**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ผู้คนและสถานที่ไม่มีอยู่จริง คาถาอาคมและเรื่องไสยศาสตร์อ้างอิงข้อมูลมาจากกูเกิล อีกทั้งเรื่องกฎหมายอาจใช้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ บางเหตุการณ์อาจไม่สมเหตุสมผลเป็นต้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปฐมบท
หมู่บ้านชมอย ก่อนจะกลายเป็นชุมโจรในเวลาต่อมา
“พี่เกื้อ!!!!”
“…”
“พี่เกื้อโว้ย!!!!” เสียงเอ่ยเรียกคล้ายคนกำลังร้อนใจดังมาให้ได้ยินลั่นหมู่บ้าน ไม่นานเจ้าของเสียงก็วิ่งมาหยุดในจุดที่เกื้อยืนอยู่ สีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายดูตระหนกตกใจไม่ใช่น้อย
“มีอะไรไอ้ไท วิ่งหน้าตื่นเห็นผีมารึมึง” คนถูกเรียกเอ่ยถาม ตาจ้องมองลูกน้องในหมู่บ้านด้วยความพิจารณา
“ฉันไม่ได้เห็นหรอกพี่ แต่ไอ้ขวัญน่ะสิที่เห็น”
“กูไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน” เพชรหรือเสือเพชรตอบกลับ ที่เขาว่าอย่างนั้นเป็นเพราะหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในป่า ห่างไกลจากความเจริญมากโข เป็นธรรมดาที่จะมีผีสางนางไม้ออกมาให้เห็น ชาวบ้านที่นี่แทบชินชากับสิ่งที่เห็นและไม่ได้คิดร้ายต่อผีสางที่ว่า ส่วนมากก็เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาที่ปกปักรักษาพื้นที่แห่งนี้ หากไม่ลบหลู่ก็ไม่เกิดสิ่งใดที่ไม่ดี ส่วนมากผู้เฒ่าผู้แก่แทบจะบูชาผีป่าเสียด้วยซ้ำ
“ที่แปลกเพราะมันไม่ได้เห็นผีเจ้าป่าเจ้าเขาน่ะสิ” คนวิ่งมาบอกข่าวยังทำหน้าจริงจัง สีหน้าเครียดคล้ำไม่ดีขึ้นสักนิด “พี่ไปดูมันหน่อยเถอะ ฉันว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ”
เกื้อเหลือบตามองเพชรที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปบ้านของไอ้ขวัญเพื่อสอบถามเรื่องราวดังกล่าว เมื่อเหยียบย่างขึ้นมาบนเรือนไม้หลังเล็กก็ได้เห็นมันนอนซม บ่งบอกได้ว่าสิ่งที่เห็นคงทำให้จับไข้นอนซมอย่างนี้ นั่นหมายความว่ามันคงกลัวมากจริง ๆ
“ไอ้ไทมันบอกกูว่ามึงโดนผีหลอก” เกื้อทิ้งตัวพิงกับโต๊ะไม้เล็ก ๆ ตรงมุมห้องนอน “มึงไม่ได้เมาแน่รึ”
“ฉันไม่ได้เมาสักนิดเลยพี่ วันนั้นฉันยังไม่แตะเหล้าด้วยซ้ำ” คนจับไข้ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง ตามองล่อกแล่กไปทั่วห้องราวกับคนกลัวอะไรสักอย่าง
“มึงได้ปากเสียพูดท้าทายเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเปล่า” เสือเพชรถามต่อ
“ฉันเปล่า” ไอ้ขวัญส่ายหน้าพัลวัน “เมื่อวานฉันว่าจะเข้าไปขุดหน่อไม้เลยเดินเข้าป่าไป แต่ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองไปโผล่ที่ป่าต้องห้ามได้ไง รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าเรือนไม้หลังหนึ่งเสียแล้ว”
