กระยาหงันเห็นเขาหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมากางพร้อมกับเปิดตู้เสื้อผ้าก็เข้าไปถาม
“จะไปไหนเหรอคะ”
“ไปต่างจังหวัดกับคุณแม่สามวัน”
เสื้อผ้าถูกดึงออกจากไม้แขวนแล้วโยน ๆ ใส่กระเป๋าที่เปิดอ้าออก หญิงสาวเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปช่วย การจัดกระเป๋าเดินทางเป็นอะไรที่เธอเรียกได้ว่าเป็นมืออาชีพ เธอสามารถจัดได้ครบและเป็นระเบียบในเวลาอันรวดเร็ว หลายครั้งที่เขาเดินทางไปต่างประเทศหญิงสาวก็จะเป็นคนจัดกระเป๋าให้ มีของที่เขาต้องการทุกอย่างครบถ้วนในขณะที่บางครั้งที่เขาจัดเองยังมักจะลืมนั่นลืมนี่
“มาค่ะ กิ้นจัดให้เอง คุณจะไปทำงานหรือไปเที่ยวคะ”
“ทำงานด้วย พักผ่อนด้วย เอาชุดที่ใส่สบาย ๆ ไป ไม่ต้องเยอะ งานกลางแจ้งที่ทะเล”
“ค่ะ เดี๋ยวกิ้นจัดให้”
ทราบข้อมูลแล้วหญิงสาวก็เดินไปเลือกชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมมาพับลงในกระเป๋า พร้อมทั้งของใช้ส่วนตัว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วพูดว่า
“พรุ่งนี้กิ้นก็มีบินไปที่กระบี่ คุณจะไปกี่โมงคะ”
“ไม่รู้”
“อ้าว แล้วกัน ไม่รู้แบบนี้จะตกเครื่องเอานะ”
“คืนนี้จะกลับไปนอนที่บ้าน พรุ่งนี้ค่อยไปพร้อมคุณแม่”
“ออ รับทราบค่ะ”
ชายหนุ่มมองคนที่นั่งพับเพียบพับเสื้อผ้า จัดทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะหันมาบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
“เรียบร้อยค่ะ”
“อืม”
เขาเดินลากกระเป๋าที่เธอจัดให้โดยไม่ได้ตรวจอะไรอีก มั่นใจว่าของที่ต้องมีทุกอย่างครบจากประสบการณ์หลายครั้งที่ให้เธอจัดกระเป๋าให้ แล้วเขาก็ไม่หันกลับมาบอกลาเธอด้วย ร่างบางเดินออกไปส่งถึงหน้าประตูแต่ก็ได้รับความเฉยชากลับมา ในใจกระหยาหงันก็มีความห่อเหี่ยวลงเหมือนกันแต่ความรักของเธอยังคงหนักแน่นไม่มีลดลงมันถึงดึงให้เธอยังยืนอยู่ตรงนี้ ร่างบางเดินกลับมาเตรียมเช็กกระเป๋าของเธอเพื่อเดินทางพรุ่งนี้เงียบ ๆ
บนเที่ยวบินที่จะเดินทางไปกระบี่ในเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที กระยาหงันยืนยิ้มต้อนรับผู้โดยสารที่ประตูทางเข้าด้านหน้า มือเรียวพนมมือไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพราะเป็นหน้าเป็นตาของสายการบิน ผู้โดยสารบางคนที่เห็นหน้าเธอถึงกับตกหลุมรักในรอยยิ้มที่หวานละไมและจำได้ว่าแอร์สาวคนนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของสายการบิน
หญิงสาวทักทายด้วยคำว่าสวัสดีและแนะนำที่นั่งให้ผู้โดยสารที่ทยอยกันเข้ามาในตัวเครื่อง กระทั่งมาถึงผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายที่ถือบัตรที่นั่งพิเศษทั้งหมดหกคน แอร์โฮสเตสสาวก็มีสีหน้าแปลกไปแวบหนึ่งเมื่อเห็นว่าทั้งหกคนเป็นมีคนที่เธอรู้จัก และรู้จักอย่างใกล้ชิดคนหนึ่ง รวมถึงเคยเห็นหน้ามาแล้วทั้งนั้นพากันเดินเข้ามาในเครื่อง เขาเดินทางในไฟล์ตนี้ที่จุดหมายปลายทางคือจังหวัดกระบี่ที่เธอเพิ่งเอ่ยปากชวนเขาไปพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับกลับมา
ที่แท้ก็เก็บไว้ไปกับ...คุณแม่ของเขาและคนกลุ่มนี้นี่เอง
เฌอลิตาเป็นคนบอกกับทุกคนว่าไม่อยากเข้าเครื่องเป็นกลุ่มแรก ๆ เพราะไม่อยากนั่งรอบนเครื่องและไม่อยากให้คนเดินผ่านจึงรอขึ้นเครื่องเป็นลำดับสุดท้ายดีกว่า อย่างไรที่นั่งของทุกคนก็เป็นที่นั่งพิเศษด้านหน้าอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ วีสกายยินดีต้อนรับค่ะ”
เสียงหวานเอ่ยต้อนรับออกไปโดยอัตโนมัติ เธอยิ้มให้กับทุกคนที่สบตาแม้คนคนนั้นจะทำสีหน้าแสดงออกว่าไม่ชอบเธอก็ตาม
“ไปด้วยกันนะไฟลต์นี้”
เป็นเสียงจากกัปตันผู้ช่วยอานัส สามีของปานวาดที่มองเธอตาขวาง ยิ่งได้ยินสามีเอ่ยทักอีกฝ่ายสีหน้าก็ยิ่งแสดงออกชัดเจนถึงความไม่ชอบ ส่วนกระยาหงันก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว ธรรศกรที่นั่งข้างกับเฌอลิตาโดยมีมารดาของฝ่ายหญิงนั่งติดริมหน้าต่าง อีกแถวก็เป็นของปานวาดกับสามีและคุณเมธาวีที่ขอนั่งติดหน้าต่างเพราะอยากดูวิว
ขณะที่ผู้โดยการกำลังหาที่เก็บกระเป๋าบนช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะโดยมีพนักงานต้อนรับคอยดูแลความเรียบร้อยหาที่ว่างให้ ก่อนจะมีผู้โดยสารที่เป็นหญิงวัยกลางคนเข้ามาเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายถือบัตรที่นั่งด้านหลังของธรรศกรพร้อมกระเป๋าเดินทางที่ต้องหาที่เก็บ
“เอ่อ คุณแอร์ช่วยป้ายกกระเป๋าหน่อยได้มั้ยคะ ป้าตัวเตี้ยยกไม่ถึง”
โดยข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือนแล้วผู้โดยสารต้องรับผิดชอบนำกระเป๋าขึ้นเครื่องและจัดเก็บในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะด้วยตนเอง แต่ดูจากลักษณะแล้วผู้โดยสารก็ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ กระยาหงันจึงจะเดินเข้าไปช่วยยกเก็บให้ แต่พอกำลังจะออกแรงแอร์สาวก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่งเพราะน้ำหนักกระเป๋านั้นมันเกินกว่าที่ทางสายการบินกำหนด แม้กระเป๋าจะใบเล็กก็ตาม
กระยาหงันยิ้มแห้ง “สักครู่นะคะผู้โดยสาร”
‘หนักขนาดนี้ปล่อยเข้ามาถึงข้างในได้ไงเนี่ย’
แอร์สาวบ่นกับตัวเอง ส่วนผู้โดยสารก็เหมือนจะรู้ตัวว่ากระเป๋าของตัวเองมีน้ำหนักเกินแต่รอดมาได้ก็ทำเป็นตีมึนยิ้ม
เธอต้องปรับท่าสำหรับการยกใหม่ พื้นที่แถวนั้นเป็นแนวความรับผิดชอบของเธอ
“ผมช่วยยกเองครับ”
มีเสียงดังมาจากด้านหลังชัดเจน เมื่อหันไปมองก็เป็นอานัส
“เอ่อ”
“ผมยกเอง”
กระยาหงันถอยให้พื้นที่เพื่อให้เขาช่วยยกกระเป๋า ขนาดเป็นผู้ชายยกขึ้นยังแสดงสีหน้าให้รู้ว่ากระเป๋ามันหนักมาก อานัสมองหน้าหญิงวัยกลางคนแล้วส่ายหน้า ก่อนจะกลับมานั่งแล้วหันไปคุยกับภรรยาเบา ๆ
“ต้องเข้มงวดพนักงานที่เคาน์เตอร์และหน้าเกตหน่อยแล้ว ปล่อยกระเป๋าหนักเกินกำหนดขึ้นเครื่องแบบนี้ได้ยังไง”
“แล้วคุณจะไปช่วยทำไม ไม่ใช่หน้าที่คุณซักหน่อย”
คำตอบของปานวาดแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ฟังที่เขาพูด แต่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการกระทำของสามีที่ปฏิบัติของพนักงานต้อนรับคนนี้
“น้ำใจไง คุณรู้จักมั้ย ผมกับเขาเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”
“หึ อย่าให้รู้ว่ามีอย่างอื่น”
ปานวาดฟึดฟัดใส่หน้าสามี แม้น้ำเสียงจะไม่ดังจนคนอื่นได้ยินรวมถึงมีเสียงทำงานภายในรบกวน แต่ธรรศกรได้ยินและเห็นการกระทำของอานัสและสายตาที่มองกระยาหงันรวมถึงเฌอลิตาและทางมารดาของธรรศกรที่นั่งใกล้สองสามีภรรยาด้วย
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงที่นอนกับเขาทุกวันจะมีบางอย่างที่ไม่เคยบอกให้เขารู้เกี่ยวกับคนในที่ทำงานจนภรรยาฝ่ายชายออกอาการหึงหวงจนออกนอกหน้า แล้วสายตาคมก็จ้องมองไปที่หญิงสาวที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเธอและก็มีดวงตาของคนที่นั่งข้าง ๆ คอยมองเขาด้วยเหมือนกัน
‘เพิ่งรู้ว่าทำอาชีพนี้’
^
^
^
***ฝากด้วยนะค้า เจ้ากรรมนายเวรกิ้นเยอะ อิอิ
ส่งกำลังมาเยอะๆ น้า ถ้าอยากอ่านยาวๆ ค่า