ก่อนกลับมาถึงคอนโดธรรศกรไปกินข้าวกับเฌอลิตาและมารดาของเธอก่อนจะไปส่งมารดาของเขาที่บ้านแล้วจึงขับรถมาที่คอนโด คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับกระยาหงัน
หลังจากคุยกับเธอและให้เวลาเธอเก็บของแล้ว เขาก็นัดเชษฐวุฒิออกมาหา
“กูเลิกกับกิ้นแล้ว”
“เลิกจริง?”
“จริงสิ โกหกทำไม”
เพื่อนชายพยักหน้า ก็หวังว่าที่กระยาหงันได้ยินจะทำให้เธอตัดใจเลิกกับมันได้เสียที
“แล้วกิ้นยอมง่าย ๆ เหรอ”
“หึ ตัวเขาเองก็มีแผล ไปยุ่งกับสามีคนอื่นที่ทำงาน กูก็โดนหลอก”
เขาพูดอย่างโกรธแค้น
“เฮ้ย กิ้นเป็นผู้หญิงแบบนั้นเหรอ ไม่น่าใช่แล้วก็ไม่น่าเชื่อ” เชษฐวุฒิไม่เชื่อ
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เกิดขึ้นแล้ว กูเห็นกับตาวันที่ไปกระบี่ เป็นผู้ช่วยนักบินสายการบินเดียวกันนั่นแหละ เมียผู้ชายคนนั้นยังไม่พอใจผัวที่ส่งสายตาหาชู้เลย”
“จริงดิ เรื่องนี้มึงแน่ใจเหรอวะ ก็แค่เพื่อนร่วมงานกันธรรมดารึเปล่า”
“กูไม่ใช่ควายโง่ไอ้เชษฐ์ที่จะดูไม่ออก”
เชษฐวุฒิส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้น
“ถ้าจริงอย่างที่มึงว่าก็พีกซ้อนพีกเลยว่ะเรื่องนี้”
ธรรศกรกระดกเหล้าเข้าปากอย่างไม่สนใจ เขาให้เวลาเธอไม่นาน หวังว่ากลับไปจะไม่ต้องเจอเธออย่างที่เธอบอกไว้นะ
“กูขอถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ย”
ดวงตาคมหันมาจ้องมองเพื่อนสนิท
“อยู่กับกิ้นมานานขนาดนี้มึงไม่รักเขาบ้างเลยเหรอ”
นิ่งอยู่อึดใจใหญ่พร้อมกับใคร่ครวญความรู้สึกของตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“...กูคิดว่าไม่!”
กระยาหงันไม่มีเวลามานั่งร้องไห้คร่ำครวญ เพราะจะส่งผลต่อใบหน้าที่ต้องใช้พบปะกับผู้โดยสาร เธอได้แต่เก็บงำความเจ็บปวดไว้ในอกที่กลัดหนองส่งเพียงรอยยิ้มแสนหวานให้กับทุกคน เมื่อกลับมาที่ห้องก็พยายามเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าไว้เพื่อจะได้ให้รถขนของขนไปในคราวเดียว ทำเช่นนี้จนถึงวันหยุดที่เธอต้องย้ายออกจากคอนโดที่ย้ายเข้ามาอยู่กับเขาตลอดสี่ปีกลับไปยังคอนโดเล็ก ๆ ของเธอที่ผู้เช่าย้ายออกได้จังหวะพอดี หญิงสาวพยายามคิดบวก ถือว่าโชคชะตายังไม่โหดร้ายกับเธอจนเกินไป
กระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่รวมถึงถุงขนของเอนกประสงค์สองใบวางอยู่กลางห้องพัก ภายในห้องแม้มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากแต่ก็เป็นพื้นที่ที่จะไม่มีใครมาไล่เธอออกไปได้ ทันใดร่างบางก็ทรุดนั่งลง ความรู้สึกที่สั่งสมไว้ตลอดสามวันพรั่งพรูออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น วันนี้เธอจะขอร้องไห้ให้สาสมกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ อยู่กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง
หนึ่งวันที่เธอปล่อยให้ตัวเองร้องไห้เพราะผู้ชายคนนั้น กระยาหงันนอนโอบกอดตัวเองเมื่อไม่มีใครโอบกอด ตอนที่เธอเติบโตมาในสถานสงเคราะห์แม่ไม่สามารถโอบกอดใครคนใดคนหนึ่งได้นานเพราะจะมีเด็กอีกหลายคนที่อยากให้กอดเหมือนกัน เธอต้องหัดกอดตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่ได้ติดตัวมาจากตรงนั้นคือมันทำให้เธอเข้มแข็งได้ไว และบอกตัวเองว่าต้องลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตด้วยตัวคนเดียว นอนกอดหมอนข้างห่มผ้าหนา ๆ ก็อบอุ่นกายได้เหมือนกัน หากเธอไม่สู้ให้ตัวเองก็ไม่มีใครที่จะให้กำลังใจเธอได้ในเวลานี้ ก่อนจะลุกขึ้นมาจัดห้องใหม่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน ร่างโปร่งบางลุกจากเตียงนอนที่ไม่ได้นุ่มสบายเหมือนเตียงที่นอนกับผู้ชายคนนั้นมาตลอดสี่ปี แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้เธอปวดหลัง เดินมาส่องกระจกมองตัวเองในห้องน้ำ ยังมีร่องรอยความช้ำที่ดวงตา คิดว่าภายในวันนี้หากไม่ร้องไห้อีกใบหน้าคงจะดีขึ้น พรุ่งนี้เธอต้องไปร่วมงานภายในของบริษัทในฐานะพริเซนเตอร์
เช้าวันรุ่งขึ้น กระยาหงันสวมชุดยูนิฟอร์มของสายการบินเต็มยศแต่ไม่ได้ไปบิน เธอมาทำหน้าที่มอบช่อดอกไม้และถ่ายรูปกับผู้บริหารสายการบินในช่วงเช้ารวมถึงถ่ายรูปคู่กับอานัสผู้ช่วยนักบินหนุ่มหล่อที่เป็นพริเซนเตอร์ร่วมกันก็จะเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับกิ้น เหมือนตาบวม ๆ ไม่สบายเหรอ” อานัสถามอย่างห่วงใย ในฐานะผู้ร่วมงาน
กระยาหงันมองหน้าเขา ก่อนจะยิ้มหวานทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอ โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าอานัสจะสังเกตเธอขนาดนี้ทั้งที่เธอก็แต่งหน้าจัดเต็ม
“เปล่าค่ะ อาจจะนอนน้อยมั้งคะ กิ้นขอตัวไปทางนั้นก่อนนะคะ”
พูดพลางยิ้ม ก่อนจะขอตัวจากไป เธอถูกเพ่งเล็งกับอานัสอยู่แล้ว แม้เธอจะไม่ได้คิดอะไร กระทั่งจะยืนคุยกันท่ามกลางคนหมู่มากก็อาจมีผู้ไม่หวังดีจับจ้องมองอยู่
งานจบแล้วในเวลาสิบเอ็ดโมงกระยาหงันเตรียมตัวจะกลับคอนโดก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาแจ้งว่า
“คุณกระยาหงันคะ ผู้บริหารขอพบที่ห้องรับรองค่ะ”
“คะ?”
“ด่วนเลยค่ะ ท่านรออยู่”
หญิงสาวถูกพามาที่ห้องรับรองภายในซึ่งมี ‘ผู้บริหาร’ นั่งรออยู่แล้ว ก่อนคนที่พามาจะออกไปแล้วปิดประตู สายตาของหญิงสาวมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งตัวตรง คอเชิด จ้องสายตามาที่เธอ มุมปากมีรอยของความเหยียดหยัน
“สวัสดีค่ะคุณปานวาด ต้องการพบดิฉันหรือคะ”
“ถ้าไม่ต้องการพบฉันไม่เสียเวลามานั่งอยู่ตรงนี้หรอก”
กระยาหงันก้มศีรษะรับทราบ ยืนอยู่ในท่าทางสุภาพ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้สายตาพิจารณาเธอขึ้นลงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เธอมันก็เป็นได้แค่อีกาถึงจะบินได้สูงแต่ก็ไม่มีใครให้ค่า อย่าคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นหงส์ขึ้นมาได้ล่ะ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ ดิฉันไม่เข้าใจ” กระยาหงันไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่ได้แกล้ง
“เสแสร้งเก่ง กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังกล้าโกหก”
“ดิฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังเปรียบเปรยจริง ๆ นะคะ ว่าเกี่ยวกับดิฉันตรงไหน”
“แกล้งโง่ หรือว่าโง่จริง อ้อ สงสัยจะโง่จริง เธอใช้วุฒิ ปวส. มาสมัครนี่ ไม่ได้จบปริญญาขั้นต่ำเหมือนคนอื่นเขาสักหน่อย ภาษาอาจจะสื่อสารได้แต่มันสมองข้างในคงมีน้อยเกินกว่าจะเข้าใจคำเปรียบเปรยของฉันสินะ”
ปานวาดยิ้มเยาะอย่างพอใจที่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนที่ยืนอยู่ ที่ด่าไปถือว่ายังพอเข้าใจอยู่บ้างสินะ
“ก็วีสกายแอร์ไลน์ให้โอกาสคนที่มีความสามารถไม่ใช่เหรอคะ และดิฉันก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถทุกครั้ง”
“แล้วในการปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถของเธอ มันแฝงไปด้วยอะไรบ้างล่ะ อยากมีโอกาสได้พบเจอผู้ชายดี ๆ แบบสามีของฉัน หรือแบบคุณเท็มว่าที่คู่หมั้นของญาติฉัน”