ป่าต้องห้ามเป็นป่าที่ชาวชมอยไม่คิดที่จะเหยียบย่างเข้าไป เนื่องจากที่นั่นเคยเป็นสถานที่ที่ทหารเพื่อนบ้านถูกฆ่าตาย คนพวกนั้นจะลักลอบเข้ามาโดยใช้ช่องทางธรรมชาติ แต่ก็โดนทางการของไทยจัดการเสียก่อน ว่ากันว่าศพตายเกลื่อนเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ วิญญาณคนตายโหงเฮี้ยนยิ่งกว่าอะไรดี ขนาดพวกเล่นของที่คิดว่าตัวเองแก่กล้าวิชาเข้าไปยังไม่ได้กลับออกมา ที่นั่นจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปและได้ชื่อว่า ‘ป่าต้องห้าม’ นับจากนั้นมา
ซึ่งผีห่าในป่าต้องห้ามอยู่ได้เฉพาะที่ของมันเท่านั้น ไม่สามารถออกจากป่าต้องห้ามได้เพราะมีเจ้าป่าเจ้าเขาปกปักรักษาบริเวณนั้นอยู่ แถมยังมีของศักดิ์สิทธิ์ที่หมอธรรมเก่าแก่ได้ปลุกเสกฝังวางกั้นแดนไว้ แดนเป็นกับแดนตายอยู่ระหว่างใครมัน ชาวบ้านต่างเล่าขานกันมาอย่างนี้
“พอได้สติฉันก็รีบวิ่งออกห่างจากเรือนไม้ พร้อมกันนั้นขาก็หยุดชะงักในขณะที่ตาจ้องมองภาพตรงหน้า” น้ำเสียงของไอ้ขวัญสั่นเครือ ขนกายของมันลุกชันจนเห็นได้ชัด “ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ ผมมันยาวตกมาถึงขา ตามันจ้องมองฉันมีแต่ตาขาว ปากมันค่อย ๆ ระบายยิ้มก่อนจะหัวเราะเสียงดัง”
“…”
“ตอนนั้นสติฉันไม่มีเหลือแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทิ้งตัวตะเกียกตะกายบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ พอได้สติดี ๆ ก็ตอนที่เห็นใครบางคนยืนอยู่ต่อหน้า หากจำไม่ผิดฉันคิดว่าน่าจะเป็นหมอผี”
“หมอผี?”
“ใช่” ไอ้ขวัญตอบเกื้อ ตาจ้องมองเขาเขม็ง “ก่อนสติฉันจะดับวูบไป ฉันจำได้ว่ามันฝากข้อความมาด้วย”
“…”
“มันบอกอยากเจอเสือพราย มันจะรออยู่ที่ป่าต้องห้ามถ้าพี่กล้าเหยียบย่างเข้าไป”
“…”
“แต่ถ้าพี่ไม่ไป มันจะมาหาพี่เอง”
เกื้อกับเสือเพชรเดินลงจากเรือนไม้ของไอ้ขวัญหลังจากที่ฟังจบ ดูเหมือนว่าการที่ไอ้ขวัญเข้าไปที่ป่าต้องห้ามอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นความจงใจของใครคนใดคนหนึ่งที่อยากให้มันเข้าไป เพื่อที่จะได้นำข้อความมาบอกเสือพรายที่ชุมโจร
“มึงไปบอกไอ้เซียงให้เตรียมตัวเข้าป่าต้องห้าม บอกไอ้สามให้อยู่ดูชุมโจรเผื่อเกิดอะไรไม่ดีที่นี่” เกื้อหันไปสั่งงานกับเสือเพชร อีกฝ่ายพยักหน้ารับเงียบ ๆ แล้วทำตามที่เขาสั่ง
เกื้อหรือเสือพรายเดินกลับมายังบ้านของตน มือหยิบตะกรุดเสืออันหนึ่งขึ้นมาไหว้ก่อนจะใช้สายคาดเอว ตะกรุดนี้เขาได้มาจากพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งพบในป่าเมื่อหลายปีก่อน เป็นตะกรุดเกี่ยวกับเสือเย็นไว้ปกปักรักษาตน โดยเฉพาะภูติผีปีศาจตะกรุดนี้จะช่วยให้เขาพ้นภัย ถ้าใจมีจิตศรัทธาแรงกล้ามากพอ
เสือเย็นตำนานเล่าขานบอกว่าคล้ายกับเสือสมิง แต่เสือเย็นจะต่างจากเสือสมิงตรงที่เสือเย็นจะเป็นวิชาอาคมที่ใช้แปลงร่างเป็นเสือ สามารถควบคุมสติของตนได้ ไม่อาละวาดฆ่าคนแต่จะปกปักรักษาเสียมากกว่า แต่ใช่ว่าคำเล่าขานจะบอกว่าเสือเย็นดีเสมอไป บางคนก็บอกว่าเสือเย็นกินคนเช่นกันหากผิดครู
เกื้อมีเพียงตะกรุดที่มีชิ้นส่วนของเสือที่ลงวิชาอาคมเท่านั้น เขาไม่ได้ถึงขั้นเรียนวิชาอาคมเพื่อที่ตนจะได้กลายร่างเป็นเสือ คนที่จะทำอย่างนั้นต้องรักษาศีลให้สูงมากพอกับพระสงฆ์ แน่นอนว่าศีลห้าข้อเขายังรักษาไม่ได้ พระธุดงค์จึงให้เพียงตะกรุดนี้เขามา หากมีภัยพกติดตัวไว้ใช้ต่อสู้กับสิ่งไม่ดี ของจะขลังและมีพลังอำนาจอยู่ที่จิตศรัทธา หากศรัทธามากก็แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
เมื่อเตรียมของต่าง ๆ เสร็จแล้วเกื้อก็นำพรรคพวกของตนมุ่งหน้าเข้าป่า ใช้เวลาไม่นานม้าห้าตัวก็มาหยุดที่หน้าป่าต้องห้าม พวกมันส่งเสียงร้องคล้ายกำลังหวาดกลัวที่จะย่างก้าวเข้าไป ร่างดีดขึ้นลงอยู่ไม่นิ่งจนพวกเขาต้องตัดสินใจลงเดิน
“ขอบารมีเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยปกปักรักษาลูกช้างและพรรคพวกด้วยเถิด” มือหนายกขึ้นไหว้เหนือหัว มือหยิบปืนกระบอกยาวขึ้นมาถือก่อนจะเดินนำลูกน้องเข้าป่าต้องห้าม
“ดูเหมือนเจ้าป่าเจ้าเขาจะรับรู้ แต่ไม่รับเรื่องกระมัง” เสือเพชรว่าพลางมองไปรอบป่า เพียงแค่เหยียบย่างเข้ามาไม่กี่ก้าวเหล่านกกาและนกแสกต่างร้องดังระงม บ่งบอกให้รู้ว่าภัยกำลังมาเยือน
“จะว่าไปไอ้หมอผีนี่คงเก่งพอตัว ไม่งั้นคงมาอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้” เซียงว่าต่อ ในมือของเขามีปืนกระบอกยาวไม่ต่างจากคนอื่น ส่วนในย่ามมีของขลังที่ถูกปลุกเสกมาแล้วนับไม่ถ้วน
“นั่นใช่เรือนไม้ที่ไอ้ขวัญว่าหรือไม่” ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามอีกสองคนเอ่ยถาม ทุกสายตามองไปยังเรือนไม้หลังสีดำเป็นตาเดียว ขาค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปอย่างระแวดระวัง พร้อมกันนั้นลมก็พัดโชยรอบทิศทาง เสียงหัวเราะลั่นป่าของผู้หญิงคนหนึ่งดังให้ได้ยิน
“พวกมึงตั้งสติให้มั่น จิตต้องนิ่งอย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน” เกื้อหันไปบอกลูกน้องของตน “ไม่เช่นนั้นมึงตาย”
“สวัสดีเสือพราย เป็นบุญตาของกูนักที่ได้เห็นหน้ามึง” เจ้าของเรือนไม้สีดำเดินออกมาให้เห็นหน้าคร่าตา ผมของมันยาวรุงรังไม่ต่างจากเนื้อตัวที่ถูกสักเป็นอักขระต่าง ๆ เต็มตัว คอห้อยลูกประคำตามฉบับหมอผีที่เคยได้ยินเรื่องเล่าขานมา ข้างหลังของมันมีผีพรายผู้หญิงค่อย ๆ ห้อยตัวลงมา เสียงกระซิบ ‘น่ากิน น่ากิน’ ดังข้างหูพวกเขาซ้ำไปซ้ำมา
“แต่ถ้าจะให้ดี…ได้วิญญาณของมึงมาเฝ้าเรือนให้กูคงจะดีกว่า”
“แล้วมึงจะเอาวิญญาณกูไปยังไงรึพ่อหมอ” เกื้อตอบกลับ ตาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใด “ใช้อีพรายผีห่านั่นฆ่ากูงั้นรึ หากเป็นเช่นนั้นมึงเก็บมันลงใส่หม้อคืนซะเถอะ”
‘ปากดี ฆ่ามันเลยไหมพ่อ ฆ่ามัน’ ผีพรายเกาะกับเสาบ้านจ้องมองเกื้อเขม็ง รอสัญญาณจากพ่อของตน
“มึงเหยียบย่างเข้ามาถึงนี่ยังไม่รู้จักเจียมกะลาหัว ไม่รู้หรอกรึว่าปืนของพวกมึงมันยิงกูไม่ตาย”
“…”
“แต่กูชอบแบบนี้แหละ อีพรายจัดการมัน!”
“พวกมึงหาทางเผาเรือนมันซะ” เกื้อตะโกนบอกลูกน้องของตนก่อนจะท่องคาถาเรียกเสือเย็น เป็นจังหวะที่อีพรายกระโจนใส่เขาจนร่างเซเสียหลักล้มลงบนพื้น มือดึงตะกรุดออกมาจากเอวแล้วยื่นไปข้างหน้า พร้อมกันนั้นร่างของเสือเย็นก็กระโจนใส่อีพราย เสียงร้องของมันดังระงมไปทั่วทั้งป่า ใบไม้ใบหญ้าสั่นไหวราวกับโดนพายุขั้นรุนแรง
เสียงปืนดังจากข้างหลังไม่ได้ทำให้เกื้อเสียสมาธิ เขาใช้ความเร็วและความคล่องตัวปีนป่ายขึ้นไปหาหมอผีบนเรือนไม้ มือกดลั่นไกแต่กระสุนก็ไปไม่ถึงตัวหมอผี อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจแล้วท่องคาถาใส่เกื้อจนเขาทรุดตัวลงอีกรอบ ฝ่าเท้าของมันเหยียบเข้าที่กลางอกของเขาเต็มแรง ร่างค่อย ๆ ย่อตัวลงมานั่งคุยกับเกื้อที่นอนอยู่บนพื้นบ้าน
“มึงนี่มันโง่จริง ๆ ไม่เก่งสมคำร่ำลือที่กูได้ยินมาแม้แต่น้อย”
“…”
“มึงมีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายไหมเสือพราย”
“กูว่าคำนั้นมึงเก็บไว้ถามตัวเองเถอะพ่อหมอ” เสือพรายหัวเราะลั่น ปากค่อย ๆ ระบายยิ้มเย้ยหยัน “กูลืมบอกไปว่ากูมีเบี้ยแก้ คาถาเมื่อกี้มันใช้ไม่ได้ผลกูแค่แสดงละคร”
ว่าแล้วเกื้อก็หยิบเศษผ้าถุงที่เปื้อนประจำเดือนของผู้หญิงออกมาวางกดลงบนหัวของหมอผีทันใด มืออีกข้างดันปืนขึ้นมาชักท่ามกลางความอึ้งของหมอผี “ลืมบอกอีกอย่าง ปืนกูไม่ใช่ปืนธรรมดาว่ะ กูปลุกเสกลูกปืนมาเหมือนกัน”
“เหี้ยแล้ว…”
ปัง!!!!!!!!!!
ร่างของหมอผีกระเด็นชนฝาบ้านอย่างแรง เกื้อยันตัวขึ้นกดปลายกระบอกปืนลงบนกลางศีรษะของอีกฝ่าย แล้วยิงซ้ำอีกรอบโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ศีรษะของพ่อหมอกระจุยกระจายแตกเป็นเสี่ยง ร่างดีดดิ้นมีควันดำลอยคลุ้งทะลุเข้าออกจนร่างพุน เสียงกรีดร้องของวิญญาณต่าง ๆ ที่ถูกจองจำดังระงมให้ได้ยิน ไม่ต่างจากอีพรายถูกเสือเย็นตะปบกัดกรีดร้องโหยหวน ก่อนมันจะสลายตายตามเจ้านายของมันไป
“ประตูนรกเปิดรอพวกมึงแล้ว กลับสู่หลุมเดิมของมึงไปซะ”