“ห๊ะ!!!” มันอุทานออกมาเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว จนคนทั้งร้านหันมอง ก่อนจะลดวอลลุ่มเสียงลงในประโยคต่อมา “นี่มึงแต่งงานคืนเดียว รู้จักผิดชอบชั่วดีเลยหรอวะ”
ฟังแล้วมันก็แปลกๆนะ เหมือนกำลังโดนด่ายังไงก็ไม่รู้…
“แล้วมึงคิดว่าสิ่งที่กูทำมันดีนักรึไง” ฉันถาม
“แล้วมาคิดได้อะไรตอนนี้” ที่มันพูดก็จริงนะ
“ตอนนั้นกูแค่อยากประชดแม่…แต่ เขาไม่ได้สนใจกูเลยด้วยซ้ำ” ฉันตอบมันพลางก้มลงมองอาหารในจานที่ดูเหมือนจะเสียรสชาติไปหมดแล้ว
“เออๆ เดี๋ยวกูหาให้ แล้วก็จะพามึงไปซื้อของติดไม้ติดมือไปให้ท่านด้วย” มันตัดบทด้วยการตอบรับและชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นฉันเริ่มมีท่าทีไม่ค่อยดี
หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็พากันเดินเล่นไปเรื่อยและผ่านโซนแฟชั่นผู้หญิง ฉันยิ้มและหยุดยืนนิ่งก่อนจะดึงให้เพื่อตัวเองหยุดด้วย
“มึงอยากได้อะไรมะ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า หรือชาแนลมะ” ฉันถามเพื่อนสนิทพร้อมกับชูบัตรแบล็กการ์ดในมือ
“นี่…มึงอย่าบอกนะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างรู้ทัน
“เอาน่า เขาไม่จนเพราะกูใช้เงินวันเดียวหรอก”
….
…
สองชั่วโมงผ่านไป…
“ของเยอะสัส” มันบ่นพลางก้มมองถุงใบเล็กใหญ่ในมือ ที่มีทั้งของฉันแล้วก็ของมันด้วย
“กูไลน์บอกให้คุณลุงคนขับรถมารับมึงละ” ฉันพูดพลางเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง “ฝากเอาของไปคอนโดหน่อย ที่นั่นมีแม่บ้านอยู่ เดี๋ยวเขาจะลงมารับของจากมึงเอง แล้วมึงก็ให้คุณลุงไปส่งนะ บาย” ฉันยกมือโบกให้เพื่อนรักก่อนจะเดินถือกระเช้าออกมาโบกแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าและบอกให้คนขับไปตามโลเคชั่นที่จ๊ะจ๋าส่งมาให้ รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปบ้านนั้นเป็นสิบปีได้แล้วมั่ง
ไม่นานแท็กซี่ก็พาฉันมาส่งหน้าบ้าน อัครจินดา
มือเล็กกระชับหูกระเช้าแน่นก่อนจะพ่นลมหายใจออกปากเพื่อผ่อนปรนความประหม่าของตัวเอง แล้วเดินไปกดกริ่งหน้าประตูรั้ว
บ้านสไตล์นอร์ดิก โทนสีอบอุ่น นี่เหมือนจะเป็นหลังใหญ่หลังเดียวที่โดดเด่นสุดในละแวกนี้ ฉันเองก็รู้สึกคุ้นขึ้นมานิดหน่อย
“คุณหนูลลิล มายังไงคะเนี่ย” หญิงวัยกลางคนในชุดฟอร์มสีขาวสะอาดตาเอ่ยทักหลังจากที่เปิดประตูเล็กออกมาเห็นฉันยืนอยู่
“อ๋อ แท็กซี่ค่ะ” ฉันฉีกยิ้มบาง ทุกคนที่นี่รู้จักฉันในฐานะสะใภ้ของบ้าน อัครจินดา นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงหรือปฏิเสธได้
“แล้วคุณแม็กซ์ละคะ” เธอถามพร้อมกับเอื้อมมือมารับกระเช้าไปถือไว้เอง
“เขาไปทำงานค่ะ”
“มาค่ะ เข้ามา คุณน่าจะโทรมาบอกนะคะ จะได้ให้คนไปรับ” เธอดันประตูให้กว้างขึ้น เปิดทางให้ฉันเดินเข้าไปในบ้าน ฉันโค้งให้เธอเล็กน้อยในตอนที่เดินผ่านเธอเข้ามา
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“มาหาคุณท่านใช่ไหมคะ” เธอถามก่อนจะหันไปปิดประตูและเดินนำหน้าฉันไป
“ค่ะ”
ระยะทางจากประตูรั้วเข้ามาถึงตัวบ้านไม่ไกลนัก สองฝั่งยังคงมีไม้เลื้อยประดับไว้เรียงรายตามสไตล์ที่คุณนายหญิงของบ้านชอบ ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปมากนะ แต่ก็มีอะไรที่ฉันไม่คุ้นตาเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ปลายเท้าฉันก้าวช้าลงเมื่อหันไปเห็นสนามหญ้าข้างบ้าน มุมนั่งเล่นตรงนั้นเป็นที่ประจำของป๊ากับคุณลุง ส่วนฉันจะถูกปล่อยให้วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ เมื่อตอนที่ป๊ายังมีชีวิตอยู่
หนูคิดถึงป๊าจัง
ตอนนี้ป๊าเป็นยังไงบ้างนะ…
หญิงคนเดิมพาฉันเดินตรงไปยังโถงใหญ่และนำกระเช้าของฉันไปวางบนโต๊ะกลางโซฟา
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้เจ้าของบ้านทั้งสอง
“อ่าว มาคนเดียวหรอ” คุณลุงเงยหน้าจากหนังสือเล่มหนา เอ่ยถามพร้อมกับพับหนังสือปิดและวางลงข้างตัว
“ค่ะ หนูมาคนเดียว” ฉันตอบท่านอย่างนอบน้อม ชำเลืองมองแผ่นหลังของคุณหญิงที่มีศักดิ์เป็นแม่สามีของฉัน โดยที่ท่านยังไม่เงยหน้าขึ้นจากไอแพด อีกมือก็ยังคงถือแก้วน้ำชาขึ้นจิบเรื่อยๆ เหมือนไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของฉันเลยสักนิด ท่านคงไม่ปลื้มฉันเท่าไหร่สินะ…
“อ๋อ มาๆ นั่งก่อนลูก” เป็นคุณลุงที่เรียกให้ฉันไปนั่งโซฟาที่ว่างอยู่ข้างท่านและมันเป็นตัวเดียวกับที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวที่คุณหญิงของบ้านนั่งอยู่
พอฉันนั่งลง ท่านก็เบี่ยงตัวไปทางที่ฉันยืนอยู่ในตอนแรก ท่านทำราวกับไม่อยากเห็นหน้าฉันอย่างงั้นแหละ
“คือ…หนูจะมาขอโทษคุณลุงคุณป้า เรื่องที่ก่อไว้เมื่อคืนค่ะ หนูขอโทษนะคะ” ฉันเริ่มเข้าเรื่องแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบพูด จะได้รีบกลับ
“ลุง ป้า อะไรกัน หนูน่ะ เป็นลูกสะใภ้พวกเราแล้วนะ” คุณลุงทักท้วงขึ้นแบบยิ้มๆ
“เออ…คือหนูยังไม่ค่อยชิน” ฉันก้มหน้าพูด ความจริงคือ…ฉันไม่คิดจะเรียกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรก็ไม่ได้” คุณหญิงของบ้านเอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมกับวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ ยัดยืนขึ้นเต็มความสูง “ต่อไปก็อย่าดื้อมากละกัน”
พูดจบท่านก็เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ฉันมองตามแผ่นหลังท่านจนหายเข้าไปในห้องมุมขวามือ
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ฉันหันกลับมาย้ำกับคุณลุงอีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันรู้สึกผิดมากจริงๆ
“แม่เขาก็เป็นยังงี้แหละ อย่าถือสาเลยนะ ว่าแต่หนูไปอยู่เป็นยังไงบ้าง เราไม่ได้คุยกันเลยนะ”
“ดีค่ะ ดีมากเลย ความจริงหนู…” อยากจะบอกความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองออกไป แต่ไม่ทันได้พูดจบ ท่านก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
“พ่อรู้ แต่หนูเชื่อเถอะนะ ลูกชายของพ่อมันไม่ดีก็แค่ปากเท่านั้นแหละ”
ฉันจำใจพยักหน้ารับและรู้ถึงความหมายที่ท่านพยายามจะสื่อ แต่ฉันยังไม่เห็นว่าอะไรในตัวเองดีสักอย่าง แต่ปากเนี่ย…คอนเฟิร์มว่าไม่ดีชัวร์