ตอนที่ 3...

2053 Words
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “เข้ามาได้” เสียงปิติภัทรลอยออกมาจากด้านในห้อง นาราภัทรสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดและหมุนลูกบิดประตู เธอเดินตรงเข้ามาในห้องพักอาจารย์ขนาดสี่คูณสี่เมตรของเขา ที่มองผ่านเพียงแว๊บเดียวก็รู้ว่าเขาเพิ่งจะย้ายของเข้ามา เพราะทุกอย่างถูกว่างอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่มีอะไรเข้าที่เข้าทางเลยสักอย่าง เจ้าของห้องหมุนเก้าอี้ทำงานกลับมา พร้อมกับสบตาผู้มาเยือนอย่างตั้งใจ “สวัสดีค่ะ” นาราภัทรรีบยกมือไหว้คนที่มีสถานะภาพเป็นอาจารย์ เธอรวบมือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่ด้านหน้าอย่างมีมารยาท ศีรษะก้มลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ปิติภัทรแอบมองก็พอใจในกิริยามารยาทของนักศึกษาคนนี้ ที่เหมือนว่าเธอจะทำมันจนติดเป็นนิสัย “นั่งสิ” “ไม่เป็นไร หนูยืนดีกว่าค่ะ” นาราภัทรปฎิเสธน้ำใจจากเขา เพราะคิดว่าคงใช้เวลาในห้องนี้เพียงไม่นาน “นั่งเถอะ คุณกับผมมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” ปิติภัทรจ้องหน้าหญิงสาวที่เริ่มมีความหวาดกลัวอยู่ในใจ เธอหลบสายตาเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงข้ามกับเขา “อาจารย์มีธุระอะไรกับหนูเหรอคะ” นาราภัทรตัดสินใจถามเขาตามตรง “นอกจากที่นี่ วันนี้ เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า” ปิติภัทรเอ่ยถามด้วยสีหน้าปนความสงสัย แม้จะจำได้แม่นก็ตามว่าเธอคือคนที่เขาเจอที่ผับวันนั้น “ไม่เคยค่ะ” นาราภัทรตอบหน้านิ่ง แต่ในใจกำลังเกลียดตัวเองที่พูดคำโกหกแบบนี้ “เหรอ? ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณยังไงก็ไม่รู้” อาจารย์หนุ่มยังคงทำท่าใช้ความคิด จนหัวคิ้วเข้มของแทบจะชนกัน “อาจารย์คงจำคนผิดมั้งคะ สมัยนี้ใครๆ ก็หน้าคล้ายเป็นหมด” “เพราะทำศัลยกรรมเหรอ?” ปิติภัทรพูดต่อท้ายทันที “ค่ะ” เธอพยักหน้าเออออตามเขา “ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ผมเคยเจอ งั้นก็คงไม่มีอะไรแล้วแหละ เชิญกลับบ้านได้ครับ” “ค่ะ หนูขอโทษที่ลื่นล้มจนทำน้ำปั่นกระเด็นใส่หน้ากับเสื้ออาจารย์จนเลอะด้วยนะคะ” นาราภัทรยกมือไหว้ขอโทษเขาด้วยความรู้สึกผิด “ไม่เป็นไรครับ” “ขอบคุณค่ะ หนูขอตัวกลับนะคะ สวัสดีค่ะ” เธอลุกจากเก้าอี้และทำความเคารพเขาอีกครั้ง ปิติภัทรมองตามหลังนักศึกษาสาวก็สงสัยว่าเธอจะขำไม่ได้จริงๆ หรือโกหกกันแน่ “มะนาว! เป็นไงบ้างวะ” เพื่อนๆ ที่เฝ้ารออยู่หน้าห้องรีบตรงเข้ามาถามนาราภัทรด้วยความเป็นห่วง “เฮ้ย! เบาๆ” เธอจีบบอกเพื่อนๆ เพราะประตูห้องพักอาจารย์ยังปิดไม่สนิท “มะนาว?” ปิติภัทรทวนชื่อของนักศึกษาสาว ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความอารมณ์ดี “เป็นไงบ้างแก อาจารย์เค้าจำแกได้ไหม” “แล้วเค้าขู่แกหรือเปล่าว่าอย่าบอกใครเรื่องที่เค้าเป็นเกย์” “แล้วอาจารย์จะหักคะแนนแกไหม เรื่องที่แกทำน้ำปั่นหกใส่เค้าอ่ะ” “ใจเย็นๆ ฉันสรุปเลยแล้วกันนะ” นาราภัทรมองหน้าเพื่อนที่กำลังรอลุ้นอยู่ทีละคน “เรื่องที่ผับ อาจารย์จำฉันไม่ได้ อาจารย์แค่สงสัย เพราะรู้สึกคุ้นหน้าฉัน ฉันก็เลยใช้โอกาสนี้ สวมรอยโกหกไปว่า ฉันกับอาจารย์ เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วฉันก็จะไม่โดนหักคะแนนอะไรด้วย เคลียร์ไหม” “เฮ้ย! ง่ายแบบนี้เลยเหรอวะ” ณัฐพลสงสัย “ฉันก็งงเหมือนกัน แต่พวกแกต้องช่วยแบ่งความบาปไปจากตัวฉันเลยนะเว้ย เอาไป หารกัน” นาราภัทรแตะแขนเพื่อนทีละคน เพื่อหวังว่าจะแบ่งเบาเวรกรรมจากการพูดปดไปเมื่อครู่ “แบ่งบุญอ่ะแบ่งได้ แต่แบ่งกรรม มันแบ่งกันไม่ได้เว้ย ไม่เคยฟังพระเทศน์เหรอ กรรมใดใครก่อ ใครคนนั้นก็รับไปสิวะ” นิรดารีบปัดแขนตัวเอง “รับๆ ไปเถอะ มะนาวมันจะได้สบายใจ” นิลวรรณพูดเพื่อสงบศึก “แต่ฉันว่าอาจารย์จำไม่ได้ก็ดีนะเว้ย ถ้าเกิดตอนสอบไฟนอล เราคะแนนไม่ดี ก็เอาเรื่องนี้ไปขู่อาจารย์ ให้เพิ่มคะแนนให้เรา ดีไหม” ณัฐพลบอกด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “อีบ้า! เดี๋ยวนี้ใครเค้าอายกันวะ เป็นเกย์ก็ไม่เห็นแปลก ขนาดเค้าไปนัวเนียกันหลังร้าน เค้ายังไม่อายเลย” นาราภัทรกระซิบประโยคหลังเบาๆ “เออ ใช่ว่ะ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องเครียดแล้ว กลับบ้านกันพวกแก ก่อนที่ฝนมันจะตกลงมาอีกเนี่ย” นิรดาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดครึ้มอีกครั้ง “โอเค แยกย้ายๆ เจอกันพรุ่งนี้นะชะนีน้อย ฉันกับวุ้นเส้นนั่งมอไซต์กลับหอดีกว่า ขี้เกียจเดิน” ณัฐพลหันไปบอกนิลวรรณ “ใช่ กว่าจะเดินถึงหอ ฝนตกพอดี มะนาวกับโบตั๋น ขับรถกลับบ้านกันดีๆ นะ ถึงบ้านแล้วไลน์บอกในกรุ๊ปด้วย” “โอเค เจอกันพรุ่งนี้พวกแก” นาราภัทรและนิรดา บอกลาเพื่อนอีกสองคน ทั้งสองกลับบ้านด้วยกันเป็นประจำ เพราะบ้านของทั้งคู่นั้นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนณัฐพลและนิลวรรณ มีครอบครัวอยู่ที่ต่างจังหวัด จึงพักอาศัยอยู่ที่หอพัก ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย “ตั๋น เราแวะซื้อขนมปังสังขยา หน้าหมู่บ้านคนละชุดดีไหมวะ” นาราภัทรที่กำลังขับรถอยู่ หันมาถามมาถามนิรดาซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ “ฉันไม่กินว่ะ แต่เดี๋ยวแกจอดข้างทาง เดี๋ยวลงไปซื้อให้” “แล้วทำไมแกไม่กิน แปลก ปกติแกชวนฉันตลอดเลยนะ” “ฉันลดหุ่น” “โห! อย่างเราๆ นี่ขุดดินปลูกต้นไม้แป๊บเดียวก็น้ำหนักลดแล้ว” นาราภัทรออกความเห็นพร้อมกับเปิดไฟเลี้ยวเพื่อจะจอดที่ริมฟุตบาทข้างหน้า ปิ๊ดดดดดดดดดดดดดดด! โครมมมมมมมม! “กรี๊ดดดดดดด” นิรดาและนาราภัทรร้องลั่น