิน หญิงสาวในชุดเสื้อคอเต่าผ้าไหมสีขาวคลุมด้วยเสื้อโค้ตสีเทาความยาวเท่าต้นขา สวมกางเกงยีนขายาว รองเท้าส้นสูงหุ้มข้อเท้า พร้อมกับสวมแว่นดำปิดบังดวงตา เธอเพิ่งเดินทางมาจากอเมริกา และปลายทางของเธอคือเชียงใหม่
“สกายถึงสุวรรณภูมิแล้ว และกำลังจะเช็กอินไปเชียงใหม่” เธอกดส่งข้อความเสียงไปหาพี่ชายของตน ซึ่งอยู่เชียงใหม่อยู่แล้ว
สกาย สตีเว่น ลูกครึ่งไทย – อเมริกา พ่อเป็นคนอเมริกัน แม่เป็นคนไทย พ่อของเธอเป็นเจ้าของบริษัท Steven Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของอเมริกา
วันนี้ที่สกายมาประเทศไทยก็เพราะเป็นวันเกิดของพี่ชาย ซัน สตีเว่น และได้รับการไหว้วานจากพ่อแม่ ให้นำของขวัญและความคิดถึงมาให้พี่ชายที่แต่งงานปักหลักอยู่ประเทศไทยแทนพวกท่าน
ขณะที่เดินกดมือถืออยู่ และไม่ได้มองทางจึงทำให้หญิงสาวเดินชนเข้ากับใครบางคนเต็ม ๆ จนทั้งเธอและเขาต่างก็ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า
“Sorry! I’m sorry, so sorry” อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษขอโพยเธอเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ
“โอ้ย! เดินยังไงวะเนี่ย ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยฝรั่งพวกนี้ เจ็บฉิบหาย” เธอบ่นพึมพำอย่างหัวเสียขณะใช้มือทั้งสองข้างปัด ๆ ไปตามตัว แต่เธอคงลืมไปว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ประเทศไทย
“คุณต่างหากที่เดินมายังไง ผมเดินของผมอยู่ดี ๆ คุณก็เดินมาชนผม แล้วใครเขาสอนให้เล่นมือถือตอนเดินกัน” เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวกำลังก่นด่าตน เขาเลยตอบโต้เธออย่างไม่ยอมความทันที
เมื่อได้ยินเสียงตอบโต้ที่เป็นภาษาไทยจากอีกฝ่าย เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีทันทีด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนไทย
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด สวมแว่นดำปิดบังใบหน้า สวมเสื้อคอเต่าผ้าไหมสีขาวด้านในทับด้วยเสื้อสูทตัวนอกสีเทา สวมกางเกงยีนขายาวและรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นแบรนด์เนมทั้งชุด
เธอรู้สึกแปลกใจพอ ๆ กับเขา ที่เห็นว่าชุดของพวกเขาในวันนี้มันบังเอิญแมตช์กันพอดีราวกับเป็นชุดคู่ที่นัดกันใส่มา
เรื่องความเหมือนของชุดต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าคือใครผิดใครถูก
“ถ้าคุณดูทางแล้วทำไมฉันถึงมาชนคุณได้ เมื่อเห็นว่าฉันจะชนคุณ คุณก็ต้องหลบฉันสิ เราต่างคนก็ต่างไม่ได้ดูทางกันทั้งคู่นั่นแหละ จะมาโทษฉันฝ่ายเดียวได้ยังไง” เธอต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่ยอมความ
“โอเค ผมไม่โทษคุณฝ่ายเดียวก็ได้ ผมผิดที่ผมไม่หลบคุณ ส่วนคุณก็ผิดที่คุณเดินมาชนผม พอใจหรือยัง” เขาพูดกระชากเสียงอย่างประชดประชัน พลางเก็บของของตนไปด้วย
“โอเค๊” เธอตอบอย่างจำใจยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย “ในเมื่อเราต่างฝ่ายก็ต่างผิดด้วยกันทั้งคู่ งั้นก็ถือว่าหายกันแล้วกันนะ เก็บของใครของมัน แยกย้าย”
พูดจบเธอก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของของตัวเองเข้ากระเป๋า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินแยกจากกันไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ผู้หญิงสมัยนี้นี่เป็นยังไง แค่คำว่าขอโทษก็พูดไม่เป็น หรือว่าถือดีว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูเรียนจบจากเมืองนอกก็เลยไม่ยอมก้มหัวให้ใคร” เขาบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย
ดูจากการแต่งตัวและข้าวของเครื่องใช้ของเธอที่เป็นของแบรนด์เนมราคาแพงทั้งหมดบนตัวเธอ อีกทั้งมารยาทการวางตัวทางสังคม และการพูดการจา ทำให้เขาเข้าใจว่าเธออาจจะเป็นลูกคุณหนูของมหาเศรษฐีคนใดคนหนึ่งในประเทศไทยที่พึ่งกลับจากการไปเรียนต่างประเทศมา
สกายจัดการเช็กอินเพื่อบินต่อไปยังเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ปลายทางในการเดินทางครั้งนี้ของเธอ
“ถึงเชียงใหม่แล้วนะ”
เมื่อมาถึงเชียงใหม่แล้ว เธอจึงส่งข้อความเสียงไปหาพี่ชายของตนอีกครั้ง เพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอได้มาถึงจุดนัดหมายแล้ว
“พอดีพี่ติดธุระ ไปรับไม่ได้ เดี๋ยวพี่ส่งที่อยู่ให้ สกายนั่งแท็กซี่มาเองนะ”
ข้อความเสียงที่ถูกส่งมาจากผู้เป็นพี่ชายทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียอารมณ์และหงุดหงิดเล็กน้อย ที่อีกฝ่ายไม่สามารถมารับตนตามที่ตกลงกันไว้ได้ เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วเธอก็ต้องยอมรับต่อโชคชะตา
สกายลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอตรงไปยังจุดรับผู้โดยสารที่รถแท็กซี่จอดอยู่ ก่อนจะส่งที่อยู่ที่พี่ชายส่งมาให้คนขับแท็กซี่ดู จากนั้นรถแท็กซี่ก็สตาร์ตเครื่องยนต์และขับออกไปยังจดหมาย
โครมมม!!!