‘เตียเป็นคนของแดนสวรรค์ เป็นเทพรักษาชื่อหยวนตง และเป็นคนสนิทของมหาเทพ.. เมื่อพันกว่าปีก่อนท่านมหาเทพรักกับธิดาราชาปีศาจ พวกท่านทั้งสองรักกันมากและมีลูกด้วยกัน แต่ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเคียงคู่ผัวเมียกันได้.. ลูกที่เกิดมาก็ถูกสองดินแดนแย่งชิงกัน จึงผนึกพลังร่วมกันสร้างดินแดนมายาให้เป็นดินแดนสำหรับลูกหลานที่เกิดจากคนสองดินแดนนี้ได้อาศัยอยู่’
คำบอกเล่าที่สุดแสนจะแฟนตาซีของบิดา ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของหญิงสาวที่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงขนาดห้าฟุต สวดมนต์ก็แล้ว นับแกะก็แล้ว ฟังดนตรีเพื่อการผ่อนคลายก็แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกง่วง ทั้งที่เวลาล่วงมาถึงตีสอง
‘เพื่อความสบายใจของอาเตียกับอาเหนียง และบรรพบุรุษของเรา.. ลูกจำเป็นต้องแต่งงานกับบุรุษท่านหนึ่ง... คำพูดของเตียอาจจะทำให้หนูช็อก แต่ยังมีเรื่องที่ชวนช็อกมากกว่านี้รอหนูอยู่ วันนี้เตียขอบอกกับหนูแค่นี้ก่อน เมื่อหนูพร้อมมากกว่านี้ค่อยมาถามเตียใหม่ แล้วเตียจะเล่าให้หนูฟังทั้งหมด.. เหม่ยลี่’
‘จ้ะเตีย’
‘เตียจะบอกความจริงกับหนูทุกอย่าง แม้จะทำผิดต่อหนู แต่ก็หวังว่าหนูจะไม่โกรธไม่เกลียดเตียนะ’
‘หนูไม่คิดแบบนั้นหรอกเตีย หนูรู้ว่าเตียเป็นคนมีเหตุผล หนูก็แค่ช็อกนิดหน่อยที่อยู่ ๆ ก็มาได้ยินเรื่องแบบนี้ ถ้าเตียไม่มีอะไรแล้วหนูขอขึ้นไปนอนก่อนนะ’
“โธ่เว้ย!” ร่างสมส่วนลงจากเตียง เปิดประตูออกจากห้อง แล้วตรงไปที่ห้องนอนของบิดา เพื่อถามเรื่องที่ยังค้างคาให้มันจบ ๆ ไป อยากรู้ว่าเรื่องจริงที่ช็อกยิ่งกว่าการต้องแต่งงานคืออะไร
ห้องนอนของบิดา
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวชวนช็อกโลกจากปากของบิดาแล้ว เหม่ยลี่ก็ได้แต่นิ่งอึ้ง มองบิดาหน้านิ่วคิ้วขมวด.. เตียของเธอไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องโกหกได้หน้าตายขนาดนี้ และเตียก็โกหกไม่เก่งด้วย
แต่นี่เธอดูไม่ออกเลยว่าเตียกำลังโกหก
แต่มันก็เหลือเชื่อจนยากที่จะทำใจให้เชื่อได้
“เตียพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย” ถามย้ำและจ้องตาท่านไม่กะพริบเพื่อจับผิด แต่สายตานั้นก็ยังแน่วแน่จริงจังขณะพยักหน้ารับ “เตียจะให้หนูเชื่อว่าคนที่หนูต้องแต่งงานด้วยอยู่ในอีกมิติหนึ่ง เป็นชาวมายาที่เป็นลูกผสมของเทพกับปีศาจเนี่ยนะ นี่เตียกำลังตั้งกล้องหลอกหนูอยู่ใช่ไหม รายการผีจ้างเตียมาอำหนูใช่ไหม” หันซ้ายหันขวา เดินหาไฟแดง ๆ จากมุมอับในห้องนอนบิดาอย่างจริงจัง
“ใจเย็น ๆ กลับมานั่งลงก่อน” หยวนตงแตะมือตรงที่นั่งที่ลูกสาวเพิ่งลุกไป “มองหน้าเตีย แล้วตอบอย่างที่คิดนะ หน้าเตียเหมือนคนที่กำลังพูดโกหกหรือเปล่า”
“ไม่เลยสักนิด”
“แล้วทำไมหนูถึงไม่เชื่อ”
“โธ่เตีย เรื่องมันแฟนตาซีแบบนี้จะให้หนูเชื่อลงยังไงล่ะ นี่มันนิยายชัด ๆ”
“มันไม่ใช่เรื่องแฟนตาซีหรือนิยายอะไรทั้งนั้นเหม่ยลี่ ในจักรวาลนี้ยังมีสิ่งที่หนูไม่รู้อีกมากมาย ที่ซ้อนทับกันอยู่หลายห้วงมิติ หลายกาลเวลา และที่เตียกล้าพูดได้เต็มปาก ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ เตียกับเหนียงก็มาจากมิติอื่นในจักรวาลนี้ไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเตียพิสูจน์ด้วยการพาหนูไปยังโลกที่คนนั้นอยู่ได้ไหมล่ะ หนูอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้ง หรือไปมิติไหนก็ได้ ทำให้หนูเห็นแล้วหนูจะเชื่อ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ หรอกนะเหม่ยลี่ มันต้องมีเวลาของแต่ละมิติที่บรรจบกันพอดีเป็นตัวเชื่อม พลังงานของดวงดาวของจักรวาล เราไม่สามารถกำหนดเองได้หรอกนะ” คงมีแต่มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำได้ แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียพลังเทพที่บำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปี ในการเปิดประตูเชื่อมมิติแต่ละครั้ง
“แล้วเตียรู้ได้อย่างไรว่าแปดสิงหาเราจะข้ามมิติไปยังที่นั่น”
“นั่นเพราะเทพดวงดาวได้พยากรณ์เวลาเอาไว้ แต่ก็ทำได้แค่คร่าว ๆ เท่านั้น ก็เหมือนกับที่เราพยากรณ์ฝนฟ้าอากาศนั่นแหละ จากนั้นมหาเทพก็ใช้พลังเทพที่บำเพ็ญเพียร ช่วยเปิดประตูมิติตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะต้องใช้พลังเยอะมาก.. เหม่ยลี่” หยวนตงเรียกลูกสาวที่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หญิงสาวมองหน้าบิดา “เพราะแบบนี้ใช่ไหม เตียถึงให้หนูเรียนเกี่ยวกับการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก”
“ก็มีส่วน เพราะที่นั่นไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนที่เราอยู่ตอนนี้ และหนูก็เป็นแค่เด็กสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เตียไม่รู้หรอกว่าจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่ฝึกให้เก่งไว้ก็ไม่เสียหาย” เจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง พลังเวทใด ๆ ก็ไม่มีติดตัว ที่มายาอาจจะมีคนแบบเจ้าอยู่บ้าง แต่อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มีครอบครัวคอยปกป้องดูแล ผิดกับเจ้าที่ไม่มีใครเลย เตียจึงทำทุกอย่างให้เจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เตียอย่าพูดให้หนูกลัวสิ” หญิงสาวใจฝ่อเมื่อคิดถึงตัวเองที่ต้องข้ามมิติไปแต่งงาน แล้วบิดายังมาบอกว่าความเจริญล้าหลังกว่าโลกใบนี้ของเธออีก ชีวิตเธอทำไมถึงแปลกประหลาดกว่าคนอื่นเขาแบบนี้นะ อยากจะบอกปฏิเสธแต่ก็ยากที่จะพูดออกไป