เมื่อได้ยินเสียงปะทะของรถอีกคันจากด้านหลัง “ซวยแล้วแก” นาราภัทรเงยหน้ามาบอกนิรดา ที่มีสีหน้าหวาดกลัวไม่ต่างกัน “ซวยมากด้วยเว้ย เค้าเดินลงจากรถแล้ว” นิรดายืดคอมองกระจกหลัง ก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังเดินตรงมา “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” นาราภัทรสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วเปิดประตูรถทันที “โอ๊ย! เปิดประตูรถดูคนบ้างไหมสิ แบบนี้ไงถึงขับรถตัดหน้าคนอื่น” เสียงของชายหนุ่มคู่กรณีตวาดใส่นาราภัทรลั่นถนน “ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ” “ขับรถภาษาอะไรของเธอเนี่ย ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย มีใบขับขี่หรือเปล่าหะ คิดจะเลี้ยวก็เลี้ยว คิดจะจอดตรงไหนก็จอด” “นี่! เพื่อนฉันเปิดไฟเลี้ยวแล้ว แล้วก็ไม่ได้จะจอดตรงนี้ด้วย ที่ที่เพื่อนฉันจะจอดอ่ะ อยู่ข้างหน้านู่น แล้วดูสิ เพื่อนฉันขับอยู่ในเลน ตอนนี้รถก็อยู่ในเลน มันเลี้ยวตรงไหนหะ” นิรดาพุ่งตัวเข้ามาเถียงกับคู่กรณีอย่างไม่ยอมแพ้ เธอชี้นิ้วให้เขาดูว่าที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริง “เนี่ย ดูเลย รถของคุณนั่นแหละ จอดกินเลนอยู่ มันแปลว่าคุณนั่นแหละ ที่เบียดเข้ามา จนชนท้ายรถเพื่อนฉัน” “ตั๋น ใจเย็นๆ” นาราภัทรรีบห้ามเพื่อน เพราะท่าทางของเธอ พร้อมที่จะกระโจนขย้ำเขาตลอดเวลา “ผมขับรถของผมอยู่ดีๆ เพื่อนคุณนั่นแหละที่เปิดไฟเลี้ยว แล้วพยายามจะเบี่ยงเข้าเลนซ้าย แต่พอผมไม่ให้เข้า เพื่อนคุณก็เบี่ยงเข้าเลนเดิม” “ใช่! แล้วพอเพื่อนฉันขับเข้าเลนเดิม คุณก็เข้ามาชนท้ายรถเพื่อนฉัน” “ผมไม่ได้ชน เพื่อนคุณนั่นแหละ” “คุณนั่นแหละที่ชน ยังจะมาเถียงอีก” “ผมไม่ได้ชน เพื่อนคุณพยายามจะปาดหน้าผม” “แต่คุณไม่ยอมให้เพื่อนฉันเข้าเลนซ้ายไง คุณก็จี้ท้ายรถเพื่อนฉัน แล้วสุดท้ายคุณก็ชนไง” “ผมชน เพราะว่าเพื่อนคุณพยายามจะปาดหน้ารถผม” “นี่ไง ยอมรับแล้วไงว่าเป็นคนชน” นิรดาเท้าเอวมองหน้าเขาอย่างผู้ชนะ “โอเคค่ะ หยุดเถียงกันทั้งคู่เลย” นาราภัทรเข้ามาห้ามปรามทั้งคู่ “ฉันยอมรับค่ะ ว่าฉันพยายามจะปาดหน้ารถของคุณจริงๆ แต่พอฉันเห็นว่าคุณไม่ยอม ฉันก็เลยเบี่ยงเข้าเลนของตัวเองคืน ซึ่งมันจะคงเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณเหยียบคันเร่ง รถมันเลยชนกัน ถูกต้องไหมคะ” “ถูกต้องครับ” “อาจารย์!” นาราภัทรและนิรดา ตกใจอีกครั้ง เมื่อชายอีกคนที่ตอบกลับมาเป็นอาจารย์ปิติภัทร “ถูกอย่างที่คุณพูดเลยครับ ซึ่งกรณีนี้ก็อาจจะผิดด้วยกันทั้งคู่ เรียกประกันดีกว่านะครับ” เขาบอกเรียบๆ ก่อนจะหันไปคุยกับผู้ชายอีกคน “โทรเรียกประกันดีกว่า อย่ามีเรื่องเลย พี่ไม่อยากเสียเวลา แล้วพี่ก็ต้องกลับไปเคลียร์งานอีกเยอะ” เขาตบบ่าบอกชายคนนั้นเบาๆ “ครับพี่” เขาตอบรับอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเดินกลับไปที่รถเพื่อหาข้อมูลของประกันภัย และก็ไม่วายมองนิรดาอย่างเลือดเย็นด้วย “พวกข้อมูลประกันภัย น่าจะอยู่ในลิ้นชักหน้ารถนะครับ ส่วนเรื่องตำรวจ เดี๋ยวผมโทรติดต่อให้” ปิติภัทรหันไปบอกนาราภัทรที่กำลังยืนทำหน้างง เพราะเธอเพิ่งได้รับอนุญาตจากครอบครัว ให้นำรถมาใช้ได้ไม่ถึงอาทิตย์ “อ๋อ... ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบและรีบไปค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว เธอทำการติดต่อประกันจนเสร็จเรียบร้อย โดยมีนิรดาคอยช่วยเหลือไม่ห่าง ส่วนปิติภัทรและผู้ชายอีกคนที่คอยแต่จะด่านิรดาก็ยืนรอประกันเช่นกัน จนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ทั้งคู่ก็เคลียร์เรื่องค่าเสียหายต่างๆ และดำเนินการกับตำรวจเรียบร้อย “ขอโทษอีกครั้งนะคะ ที่ทำให้เดือดร้อน” นาราภัทรยกมือไหว้ขอโทษทั้งสอง “ไม่เป็นไรครับ” ชายปริศนาตอบกลับ แม้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงอยู่อารมณ์หงุดหงิด “จะพูดอะไรก็ให้มันจริงใจหน่อย ไม่ใช่ปากบอกอีกอย่าง แต่สีหน้าแสดงออกอีกอย่าง คนที่เค้าขอโทษ เค้าจะได้สบายใจ” นิรดายืนกอดอกปลายตามองเขาอย่างอารมณ์เสีย “แล้วเธอน่ะจริงใจนักเหรอ ทำตัวจิกใส่คนนู้นคนนี้ไปทั่ว ชาติที่แล้วเป็นไก่หรือไงไม่ทราบ” “จิกไปทั่วอะไร ฉันก็จิกคุณคนเดียวนั่นแหละ” “พอแล้ว! ทั้งสองคนนั่นแหละ พอแล้วไอ้อิฐ นัดผู้ใหญ่ไว้ ไปช้ากว่านี้มันจะน่าเกลียด นี่ก็สายมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” ปิติภัทรห้ามทั้งสอง ก่อนจะก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ “คุณสองคนก็ขับรถระวังๆ นะครับ” เขาหันมาบอกนิรดาและนาราภัทร “ค่ะ สวัสดีค่ะ” ทั้งสองยกมือไหว้ผู้เป็นอาจารย์ “ส่วนคุณ... ติดกระดุมเม็ดบนด้วย ผู้ชายคนอื่นเค้าไม่อดทนแบบผมนะครับ” ปิติภัทรแกล้งเดินมาใกล้ๆ นาราภัทร ก่อนจะกระซิบบอกเธอเบาๆ “ขอบคุณค่ะ” เธอก้มมองหน้าอกของตัวเองและรีบใช้มือปิดไว้ทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากระดุมเสื้อนักศึกษาของเธอมันหลุดจนเกือบเผยให้เห็นเนินอก “ดีนะที่อาจารย์เป็นเกย์ ไม่งั้นฉันจะคิดว่าเค้าเป็นพวกโรคจิตแน่” นิรดาได้ยินที่เขาพูดทุกคำ “ใช่! ฉันเกือบโมโห แต่ก็คิดได้ว่าเค้าเป็นเกย์ คงไม่ได้สนใจอะไรกับนมฉัน” นาราภัทรติดกระดุมจนเสร็จเรียบร้อย “เพราะเค้าสนใจผู้ชายที่มาด้วยกันไง เพิ่งรู้นะว่ามีเกย์ปากจัดแบบนี้ด้วย ปกติเคยเจอแต่น่ารักๆ” นิรดาเบะปากใส่ผู้ชายที่เธอเถียงด้วยเมื่อครู่ “กลับบ้านเถอะแก ดึกกว่านี้บ้านฉันกับแก ได้โทรแจ้งคนหายแน่” นาราภัทรเริ่มกังวลอีกครั้ง เพราะพ่อของเธอนั้นทั้งหวงและเป็นห่วงเธอยิ่งกว่าอะไรดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD