[ Matusin Talk ]
เย็นวันต่อมา…
ผมเงยหน้าดูเวลาบนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนติดผนังห้องทำงาน ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวออกปากและก้มหน้าก้มตาเร่งโปรเจกต์ชิ้นสุดท้ายในมือให้เสร็จก่อนสามทุ่ม ซึ่งผมมีเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมง คิ้วหนาขมวดขึ้นเล็กน้อยจากการใช้ความคิด ถึงผมจะสำมะเลเทเมาไปบ้าง เหมือนจะไม่เอาไหน ใช้ชีวิตไร้สาระไปเรื่อย แต่เรื่องงานผมจริงจังมากนะ ผมอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ดังนั้นโปรเจกต์ใหม่ๆส่วนมากผมจะเป็นคนคิดและตัดสินใจเองทั้งหมด ถึงบริษัทที่ดีแค่ไหน การพัฒนาให้ทันโลกอยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ ผมไม่ปล่อยให้บริษัทตัวเองจมปลักอยู่กับอะไรเดิมๆแน่
…
…
ฟู้ววว์ เสร็จทันเวลาพอดี ผมหยิบมือถือและออกจากห้องทำงาน เร่งฝีเท้าไปยังรถตัวเองทันที
ผมจำเป็นต้องไปให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเคี่ยวเข็ญคุณหนูแสนเอาแต่ใจให้ยอมไปงานเลี้ยงที่ออกปากรับนัดเพื่อนเธอไว้ได้ตอนไหน หรือบางทีอาจจะไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ ผมต้องเหนื่อยอีกแน่
ไม่นานผมก็มาถึงคฤหาสน์ของคุณหนูลลิลลดา เปิดประตูลงจากรถและเดินอ้อมมาอีกฝั่งเพื่อจะเข้าไปตามเธอในบ้าน แต่ก็ต้องหยุดชะงักทั้งที่ยังเพิ่งจะก้าวขาออกห่างจากรถเพียงก้าวเดียว เพราะการปรากฏตัวของหญิงสาวที่คุ้นเคย ทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับต้องมนต์ สายตาผมไล่สำรวจผู้หญิงตรงหน้าอย่างเผลอไผล ชุดเกาะอกรัดรูปสีแดงเลือดหมูผ้ากำมะหยี่สั้นเหนือเข่าประมาณสองคืบ ขับผิวขาวเด่นชัดขึ้นทันตา บวกกับรอยผ่าข้างเป็นทางยาวลึกจนเผยให้เห็นผิวเนียนละเอียดของต้นขาเรียวสวย ผมยาวสลวยสีดำสนิทถูกม้วนเป็นลอนคลายทวีความเซ็กซี่ขึ้นเป็นสองเท่า
ผมไม่เคยปฏิเสธความสวยของเธอ เพราะผมเรียกเธอมาตลอดว่าคุณหนูลลิล แสนสวย แต่ตอนนี้เธอโตขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนและความสวยเธอพัฒนามากขึ้นไปด้วย
“จะไปได้รึยัง”
เสียงนั่นปลุกผมตื่นจากภวังค์ เธอถามขึ้นในตอนที่เดินถึงรถและกำลังเปิดประตูขึ้นไปนั่ง สายตาผมเหลือบมองขาอ่อนเธอก่อนจะลอบกลืนน้ำลายจนลำคอแห้งผาก ส่วนเว้าโค้งมันบ่งบอกว่าเธอกำลังเป็นสาวเต็มตัว และพร้อมที่จะเป็นเจ้าสาวของผมอีกด้วย
ปึงงง!!
เสียงปิดประตูรถเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง ผมโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยเพื่อสะบัดไล่ความคิดที่มันแทรกเข้ามาในหัว ก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถนั่งประจำที่
ระหว่างที่รถแล่นออกมา ผมก็เริ่มมีสติคิดขึ้นมาได้ว่ามันมีอะไรแปลกไป อะไรทำให้ผู้หญิงที่อยากล้มเลิกงานแต่งระหว่างเราจะเป็นจะตาย ยอมไปกับผมง่ายๆเพียงชั่วข้ามคืน สีหน้าเธอดูไม่ร้อนรนเหมือนวันก่อนเลยสักนิด
เอี๊ยดดดด
ผมหักรถเข้าจอดข้างทางทันที ไม่ยอมปล่อยให้มีอะไรที่มันค้างคาในใจนานเกินไป
“คิดจะทำอะไร” ผมถามพร้อมกับหันไปหาคุณหนูลลิลที่ดูตกใจนิดหน่อยกับการจอดรถเหมือนไม่ได้เข้ารับการอบรมสอบใบขับขี่ของผม ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนพนักพิงเบาะรถฝั่งเธอ
“อะไรของคุณ” เธอถามห้วนๆ
“วางแผนจะหนีอีกหรอ” ผมหรี่ตาจ้องมองเธออย่างจับผิด
“หึ…ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก” แต่เธอกลับยิ้มเยาะใส่ผมและรอยยิ้มแบบนี้มันแฝงไปด้วยความอำมหิต เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมไม่เคยอ่านความคิดเธอออกเลยสักครั้ง เป็นไปได้ไหมที่อาม่ากล่อมเธอสำเร็จแล้ว
“หมายความว่าไง จะยอมแต่งงานกับฉัน?” ผมถามในสิ่งที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด
“ใช่ เกมนี้คุณชนะ” แต่คำตอบของเธอทำให้หลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ในที่สุดยัยคุณหนูเอาแต่ใจก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองสักที
“อย่างงี้ค่อยดูน่ารักขึ้นมาหน่อย” ผมพูดหยอกล้อ ยกมือวางบนหัวเธอพร้อมกับเลื่อนหน้าเข้าใกล้ในระยะประชิด สายตาผมยังคงจับจ้องเธอไม่ลดละ
พลั่ก!!
เธอปัดมือออกอย่างเกรี้ยวกราดและผลักกลางอกผมจนหลังชนเบาะกลับมานั่งตรงในท่าปกติ
“แต่….”
ผมหันขวับไปหาเธอที่ตอนนี้นั่งหลังพิงเบาแต่หันหน้ามาทางผม อะไรก็ตามที่มันขึ้นต้นด้วย 'แต่' มันมักจบไม่สวยเสมอ
“เกมต่อไปคุณจะไม่มีวันชนะฉัน” เธอพูดแบบเย้ยหยัน ยกยิ้มขึ้นมุมปาก ราวกับเธอกำลังยืนอยู่หน้าเส้นชัยแล้ว
“อะไรนะ...” รอยยิ้มแรกหายไป คิ้วหนาเริ่มขมวดคิด ยัยคุณหนูนี่สร้างความประหลาดใจให้ผมได้ตลอดจริงๆ
“ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นเกมธุรกิจของพวกคุณ ฉันจะเล่นเกมบ้างไม่ได้ง่ะ”
“เกมอะไรของเธอ” ผมถาม ความจริงมันก็สนุกดีนะ ชีวิตจะได้ไม่น่าเบื่อ แต่ผมจำเป็นต้องกติกาของเกม และต้องรู้ด้วยว่าผมจะได้อะไรจากการเล่นเกม แค่ผมไม่ได้เป็นคนตั้งเกมผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเสียเปรียบแล้ว
“ไว้ฉันจะบอกกติกา ในวันแต่งงานละกันนะ”
“ได้ ถ้าจะเล่นเกมกันแบบนี้ ฉันจะทำให้ชีวิตหลังแต่งงานของเรา สนุกสุดๆไปเลยละ” ผมทำได้แค่ยอมรับและพร้อมที่จะเล่นเกมไปกับเธอ
เราสองคนหลุดยิ้มออกมาพร้อมกันแต่ที่น่ากลัวคือมันเป็นรอยยิ้มที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับในพริบตา
@Sosay Pub
พอถึงผับเราสองคนก็แยกกัน คุณหนูลลิลเดินเข้าไปก่อน ส่วนผมยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านหน้า ในหัวผมยังคงมีแต่เรื่องเกมที่เธอพูดถึง ไม่ใช่เรื่องเกมที่เราทั้งคู่กำลังจะลงสนามหรอกนะ แต่เป็นเกมทางธุรกิจที่เธอคือหมากสำคัญนั่นต่างหาก เธอเข้าใจถูกต้องทุกอย่าง พวกเรากำลังเล่นเกมกันอยู่ แต่ถ้าเกมมันจบลง ผมกลัวว่าเธอจะแบกรับมันไม่ไหวน่ะซิ…
ถึงภายนอกเธอจะดูเข้มแข็ง ความจริงผมไม่รู้เลยว่าข้างในเธอเป็นยังไง ผมเคยพยายามแล้วแต่เข้าไม่ถึงและดูเหมือนเธอไม่ยอมเปิดให้ใครเข้าไปได้ด้วย
'ยัยคุณหนูนั่นมาด้วยวะ'
ผมนิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงคุยกันของผู้ชายสองคนที่เพิ่งเดินผ่านไป ประโยคนี้มันฟังดูแปลกๆ เหมือนกำลังพูดถึงผู้หญิงที่มากับผมอยู่รึเปล่าว่ะ มันสองคนหยุดสูบบุหรี่ถัดไปจากผมและมันใกล้พอที่จะทำให้ได้ยินชัดทุกคำ
'เออ...ดิ มาได้ไงว่ะ ปกติหางตาก็ยังไม่มองพวกเรา' ผู้ชายอีกคนพูดเสริมก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบและมันชัดเจนสุดในประโยคถัดมาของอีกคน
'ว่าที่เจ้าบ่าวไปไหนวะ ถึงปล่อยเจ้าสาวสวยๆแบบนี้มาคนเดียว มันไม่กลัวเสร็จโจรหรอวะ'
ไม่ผิดแน่ ไอ้พวกเหี้ยนี่เอาผู้หญิงมาพูดลับหลังแบบนี้ได้ไงว่ะ ถึงผมจะได้ผู้หญิงมาแล้วตั้งกี่คนผมก็ไม่เคยเอามาพูดเสียหายแบบนี้เลยนะ ไอ้พวกระยำนี่
'แต่จะว่าไป ยัยลลิลนี่ยิ่งโตยิ่งสวยจริงๆ'
'ยิ่งจองหองแบบนั้นนะ ตอนเอาคงมันใช่ย่อย'
'ฮ่าๆๆๆ เออจริง หุ่นนี่ แม่ง…'
ปึก!!!
ผมตรงเข้าไปถีบกลางหลังของไอ้คนที่มันกำลังพูดถึงว่าที่เจ้าสาวผมแบบเหี้ยสุดๆ จนร่างมันถลาล้มไปกองกับพื้น ก่อนจะปาบุหรี่ทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ตอนแรกกะว่าจะสูบบุหรี่ให้หมดก่อน แต่แม่งไม่ไหวว่ะ เสียดายบุหรี่ฉิบหาย”
“ไอ้เวรนี่”
ปึก!!!
ผมยกตีนถีบไอ้ระยำอีกตัวที่พุ่งเข้าหาผมจนมันกระเด็นไปกองรวมอยู่ที่เดียวกับเพื่อนของมัน
ก่อนผมจะตามไปซัดมันไม่ยั้ง แค่สองคนไม่คณามือผมหรอก
“ปากแบบพวกมึงนี่นะ เอาตีนไปแดกเหอะ” ผมพูดพร้อมเตะปากมันจนเลือดท่วม
ไอ้หน้าจืดที่โดนแค่ถีบไปทีเดียวในตอนแรก ทำท่าปอดแหกจะวิ่งหนีซะแล้ว แต่ใครจะปล่อยแม่งไปง่ายๆวะ
“มึงจะไปไหน”
ผมลากมันกลับมาโยนไว้ที่เดียวกับที่เพื่อนมันนอนขดอยู่และฝากรอยตีนไว้อีกสองสามทีก่อนจะมีคนเข้ามาห้าม
“หยุดๆๆ”
“ทำเหี้ยไรเนี่ย”
ไอ้ดินกับไอ้หมอเป็นคนมาดึงตัวผมออก ไม่งั้นนะไอ้เหี้ยสองตัวนั่นได้ตายคาตีนผมแน่
“มองหน้าๆ ไอ้ห่า…” ผมจะพุ่งใส่ไอ้เวรนั่นที่เสือกผงกหัวขึ้นมามองหน้าผม แต่ไอ้หมอลากผมเข้ามาด้านในซะก่อน ส่วนไอ้ดินก็คงอยู่เคลียร์กับไอ้พวกเวรนั่น คิดแล้วเจ็บใจฉิบหาย ผมไม่ใช่คนใจเย็นที่จะมานั่งถามหาเหตุผล อารมณ์ต้องมาก่อนเสมอ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง...